นางรุกโจมตีเร็วขึ้นเรื่อยๆ พยายามรุกโจมตีทุกท่าเท่าที่จะทำได้
“สองร้อยเก้า…”
หลังจากเหมียวอี้นับเลขนี้ออกมาแล้ว ผังเสี้ยวเสี้ยวที่ใช้ไปเก้าสิบเก้าท่าก็พลันเก็บกระบี่แล้วอยู่นิ่งๆ เหมือนสาวบริสุทธิ์
เหมียวอี้ก็หยุดมือแล้วเช่นกัน ยืนตรงอย่างสง่าราวกับภูเขาต้นกำเนิดสายน้ำ เงี่ยหูเล็กน้อย แล้วถามว่า “ยังเหลืออีกท่า ทำไมไม่สู้แล้วล่ะ?”
ผังเสี้ยวเสี้ยวกลั้นหายใจตั้งสมาธิ ยื่นคมกระบี่ออกมาเงียบๆ โดยไม่ให้เกิดเสียง ดันไปตรงหน้าอกเหมียวอี้อย่างช้าๆ
ภายใต้การทดสอบอันเข้มงวดของวิชาอัคนีดารา ร่างกายและจิตใจไม่เหมือนในอดีตอีกแล้ว เหมียวอี้ที่ใจเกิดปาฎิหาริย์ ทุกสิ่งรอบกายสัมพันธ์กับใจอย่างแนบแน่นเผยยิ้มมุมปาก
ผังเสี้ยวเสี้ยวจะไปรู้ได้อย่างไร ว่าที่จริงเวลาเหมียวอี้ไม่ใช่ดวงตาจะสามารถสัมผัสสิ่งต่างๆ ได้เร็วกว่า ถ้าอยู่ในระยะไกลก็พูดยาก ถ้าอยู่ในระยะใกล้ก็ไม่มีสิ่งใดหลบการรับรู้ของเขาได้
เมื่อเห็นเหมียวอี้เผยรอยยิ้ม ผังเสี้ยวเสี้ยวก็รู้แล้วว่าแผนเจ้าเล่ห์ของตัวเองถูกเปิดเผย พลันแทงกระบี่ในมือออกมาอีกครั้ง
เหมียวอี้พลันขยับมือมาหยุดตรงหน้าอก สองนิ้วที่ออกมาทีหลังถึงก่อน คีบคมกระบี่ไว้อีกครั้ง จากนั้นออกแรงดึง บิดจนกระบี่สั่นแล้วโบกแขนเสื้อสะบัดไปข้างบน แล้วถือโอกาสดึงผ้าปิดตาทิ้ง
ไม่ทันระวังตัว ผังเสี้ยวเสี้ยวทำอะไรไม่ถูก แขนข้างหนึ่งที่แข็งแรงทรงพลังโอบเอวนางไว้แล้ว นางเข้ามาอยู่ในอ้อมอกบึกบึนที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายวีรบุรุษ
บนเพดานมีเสียงดังจึก ผังเสี้ยวเสี้ยวเงยหน้ามอง เห็นเพียงกระบี่วิเศษของตัวเองทิ่มอยู่บนขื่อเพดานแล้ว
เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง ก็สบประสานสายตากับเหมียวอี้ ทำให้เขินอายทันที นางเอียงหน้าหนี เอามือผลักสองทีแต่ผลักไม่ออก
เหมียวอี้ที่กำลังโอบเอวนางถามด้วยรอยยิ้มว่า “ยอมแพ้แล้วเหรอ?”
