เพียงแต่ไม่นานก็เริ่มรู้สึกเครียดอีก แล้วก็พลันตระหนักได้ถึงปัญหาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือถ้าให้คนของตระกูลเซี่ยโห้วรู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อลงมือ เกรงว่าทุกคนของตระกูลเซี่ยโห้วต้องสงสัยแน่ว่าเกี่ยวข้องกับเขา บางอย่างทุกคนล้วนรู้อยู่แก่ใจ ถึงตอนนั้นคงนั่งตำแหน่งหัวหน้าตระกูลไม่ได้ง่ายๆ ถ้าเขาขึ้นนั่งตำแหน่งนั้นไม่ได้ โดนคนอื่นแย่งไป เขาก็เป็นแค่คนหนึ่งที่สังหารหัวหน้าตระกูล ใครจะวางใจเขาได้ล่ะ?
เขารีบถามผ่านระฆังดาราในมือ : เจ้าไม่ได้เผยพิรุธอะไรใช่มั้ย?
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ความสัมพันธ์ลับระหว่างสองฝ่ายแบบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดอีก คนอื่นไม่รู้เช่นกัน
เหมียวอี้ : เถ้าแก่วางใจ ไม่ได้เผยพิรุธ ข้าไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว
เฉาหม่านจะวางใจง่ายๆ ได้อย่างไร เรื่องนี้ถ้าพูดให้ดูเป็นเรื่องเล็กก็คือวางแผนทำร้ายหัวหน้าตระกูล ถ้าพูดให้เป็นเรื่องใหญ่ก็คือใส่ข้อหาทรยศตระกูลได้เลย หนอนบ่นไส้ของตระกูล ทุกคนล้วนสามารถฆ่าเขาได้ ถามอย่างไม่วางใจว่า : องครักษ์ของหัวหน้าตระกูลก็ไม่ธรรมดา ข้างกายเขามียอดฝีมือมากมาย เจ้าแน่ใจได้ยังไงว่าไม่ได้เผยพิรุธ?
เหมียวอี้แอบรู้สึกขำ ดูท่าแล้วเจ้าหมอนี่คงไม่ได้เครียดธรรมดา เขาตอบว่า : ข้าไม่จำเป็นต้องเผยพิรุธอะไร เขาฆ่าตัวตายเอง
เฉาหม่านระแวงสงสัย : ฆ่าตัวตาย? จะฆ่าตัวตายได้ยังไง!
เหมียวอี้ : ก็ไม่มีอะไร แค่พระปีศาจหนานโปบังเอิญรู้เส้นทางของเขาก็เท่านั้น จากนั้นก็ฆ่าตัวตาย ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าทั้งนั้น
เฉาหม่านงุนงง จากนั้นก็วางใจแล้วจริงๆ ในใจก็เริ่มด่าเช่นกัน ไม่เกี่ยวกับเจ้าก็แปลกแล้ว เจ้ากล้าบอกใยว่าเจ้าไม่ได้ปล่อยข่าวเรื่องเส้นทางให้พระปีศาจรู้?
แต่ตำหนิตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ ทุกคนล้วนไม่ใช่เด็กสามขวบ พูดต่อไปว่า : ศพอยู่ในมือเจ้าเหรอ?
เหมียวอี้ : ข้าจะเอาศพไปทำอะไร? ศพอยู่ในมือผู้ติดตามคุ้มกัน
เฉาหม่านเงียบไป เขายังไม่ได้รับแจ้งจากตระกูล สงสัยจะปิดข่าวแล้ว ตัวเองก็ไม่สะดวกจะไปถามเรื่องนี้ เพียงรอแจ้งข่าวเท่านั้น เขาครุ่นคิดนิดหน่อย แล้วบอกว่า : ถ้าเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะล้างแค้นเพื่อหัวหน้าตระกูลหรือไม่ ก้าวต่อไปตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องใช้กำลังทั้งหมดเพื่อกำจัดพระปีศาจแน่ บัวโลหิตต้นนั้นเจ้าจะให้คนอื่นของตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ เข้าใจมั้ย?
