เซี่ยโห้วท่าเม้มริมฝีปากแน่น เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะกล่าวช้าๆ ว่า “เรื่องนี้เท่ากับพิสูจน์แล้วว่าพระปีศาจไปขอบัวโลหิตจากหนิวโหย่วเต๋อจริงๆ หนิวโหย่วเต๋อสามารถติดต่อพระปีศาจได้โดยตรง ไม่อย่างนั้นพระปีศาจไม่มีทางดักซุ่มลงมือได้ทันเวลา!”
“สักวันหนึ่งจะต้องบดขยี้ร่างหนิวโหย่วเต๋อเป็นหมื่นชิ้น!” เว่ยซูกล่าวอย่างเคียดแค้น
“ลูกชายข้าจะตายเปล่าได้ยังไง! เรื่องล้างแค้นต้องเกิดขึ้นในสักวันหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนี้ ต้องควบคุมข่าวทันที อย่าให้ข่าวแพร่ออกไปจนคนทั้งใต้หล้ารู้กันหมด ไม่อย่างนั้นตระกูลเซี่ยโห้วอาจจะวุ่นวายได้!” เซี่ยโห้วท่ากล่าวด้วยสายตาเยียบเย็น
เว่ยซูยกแขนเสื้อปาดน้ำตา “กำชับลงไปแล้วขอรับ”
ในฐานะพ่อบ้าน เขาไม่ถึงขั้นทำเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ได้ไม่ดี ในเมื่อเซี่ยโห้วท่าให้เขาเข้าใจเจตนาแล้ว เขาก็คือผู้ลงมือทำที่ดีที่สุด ไม่ต้องอธิบายก็รู้ว่าควรจะทำอย่างไร ออกคำสั่งให้ปิดข่าวในทันที
เซี่ยโห้วท่ายืนอยู่บนหัวเรือที่โคลงเคลงเล็กน้อย จ้องเข้าพักหนึ่งแล้วถอนหายใจ “ตอนนี้เจ้ากลับไปได้แล้ว ไปหาเจ้าสามเถอะ เมื่อเจ้าไปถึงข้างกายเจ้าสามแล้ว คนอื่นย่อมรู้ว่าหมายความว่าอะไร บอกเจ้าสาม ว่าจำกัดข่าวการตายของเจ้ารองไว้แค่ระดับพี่น้องพี่ควบคุมสายต่างๆ พอ อย่าเพิ่งกระจายข่าว…ช่างเถอะ เรื่องนี้เจ้าสามรู้อยู่แล้วว่าควรทำยังไง ไม่ต้องให้เจ้ากำชับ”
“ขอรับ!” เว่ยซูข่มความเศร้าโศกเอาไว้ ออกมาจากห้องโดยสารเรือ “แล้วที่จวนท่านปู่สวรรค์จะทำยังไง? ตลาดสวรรค์ที่คุณชายรองดูแลจะทำยังไงขอรับ?”
เซี่ยโห้วท่ากลับมาสุขุมเยือกเย็นเร็วมาก ลูบเคราพร้อมบอกว่า “สองที่นั้นส่งต่อให้คนที่อยู่ในที่แจ้งก็พอ ตอนนี้เจ้าสามยังแสดงตัวอย่างเป็นทางการไม่ได้ ไม่อย่างนั้นทั้งใต้กล้าจะรู้หมดว่าตระกูลเซี่ยโห้วเกิดการเปลี่ยนแปลง จะทำให้พวกประมุขชิงคิดไม่ซื่อได้ง่าย จะดึงดูดความสนใจพระปีศาจไปที่ตัวเจ้าสามได้ง่ายด้วย ตอนนี้ให้เจ้าสามแอบรวบรวมกำลังดำเนินการทุกอย่างชั่วคราว ข้ายังยืนยันคำเดิม ทำงานในที่ลับเลี่ยงอันตรายได้ง่ายกว่าทำงานในที่แจ้ง ทางจวนท่านปู่สวรรค์กับตลาดสวรรค์ เจ้าปรับตัวได้ดีกว่าเจ้ารอง ถ้าเจ้าออกหน้าก็สามารถคุมได้ ไม่มีใครกล้าไม่เชื่อฟังเจ้า เจ้าแอบควบคุมดูแลชั่วคราวก็พอ รอให้แก้ไขเรื่องพระปีศาจได้แล้ว ค่อยพิจารณาเรื่องพวกนี้อีกที ไปเถอะ!”
“ขอรับ! บ่าวขอตัว!” เว่ยซูกุมหมัดคารวะแล้วถอยออกไป โค้งตัวทำความเคารพนานมาก จากนั้นถึงได้เหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากมองคล้อยหลังเขาหายไป เซี่ยโห้วท่าก็ราวกับแก่ลงหมื่นปี นั่งทรุดลงบนหัวเรือ น้ำตาไหลอาบใบหน้าชรา ร้องไห้สะอึกสะอื้น…
ราวกับไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เหยียนซิวยังมีท่าทางเหมือนเดิม ก้าวเข้าไปในจวนผู้สำเร็จราชการอย่างมั่นคงหันกแน่น
หยางชิ่งกับหยางเจาชิงเดินไปเดินมาอยู่นอกเรือนด้านใน พอเห็นเขากลับมาแล้ว ก็หยุดยืนมองเขาทันที
“เป็นยังไงบ้าง?”
“เป็นยังไงบ้าง?”