ผังเสี้ยวเสี้ยวมองเขาแวบหนึ่ง สัมผัสได้ถึงร่างกายที่แข็งแรงมีพลังของเขา ได้กลิ่นอายของวีรบุรุษ แพจนตายาวรีบหลุบลงเล็กน้อย ตอบด้วยเสียงพึมพำเหมือนยุง “แต่งกับไก่ตามไก่ แต่งกับสุนัขตามสุนัข!” พอพูดจบแก้มก็แดงราวกับคนเมา หัวใจเต้นรัวตึกตัก
ท่าทางเหมือนเมามายทำให้เหมียวอี้ใจสั่น จากนั้นก็รวบอุ้มทั้งตัวผังเสี้ยวเสี้ยวขึ้นมาอย่างไม่ลังเล แล้วพาเดินไปที่เตียงโดยตรง
ผ้าคาดเอวสีแดงถูกโยนออกไปแล้ว ชั่วพริบตาเดียวร่างกายชาวอมชมพูที่งดงามเหมือนสลักจากหยกก็ปรากฏขึ้น ไม่มีจุดไหนให้ปกปิด
คนที่ผ่านสนามรบมาแสนนาน เกสรดอกไม้บอบบางจะทนการย่ำยีได้อย่างไร บุปผาแดงร่วงโรย เป็นค่ำคืนที่วาบหวามเย้ายวนใจ…
วันต่อมา หลินผิงผิงกับเสวี่ยหลิงหลงถูกเรียกให้เข้ามาดูแลคู่ข้าวใหม่ปลามัน
เสวี่ยหลิงหลงบังเอิญไปเห็นกระบี่วิเศษปักบนขื่อเพดาน จึงอดไม่ได้ที่จะถามว่า “นายท่าน บนขื่อเพดานมีกระบี่ปักได้ยังไงคะ?”
ผังเสี้ยวเสี้ยวอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน กังวลว่าจะทำให้คนนึกเชื่อมโยงไปถึงความบ้าระห่ำบนเตียงเมื่อคืนนี้ พอนึกถึงฉากกำเริบสานที่ปล่อยให้บุรุษเก็บเกี่ยวหยิบฉวยเมื่อคืนนี้ นางก็หน้าแดงอีกครั้ง ไปหลบหลังเหมียวอี้โดยไม่รู้ตัว ไม่กล้าเจอคนแล้ว
เหมียวอี้เงยหน้ามอง ถึงได้รู้ว่าลืมหยิบลงมา เขาขยุ้มนิ้วทั้งห้า ดึงกระบี่ออกมาไว้ในมือ จากนั้นยื่นมือไปข้างหลังแล้วดึงผังเสี้ยวเสี้ยวออกมา ยัดกระบี่วิเศษคืนใส่มือนาง แล้วกล่าวอย่างร่าเริงว่า “หรูฮูหยินฝึกกระบี่ได้ดี เมื่อคืนอดใจไม่ไหวที่จะแสดงให้ข้าดู”
ผังเสี้ยวเสี้ยวแอบยื่นมือไปบิดเอวเขาทันที นางมีสีหน้าเขินอาย
หลินผิงผิงกับเสวี่ยหลิงหลงสบตากันแล้วยิ้ม ในเมื่อเจ้าสาวเขินอาย เรื่องเรื่องน่าสนุกในห้องหอก็ไม่จำเป็นต้องถามให้ชัดเจนขนาดนั้นแล้ว
เสวี่ยหลิงหลงเชิญให้ผังเสี้ยวเสี้ยวนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง แล้วหวีจัดแต่งmi’ผมให้นาง
ตอนที่มองเงาร่างของเหมียวอี้ผ่านกระจก ในดวงตางามของผังเสี้ยวเสี้ยวก็หวานเยิ้มอย่างที่ปิดบังได้ยาก แต่ก็กลัวว่าเสวี่ยหลิงหลงจะสังเกตเห็น ทำได้เพียงแอบมองเป็นบางครั้ง
ในใจรู้สึกสะท้อนใจมาก หลังจากผ่านคำคืนอันเย้ายวนใจแล้ว ความคับแค้นที่มีต่อบิดามารดาก็หายไปแล้ว กลับคิดว่าแม้บิดามารดาจะเตรียมแผนการอีกอย่างเอาไว้ แต่ก็หวังดีต่อนางจริงๆ ทำให้นางสมหวังในวาสนารักแล้ว
หลังจากแต่งตัวเรียบร้อย คู่บ่าวสาวก็ไปคำนับผังก้วนกับจาหรูเยี่ยนที่เรือนเดี่ยว
ตอนนั่งรับการคำนับ จาหรูเยี่ยนเห็นท่าทางเขินอายของลูกสาว ในฐานะของคนที่เคยผ่านมาก่อน นางก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจแล้ว มองออกแล้วว่าลูกสาวปลดปล่อยความคับแค้นก่อนหน้านี้ทิ้งไปแล้ว
พอมองคู่บ่าวสาวอีกครั้ง ก็พบว่าเป็นคู่ที่เหมือนไข่มุกงามที่ร้อยเข้ากับหยกจริงๆ ลูกสาวหน้าตางดงามไร้ที่เปรียบ ลูกเขยก็องอาจผึ่งผาย ฐานะสูงส่ง ดังนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ถูกชะตา อดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างเบิกบานใจ นางผายมือขึ้นซ้ำๆ “ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี!”