เหมียวอี้ย่อมเข้าใจเขาอยู่แล้ว ตามหลักแล้วไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรือความอาวุโส เฉาหม่านล้วนสอดคล้องกับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลคนต่อไป ถ้าบัวโลหิตตกอยู่ในมือคนอื่นของตระกูลเซี่ยโห้ว ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ง่าย ถ้าเฉาหม่านรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลต่อ ก็ต้องพยายามสร้างผลงานเพื่อคุมคนให้ได้โดยเร็วที่สุด ถ้าเขาควบคุมบัวโลหิตได้และบอกว่ามีวิธีล่อพระปีศาจออกมา คนของตระกูลเซี่ยโห้วก็จะต้องฟังความเห็นของเขาแน่นอน ถ้าใช้บัวโลหิตเป็นเหยื่อล่อพระปีศาจ เฉาหม่านก็สามารถกำจัดภัยแฝงที่ใหญ่ที่สุดของตระกูลเซี่ยโห้วได้ นี่ก็คือคุณูปการที่ใหญ่ที่สุดของทั้งตระกูลเซี่ยโห้ว!
เหมียวอี้ : วางใจเถอะ ข้าก็แค่ร่วมงานกับเถ้าแก่! แต่ก็จะให้ข้าทำงานให้เปล่าๆ ไม่ได้หรอกใช่มั้ย? เถ้าแก่ก็ต้องเข้าใจข้าเหมือนกัน ทุกคนล้วนต้องยื่นหมูยื่นแมวถึงจะสอดคล้องกับการร่วมงานกัน!
ตั้งแต่ต้นจนจบ เฉาหม่านล้วนรู้เรื่องนี้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว เฉาหม่านย่อมเดาออกว่าเขาต้องการอะไร หนิวโหย่วเต๋อที่ถึงขั้นเสี่ยงอันตรายมากขนาดนี้เพื่อเขา ให้ของธรรมดาแล้วจะไล่กลับไปได้เหรอ? เขาตอบว่า : ดูสถานการณ์ตอนหลังก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าข้ายังไม่มีอำนาจในการพูด ต่อให้อยากช่วยก็ไร้ความสามารถ ตอนนี้พูดมากไปก็ล้วนสิ้นเปลือง!
จุดนี้เหมียวอี้เข้าใจได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เฉาหม่านไม่อาจทำทุกอย่างที่พูดได้ตามใจตัวเอง ถ้ายังยืนยันไม่ได้ว่าเซี่ยโห้วลิ่งตายแล้ว เขาก็ไม่กล้ากระโดดออกมา
เหมียวอี้ : ก็ได้ หนิวจะรอฟังข่าวดีจากเถ้าแก่เงียบๆ! เพียงแต่มีสิ่งหนึ่งที่ต้องเตือนเถ้าแก่ไว้ ไม่น่าเชื่อว่าครั้งนี้เว่ยซูจะไม่ได้มาด้วย คงไม่ต้องให้ข้าบอกว่าเว่ยซูมีความสำคัญยังไงที่ตระกูลเซี่ยโห้ว เถ้าแก่ระวังไว้ให้มาก!
ผลปรากฏว่าหลังจากเก็บระฆังดาราแล้ว เฉาหม่านก็รู้สึกชาวาบไปทั้งตัว รู้สึกเหมือนมีกระแสไฟฟ้าไหลเวียนทั้งร่างกาย ตัวชาแล้ว
เขารู้ว่าเหมียวอี้มีเป้าหมายใหญ่โต ไม่น่าจะเอาเรื่องแบบนี้มาโกหกเขา ความรู้สึกเฝ้าคอยยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
แต่ในตอนนี้เขาดันทำอะไรไม่ได้ ต่อให้อยากทำก็ทำไม่ได้ ไม่สามารถเปิดเผยเจตนาใดๆ ได้ สิ่งที่ควรเตรียมก็แอบเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ก่อนหน้านี้เตรียมตัวเผื่อผิดพลาดล่วงหน้า ตอนนี้ทำได้แค่รอ รอให้ให้ข่าวการตายของเซี่ยโห้วลิ่งส่งมา
เขาเข้าใจสิ่งนี้ชัดเจน ข่าวการตายของเซี่ยโห้วลิ่ง ต่อให้ปิดข่าวอย่างไรแต่ก็ปิดบังคนคุมเรือแต่ละสายอย่างพวกเขาไม่ได้ ไม่อย่างนั้นบรรดาพี่น้องที่ไม่รู้สถานการณ์ชัดเจนก็จะเสียการควบคุม อย่างที่หนิวโหย่วเต๋อบอก ตอนนี้เว่ยซูมีความสำคัญมาก เว่ยซูคือบุคคลที่บิดากำหนดให้เป็นผู้ช่วยของหัวหน้าตระกูล กอปรกับบารมีความน่าเชื่อถือที่สะสมมา ถ้าเว่ยซูยืนอยู่ข้างกายใคร คนนั้นก็จะเป็นแพะจ่าฝูงของตระกูลเซี่ยโห้วในภายหลัง หนิวโหย่วเต๋อเตือนให้ระวังก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล ทว่านี่คือการคิดมากเกินไป เป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อไม่รู้ว่าตระกูลเซี่ยโห้วยังมีสมาคมอาวุโสอยู่ เว่ยซูไม่อาจเลือกฝ่ายได้ซี้ซั้วตามความชอบของตัวเอง จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ของตระกูลเซี่ยโห้วก่อน เฉาหม่านคือตัวเลือกแรก!