ผังก้วนที่สีหน้าเรียบเฉยกลับจ้องเหมียวอี้ ในใจส่งให้เหมียวอี้เพียงสามคำว่า : ไอ้เวรเอ๊ย!
จากนั้นจาหรูเยี่ยนก็จูงแขนลูกสาวขึ้นมานั่งข้างๆ “เสี้ยวเสี้ยว แต่งงานแล้ว ไม่เหมือนตอนอยู่ที่บ้านแล้ว ลูกจะต้องรู้ความ ปรนนิบัติสามีของตัวเองดีๆ อย่าพาลหาเรื่องโดยไร้เหตุผล ไม่อย่างนั้นจะไม่มีใครช่วยจะพูดแล้ว…” นางกังวลว่าลูกสาวจะแสนงอนจนทำให้งานใหญ่พัง นี่คือสิ่งที่ผังก้วนกำชับนาง
นางย่อมเข้าใจว่านี่คือเวลาที่ต้องให้ทัพใหญ่หลายสิบล้านในมือลูกเขยช่วยเหลือ ลูกเขยของตนเชี่ยวชาญการรบ เป็นขุนพลพยัคฆ์แห่งยุค ยังไม่ต้องพูดถึงว่านำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์โจมตีทัพใหญ่หนึ่งล้านพ่ายแพ้ กำลังพลหนึ่งแสนก็ตีทัพตะวันออกห้าล้านจนพ่ายแพ้ยับเยิน ช่วยเหลือตระกูลของตนได้มากแน่นอน!
ก่อนหน้านี้ตอนที่เอาแต่คิดว่าจะล้างแค้นกับเหมียวอี้ นางนึกไม่ออก ตอนนี้นึกออกถึงความยอดเยี่ยมของเหมียวอี้แล้ว
สองแม่ลูกคุยกันเงียบๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
ส่วนผังก้วนกลับเหมียวอี้ก็เดินมาใต้ชายคา แอบถ่ายทอดเสียงปรึกษาเรื่องร่วมงานกัน เมื่อมีความสัมพันธ์ระดับแต่งงานกันแล้ว ทั้งสองก็เจรจากันโดยไม่ระวังตัวมากอีกแล้ว รู้สึกว่าน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย กลับทำให้ผังก้วนรู้สึกว่าลูกสาวคนนี้แต่งงานได้อย่างยุติธรรมแล้ว
การจะทำงานใหญ่ ผังก้วนยังมีเรื่องอีกมากมายต้องวางแผน กอปรกับการประชุมขุนนางของตำหนักสวรรค์กำลังจะมาถึงแล้ว ไม่อยากอยู่ที่นี่นาน จึงรีบกลับไป
ตอนที่กล่าวอำลากัน ผังก้วนก็มองจาหรูเยี่ยนที่จูงลูกสาวออกมาจากห้องด้วยสายตาสอบถาม จาหรูเยี่ยนจำสิ่งที่เขาสั่งได้ พยักหน้าเบาๆ หรือว่าถามแล้ว แน่ใจแล้วว่าได้เข้าหอแล้วจริงๆ
เมื่อรู้ว่าไม่ใช่การแกล้งทาง ผังก้วนก็วางใจ ถ้าหากเหมียวอี้แต่งงานแล้วแต่กลับไม่ยอมเข้าหอ แบบนั้นกลับทำให้เขาคิดมากว่าเหมียวอี้มีเจตนาอะไร?
ทว่าตอนที่กำลังจะออกเดินทาง จาหรูเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะหมั่นไส้เหมียวอี้ ตอนนี้เพิ่งเข้าใจว่าทำไมต้องให้พาลูกสาวมาด้วย ทั้งยังให้นางมาด้วยอีก นี่คือการเตรียมตัวที่รวดเร็ว บิดามารดาอยู่ด้วยจะได้ทำพิธีแต่งงานให้เสร็จในรวดเดียวได้สะดวก!
นึกว่ามาด้วยกันเป็นครอบครัว แต่กลับต้องทิ้งลูกสาวให้อยู่ที่นี่คนเดียว จาหรูเยี่ยนก็อดไม่ได้ที่จะขอร้องว่า “นายท่าน ถึงยังไงท่านก็บอกแล้วว่าเสี้ยวเสี้ยวอยู่ที่นี่ไม่นานก็ต้องกลับบ้านไปเยี่ยมพวกเรา ไม่สู้ให้ข้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนลูกสาวด้วยสิ แล้วเดี๋ยวค่อยกลับไปด้วยกัน”
ในใจรู้สึกผิดจนอยากให้คู่ข้าวใหม่ปลามันสมหวังก็อีกเรื่องหนึ่ง ถ้าให้ลูกสาวอยู่ที่นี่นาน ไม่โผล่หน้าออกจากจวนจอมพลเลย ก็กลัวว่าคนจะสงสัย ดังนั้นผังก้วนกับเหมียวอี้จึงปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว ว่าให้ผังเสี้ยวเสี้ยวอยู่ที่นี่สักระยะแล้วค่อยส่งกลับจวนจอมพล หลังจากนี้ชีวิตสามีภรรยายังอีกยาวนาน งานใหญ่สำคัญกว่า
ถ้าฮูหยินจอมพลไม่โผล่หน้าออกมาด้วยก็จะยิ่งทำให้คนสงสัย อีกทั้งผังก้วนก็กังวลด้วยว่าที่นี่จะไม่มีใครคุมจาหรูเยี่ยนได้ เมียของตัวเองเป็นคนอย่างไร เขาจะไม่รู้จักดีเชียวหรือ? ถึงตอนนั้นถ้านางอาศัยว่าตัวเองเป็นแม่ยายของหนิวโหย่วเต๋อแล้วชี้มือวาดเท้าอยู่ที่นี่ ก่อกวนไปทั่วทุกที่ จะไม่เป็นการเผยพิรุธหรอกหรือ? ดังนั้นผังก้วนจึงกล่าวยังไม่ลังเลว่า “ที่บ้านยังมีงาน กลับไปด้วยกัน!”
เห็นแก่ที่กำลังจะได้เป็นหวังเฟย จาหรูเยี่ยนพูดจาอ่อนโยนขึ้นแล้วไม่น้อย เลิกบ่นแล้ว แต่ยังเสือกมือลูกสาวและกำชับอะไรอีกนิดหน่อย
ตอนที่คู่บ่าวสาวมาส่ง ส่งแค่ตรงประตูของเรือนด้านใน ผังก้วนเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอว่าไม่ต้องมาส่งไกล ตอนนี้ผังก้วนเรียกได้ว่าระวังตัวอย่างสูง ก่อนหน้านี้ก็กำชับเหมียวอี้แล้ว ก็ระหว่างที่ผังเสี้ยวเสี้ยวอยู่ที่นี่ ก็อย่าให้โผล่หน้าออกมาเจอใคร
ขณะมองพ่อตาแม่ยายสายผลประโยชน์จากไป เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ตรงประตูก็แววตาเลื่อนลอยนิดหน่อย
ที่จริงเขาก็ไม่อยากทำอย่างนี้เช่นกัน แต่แนวโน้มสถานการณ์ก็เห็นๆ กันอยู่ ต่อให้ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว แต่อาศัยกำลังพลห้าสิบล้านในมือเขา ถ้าคิดจะโจมตีให้ทั่วอาณาทัพใต้ก็อันตรายมาก ต่อให้ทำสำเร็จแต่ก็จะเสียหายยับเยินเช่นกัน ในระหว่างนั้นเขากับผังก้วนจะต้องสู้กันเอาเป็นเอาตาย!