ส่วนเรื่องการตายของเซี่ยโห้วลิ่ง เขาไม่ได้รู้สึกโศกเศร้าใดๆ คนหนึ่งที่ต้องการจะฆ่าเขา จะมีไมตรีระหว่างพี่น้องอะไรให้พูดถึง ในใจเขาเคียดแค้นด้วยซ้ำ จะเอาความเศร้าโศกมาจากไหน มีแต่จะตื่นเต้นดีใจ
วันต่อมา เฉาหม่านกำลังนั่งขัดสมาธิเงียบๆ อยู่ในความมืด เสียงเคาะประตูของชีเจวี๋ยดังขึ้น “เถ้าแก่!”
“เข้ามา!” เฉาหม่านบอกแล้วก็ได้ยินเสียงประตูเปิด พอได้ยินเสียงฝีเท้าคนสองคน เขาก็ลืมตาทันที เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินตามชีเจวี๋ยเข้ามา เห็นได้ชัดว่าใส่หน้ากากปลอมตัว อีกทั้งท่าทีของชีเจวี๋ยก็ดูเคารพคนคนนี้มาก
เฉาหม่านหรี่ตาจ้องผู้ที่มา คนที่ชีเจวี๋ยสามารถพาเข้ามาโดยไม่ต้องบอกก่อนมีน้อยจนนับนิ้วได้
ผู้ที่มาเอียงหน้าบอกใบ้ชีเจวี๋ย ชีเจวี๋ยมองเฉาหม่านแวบหนึ่ง ไม่กล้าแสดงปฏิกิริยาอะไร เพียงถอยออกไปเงียบๆ แล้วปิดประตูให้
ผู้ที่มาดึงหน้ากากลง เผบใบหน้าที่คุ้นเคย ถ้าไม่ใช่เว่ยซูแล้วจะเป็นใครไปได้อีก
“บ่าวคำนับคุณชายสาม!” เว่ยซูก้าวขึ้นมาสองสามก้าว แล้วโค้งตัวทำความเคารพ
ชั่วพริบตานี้ เฉาหม่านราวกับได้ยกหินก้อนใหญ่ออกจากอก ความรู้สึกตื่นเต้นดีใจนั้นยากจะบรรยายออกมาได้ เพียงแต่พยายามควบคุมอารมณ์เอาไว้ รีบลงจากเตียงมาทำความเคารพตอบ กุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าตกตะลึง “พ่อบ้านเว่ย มาได้ยังไง? หัวหน้าตระกูลมีอะไรจะกำชับ?”
เว่ยซูยืนตรงและเงยหน้าขึ้น น้ำตาไหลอาบใบหน้าแล้ว
ในใจเฉาหม่านดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ภายนอกกลับถามเหมือนตกใจ “พ่อบ้านเว่ย ท่านเป็นอะไรไป?”
“คุณชายสาม หัวหน้าตระกูล…หัวหน้าตระกูลถูกแทงเสียชีวิตแล้ว!” เว่ยซูตอบเสียงสะอื้น
“หา…” เฉาหม่านทำท่าตกใจจนถอยหลังหลายก้าว ถอยไปชนขอบเตียงแล้วถึงได้หยุด อุทานเสียงหลงว่า “จะเป็นไปได้ยังไง?”