แม้เขากับผังก้วนจะมีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง แต่ถ้าคิดจะโน้มน้าวให้ผังก้วนสนับสนุนให้เขาคุมอาณาเขตทัพใต้นั้นเป็นไปไม่ได้เลย ผังก้วนเป็นจอมพลสายเถาะแล้ว จะต้องเพ่งเล็งตำแหน่งอ๋องสวรรค์แน่ ถ้าได้อยู่ตำแหน่งเดิมโดยไม่ขยับไปไหน เขาจำเป็นต้องมาเสี่ยงอันตรายกับเหมียวอี้ด้วยเหรอ? ความเสี่ยงนี้ใช่ว่าเอาเงินทองมาเติมแล้วจะชดเชยได้! ดังนั้นต่อให้เหมียวอี้ครอบครองอาณาเขตทัพใต้ ถ้าไม่มีรางวัลให้ผังก้วน กอปรกับกำลังอ่อนแอ แบบนั้นอาจกระตุ้นความทะเยอทะยานให้ผังก้วนใช้กลยุทธ์ตีชิงตามไฟกับเขาก็ได้
ตามที่หยางชิ่งบอก ในเมื่อการใช้กำลังช่วงชิงมีความเสี่ยงเกินไป เช่นนั้นก็ใช้สติปัญญาช่วงชิงเพื่อลดความเสี่ยงลง ถึงได้วางแผนต่อเนื่องกันอีก การแต่งงานกับผังเสี้ยวเสี้ยว ถ้าพูดจากบางมุมก็เป็นการแสดงความอ่อนแอ และเป็นการแสดงออกด้วยวว่ากลัวผังก้วนข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน ลดความระแวงของผังก้วนได้
แผนการขั้นต้นสำเร็จอย่างราบรื่น ต่อมาก็ดูว่าผังก้วนจะกัดกระดูกที่แข็งที่สุดอย่างฮ่าวเต๋อฟางได้อย่างไร เดิมทีเหมียวอี้ต้องการจะสู้ตายเพื่อทำเรื่องนี้ ภายใต้การวางแผนของหยางชิ่ง จึงกลายเป็นให้ผังก้วนทำแทน!
“ท่านสามี กำลังคิดอะไรอยู่คะ?” พอเก็บสายตากลับมาก็พบว่าเหมียวอี้ค่อนข้างเลื่อนลอย ผังเสี้ยวเสี้ยวที่อยู่ข้างๆ อดไม่ได้ที่จะถาม
เหมียวอี้ดึงสติกลับมา สายตาไปหยุดอยู่บนตัวนาง จับมือเรียวสาวของนางแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “กำลังคิดว่าวันนี้สาวน้อยยังอยากรำกระบี่อยู่อีกมั้ย!”
พอฟังออกถึงความหมายแฝงที่อยู่ในนั้น ผังเสี้ยวเสี้ยวก็หน้าแดงก่ำ ร่างกายอ่อนเพลียจากเมื่อคืนยังหายดีเลย อีกทั้งข้างกายก็ยังมีคนอื่นอยู่ด้วย นางพึมพำว่า “ไม่สนใจท่านแล้ว” นางชักมือกลับมาแล้วบิดตัวเดินไป ท่าทางสาวน้อยแกล้งงอนน่ารักมาก
ความกังวลที่แวบผ่านเข้ามาในดวงตาเหมียวอี้เลือนหายไป เดินก้าวยาวตามไปอย่างร่าเริง
หยางชิ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่างที่เปิดออกครึ่งหนึ่ง กำลังลูบเครามองดูฉากนี้
แม้ผังก้วนจะกำชับแล้วว่าไม่ให้ผังเสี้ยวเสี้ยวโผล่หน้าออกมาตอนอยู่ที่นี่ แต่เหมียวอี้ก็ยังพาผังเสี้ยวเสี้ยวไปเที่ยวชมภูเขาแม่น้ำบริเวณนี้
เขารู้ดีว่าที่นี่มีกำลังทหาร จึงให้ผังเสี้ยวเสี้ยวใส่หน้ากากปลอมตัว
ขึ้นเขาดูทะเลหมอก ชมพระจันทร์เก้าดวงบนฟ้า อาลัยอาวรณ์ชมทุ่งดอกไม้ ล่องเรือบนทะเลมรกต ดูโคมไฟริบหรี่ที่ตลาดผี ดูปรากฏการณ์ประหลาดที่น้ำพุวังเวง ดูพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตก ลิ้มรสอาหารอร่อยต่างๆ ทั้งสองตัวติดกันเหมือนกาวหลายวันมาก บนใบหน้าผังเสี้ยวเสี้ยวมีแต่รอยยิ้ม เป็นหลายวันที่นางมีความสุขที่สุดตั้งแต่เกิดมา แม้แต่ยามนอนหลับฝันก็ยังยิ้มหวาน
ตั้งใจเจียดเวลามาอยู่เป็นเพื่อน เป็นเพราะในใจเหมียวอี้รู้สึกผิดเช่นกัน
การประชุมตำหนักสวรรค์ นอกตำหนักฟ้าดินมีหงส์ส่งเสียงร้อง บรรดาขุนนางในตำหนักมาครบแล้ว
เมื่อขึ้นนั่งบัลลังก์ราชันสวรรค์ ดวงตาเรียวเล็กเย็นเยียบของประมุขชิงกำลังมองกลุ่มขุนนนาง สังเกตเห็นว่าตำแหน่งของเซี่ยโห้วลิ่งขาดคน อยู่ใต้หนังตานี้เอง สังเกตเห็นได้ง่ายมาก
“หรือว่าท่านปู่สวรรค์ก็ปรับปรุงกำลังพลเหมือนบรรดาอ๋องสวรรค์ด้วย?” ประมุขชิงเอ่ยปากพูดเหน็บแนมทันที
เถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อที่ยืนอยู่ข้างล่างมีสีหน้าเรียบเฉย พวกโค่วหลิงซวีไม่มา ส่วนพวกเขามาแล้วก็ไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยอะไร กำลังทหารของพวกเขาเทียบกับอีกสามอ๋องไม่ติด จึงต้องรักษาความสัมพันธ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือเอาไว้ และไม่อย่างล่วงเกินประมุขชิงอย่างเปิดเผยด้วย
คนในเครือข่ายของตระกูลเซี่ยโห้วที่อยู่ในตำหนักก้าวออกมารายงานว่า “ฝ่าบาท จู่ๆ ท่านปู่สวรรค์ก็เห็นคำสั่งสอนของท่านปู่สวรรค์คนเก่า จึงขอลาหยุดไปเฝ้าดูแลสุสานแสดงความกตัญญู ได้รายงานวังสวรรค์มาแล้ว”
แม้ประมุขชิงจะไม่เชื่อ แต่ก็ไม่สะดวกจะพูดเรื่องเฝ้าดูแลสุสานแสดงความกตัญญู เพียงแต่เอ่ยออกมาเพื่อให้คนเปิดโปงความจริงก็เท่านั้นเอง
ผังก้วนชำเลืองตำแหน่งยืนของเซี่ยโห้วลิ่งแวบหนึ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน ในใจพูดเย้ยว่า เฝ้าสุสานเหรอ? เกรงว่าคงลงสุสานไปเป็นเพื่อนเซี่ยโห้วท่าแล้วกระมัง?
ที่เขามาก็เพราะอยากจะยืนยันอีกครั้ง ตอนนี้เห็นเซี่ยโห้วลิ่งขาดประชุม ก็รู้สึกวางใจขึ้นไม่น้อย กลับไปรอบนี้จะได้เริ่มดำเนินการตามแผนอย่างเป็นทางการสักที!
…………………