เว่ยซูจ้องเขาพักหนึ่งด้วยดวงตาที่พร่าเลือนเพราะน้ำตา แล้วยกแขนเสื้อปากน้ำตาส่ายหน้า
เฉาหม่านรีบก้าวขึ้นมาข้างหน้าอีก ใช้สองมือจับมือเว่ยซูไว้ แล้วถามอย่างร้อนใจ “พ่อบ้านเว่ย เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
เว่ยซูกล่าวเสียงสะอื้น “เมื่อวานหัวหน้าตระกูลไปเยี่ยมเยียนหนิวโหย่วเต๋อที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ผลปรากฏว่าออกจากแดนรัตติกาลได้ไม่นานก็ถูกแทงแล้ว!”
เฉาหม่านหรี่ตา หัวใจกระตุกวูบ แต่ภายนอกกลับถามเหมือนตกใจ “เป็นฝีมือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”
เว่ยซูส่ายหน้า “คงจะเป็นพระปีศาจหนานโปลงมือสังหาร…” เขาเล่าสถานการณ์ที่รู้มาจากองครักษ์ให้ฟังโดยละเอียด
พอฟังจบแล้วไม่เห็นว่าเกี่ยวข้องอะไรกับหนิวโหย่วเต๋อ เฉาหม่านก็โล่งอก แล้วขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวอย่างแค้นใจ “พระปีศาจ ข้าสาบานว่าจะฆ่าเจ้าคนชั่วนี่!”
เว่ยซูพยักหน้า แล้วกุมหมัดคารวะ “คุณชายสามพูดไม่ผิด พระปีศาจคือปัญหาใหญ่ของตระกูลเซี่ยโห้ว คุณชายสามควรรวบรวมพี่น้องมาสังหารเจ้าคนชั่วนี่!”
“เอ่อ…” เฉาหม่านลังเลนิดหน่อย บอกว่า “ไม่ว่าจะเพื่อตระกูลเซี่ยโห้ว หรือเพื่อกำจัดเจ้าคนชั่วนั่น ก็ล้วนเป็นเรื่องที่สมควร แต่ข้าไม่มีสัทธิ์เรียกรวมพี่น้อง เรื่องนี้เกรงว่าคงต้องให้พ่อบ้านเว่ยออกหน้า!” พูดจบก็ถอยหลังสองก้าว แล้วกุมหมัดคารวะ “ข้ายินดีฟังคำสั่งพ่อบ้าน!”
เว่ยซูถอนหายใจ “บ่าวเป็นเพียงบ่าวคนหนึ่งเท่านั้น จะทำเรื่องนี้ได้ยังไง คุณชายสาม มังกรมิอาจไร้หัว ทหารไร้แม่ทัพก็วุ่นวาย ในเวลานี้ตระกูลเซี่ยโห้วจะวุ่นวายไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์หรือความอวุโส คุณชายสามก็สมควรออกหน้า ถ้าเปลี่ยนเป็นคุณชายคนอื่น ถ้าทุกคนไม่ยอมเชื่อฟังก็อาจเกิดความขัดแย้งได้! คุณชายสาม อย่างน้อยก็เพื่อคำนึงถึงตระกูลเซี่ยโห้ว นี่ไม่ใช่เวลามาปฏิเสธแล้ว!” พูดจบก็ประสานมือโค้งกายคารวะค้างไว้
เฉาหม่านส่ายหน้า ถามหยั่งเชิงว่า “เรื่องนี้ควรให้สมาคมอาวุโสตัดสินใจ ทำไมพ่อบ้านเว่ยไม่ติดต่อสมาคมอาวุโส?”
เว่ยซูตอบอย่างจริงใจว่า “สมาคมอาวุโสทราบเรื่องนี้แล้ว เป็นสมาคมอาวุโสที่ให้บ่าวมาหาคุณชายสาม”
เฉาหม่านราวกับมีคลื่นกระทบใจ แต่ยังสำรวมท่าทีไว้ “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ พ่อบ้านเว่ยช่วยเป็นตัวแทนแนะนำได้หรือไม่ ให้ข้าปรึกษากับสมาคมอาวุโสสักหน่อย?” เขาอยากจะฉวยโอกาสนี้สืบก้นบึ้งของสมาคมอาวุโส ควบคุมสมาคมอาวุโสเอาไว้
เว่ยซูกล่าวอย่างลำบากใจว่า “ไม่ผิดบังคุณชายสาม บ่าวก็แค่ได้รับคำสั่งจากสมาคมอาวุโสให้มาหาคุณชายสาม บ่าวติดต่อสมาคมอาวุโสไม่ได้เลย ไม่รู้ด้วยว่าสมาคมอาวุโสอยู่ที่ไหน ทางสมาคมอาวุโสบอกไว้แล้ว ว่ารอให้โอกาสมาถึง ก็ย่อมติดต่อกับคุณชายสามเอง!”
พูดถึงขั้นนี้แล้ว เฉาหม่านก็ไม่อาจตอบรับง่ายๆ เช่นกัน ต่อให้ต้องเล่นตัว แต่ก็ต้องตีหน้าซื่อปฏิเสธต่อไป สุดท้ายภายใต้การโน้มน้ามซ้ำๆ ของเว่ยซู เฉาหม่านถึงได้ตอบรับเหมือนฝืนใจ
ปรึกษาเรื่องกำจัดพระปีศาจอีกนิดหน่อย แล้วก็ถามอีกว่าจะทำอย่างไรกับทางจวนท่านปู่สวรรค์ จากนั้นเฉาหม่านก็ให้ชีเจวี๋ยพาเว่ยซูไปพักผ่อนก่อน ส่วนตัวเองก็เดินไปเดินมาอยู่ในความมืด ใช้เวลานานกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ รสชาติการเปลี่ยนแปลงในเวลาสองวันนี้น่าตื่นตกใจกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก ตอนนี้ในที่สุดเว่ยซูก็มายืนอยู่ข้างกายเขาแล้ว ภาพรวมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้ว!
หลังจากใจเย็นลงแล้ว เฉาหม่านก็เรียกชีเจวี๋ยมา แล้วแอบกำชับให้จับตาดูเว่ยซูไว้ ถ้าเขาไม่อนุญาตก็ห้ามปล่อยเว่ยซูออกไป!
มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาไม่ยอมให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรอีก เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ต้องรอให้เขายืนยันตำแหน่งในตระกูลให้ได้ก่อน ถึงจะให้อิสระแก่เว่ยซูได้
จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อหาเหมียวอี้อีก สามารถดำเนินการตามแผนของเหมียวอี้ได้แล้ว
จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เหมียวอี้ผลักร่างเปลือยอันงดงามของเฟยหงที่นอนกอดเขาออกไป แล้วลุกขึ้นจากความอ่อนโยนของสตรี จากนั้นใส่เสื้อผ้าอย่างง่ายๆ ใส่ชุดคลุมแล้วเดินปล่อยผมออกนอกประตูมารับแสงจันทร์ มานั่งอยู่ในโถงหลักคนเดียว เหยียนซิวโผล่มายืนเงียบๆ อยู่ข้างหลังเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ผ่านไปครู่เดียว หยางเจาชิงกับหยางชิ่งก็ทยอยกันมาถึง
เหมียวอี้โบกมือให้ทั้งสองไม่ต้องมากพิธีรีตอง นั่งตัวตรงแล้วบอกว่า “เว่ยซูมาถึงตึกศาลาสัตยพรตแล้ว ยืนอยู่ข้างกายเฉาหม่าน”
หยางชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย “ก่อนหน้านี้สงสัยเว่ยซูคนนี้ ตอนนี้เว่ยซูมายืนอยู่ฝ่ายเฉาหม่านอย่างไม่ลังเล ดูท่าเซี่ยโห้วลิ่งคงจะถูกทิ้งแล้วจริงๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าสมาคมอาวุโสที่ลึกลับนั่นแสดงบทบาทมากขนาดไหน”
เหมียวอี้จอบว่า “บัวโลหิตอยู่ในมือข้า ไม่สนใจเขาแล้ว! ตอนนี้เฉาหม่านอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาด เขาเองก็กลัวว่าจะมีคนมาชุบมือเปิบ ถ่ายทอดคำสั่งข้าไป แอบระดมทัพเกรียงไกรหนึ่งล้านเข้ามาประจำที่ตลาดผีเดี๋ยวนี้ ถ้าตึกศาลาสัตยพรตเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรก็ไปสนับสนุนทันที แล้วค่อยระดมทัพห้าล้านไปดักซุ่มที่เขาภูตพเนจร เตรียมไว้สนับสนุน! เหวินเจ๋อ…กันคนจากกองทัพองครักษ์ให้ข้าด้วย อย่าให้พวกเขารู้ข่าว ถ้าจำเป็น ฆ่าได้!”
………………