ทั้งสองถามเหยียนซิวเป็นเสียงเดียวกัน
แต่ใครจะคิดว่าเหยียนซิวจะมองทั้งสองอย่างเย็นชาเท่านั้น ไม่มีปฏิกิริยาอะไรสักนิด ไม่ตอบอะไร ไม่บอกผลลัพธ์อะไร เดินผ่ากลางทั้งสองไป เข้าไปที่เรือนด้านในโดยตรง
ตอนนี้นิสัยของเขาชอบสันโดษเอาแต่ใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจวนผู้สำเร็จราชการ นอกจากเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวแล้ว เขาก็ไม่ฟังใครทั้งนั้น นอกจากเหมียวอี้กับฮูหยินก็ไม่มีใครออกคำสั่งกับเขาได้ ก็แค่ไม่ไว้หน้าอย่างนี้ ใครก็ทำอะไรเขาไม่ได้
หยางชิ่งกับหยางเจาชิงเก้อเขิน สบตากันอย่างพูดไม่ออก
ท่ามกลางทหารยามที่อยู่ไม่ไกลมีคนชำเลืองมองหยางชิ่งแวบหนึ่ง พบว่าคนคนนี้สวมหน้ากากเป็นเวลานาน ไม่เผยโฉมหน้าที่แท้จริง แต่ดูแล้วไม่เหมือนลูกน้องของพ่อบ้านหยาง
ในห้องอาบน้ำ เหมียวอี้ที่เปลือยกายแช่อยู่ในอ่างน้ำกำลังนอนพิงอ่านอาบน้ำ ข้างกายวางสุราเลิศรสไว้ให้เขาค่อยๆ ลิ้มรส
เฟยหงก็เปลือยกายอยู่ในน้ำเช่นกัน นางกำลังบิดกายขาวดุจหิมะที่ทำให้คนเห็นแล้วเลือดลมสูบฉีด ขัดตัวอาบน้ำให้เหมียวอี้ด้วยแรงที่พอดี สีหน้าท่าทางเกียจคร้านอยู่บ้าง นางยังไม่ฟื้นตัวจากความสุขสมอันดุเดือดถึงอกถึงใจก่อนหน้านี้ มองเหมียวอี้ด้วยตาเยิ้มเป็นระยะ ออดอ้อนออเซาะเป็นพิเศษ
นางรู้สึกได้ว่าก่อนหน้านี้เหมียวอี้ระบายอารมณ์กับร่างกายนางอย่างบ้าคลั่ง ไม่ทะนุถนอมสาวงามเลยสักนิด แต่ถึงอย่างไรนางก็อยู่กับเหมียวอี้มาหลายปี พอจะรู้จักนิสัยอารมณ์ของเหมียวอี้อยู่บ้าง ตามการสันนิษฐานของนาง ทุกครั้งที่เหมียวอี้ระเบิดอารมณ์อย่างนี้ คือช่วงเวลาที่เขาน่าจะแบกรับความกดดันมหาศาล
แม้นางจะเป็นนักพรต แต่กลับเป็นแบบฉบับของสตรีที่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ไม่เข้าใจเรื่องลมคาวฝนเลือดข้างนอก ตอนนี้ข้างนอกเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ นางเองก็มองไม่ออกว่าเหมียวอี้กดดันจากเรื่องไหน มีเรื่องมากมายที่นางไม่เข้าใจ และมองไม่กระจ่างเช่นกัน แต่นางก็รู้ ว่าทุกครั้งนี้เหมียวอี้เป็นแบบนี้ ก็แสดงว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น ในใจกำลังสงสัยว่ากำลังจะเกิดเรื่องอะไร
ส่วนเหมียวอี้ในตอนนี้ก็กำลังจิบสุราอย่างเอื่อยเฉื่อย เห็นได้ชัดว่าใจลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไร นางทำได้เพียงพยายามอ่อนโยนกับเต็มที่
ตรงประตูห้องอาบน้ำมีเสียงฝีเท้าเบาๆ สาวใช้คนหนึ่งเดินมาถึงหลังม่าน พอชำเลืองเงาคนสองคนที่อยู่ในน้ำผ่านม่านบาง นางก็หน้าแดงทันทิก้มหน้ารายงานว่า “นายท่าน เหยียนซิวขอพบค่ะ”
เหมียวอี้ตาเป็นประกาย ได้สติกลับมาทันที วางสุราไว้บนขอบอ่างแล้ว
เฟยหงรีบลุกขึ้นจากอ่าง นำชุดคลุมมาคลุมไว้บนร่างตัวเอง แล้วรีบหยิบชุดคลุมของเหมียวอี้มาไว้ในมือ
จากนั้นร่างเปลือยของเหมียวอี้ก็ลุกออกจากน้ำ ลุกขึ้นจากน้ำตัวเปล่าอย่างไม่เกรงกลัวอะไร หน้าอกที่มีกล้ามแน่น ร่างกายที่แข็งแรงทรงพลัง ทำให้เฟยหงแอบกัดปากอย่างเขินอาย
เหมียวอี้กางแขนสองข้าง ละอองน้ำบนร่างกายกลายเป็นหมอกหายไปในชั่วพริบตาเดียว หันตัวกลับมาสวมแขนเสื้อที่เฟยหงกางให้อย่างเป็นธรรมชาติ คุ้นเคยกับการถูกปรนนิบัติตั้งนานแล้ว ลักษณะอันน่าเกรงขามที่เผยออกมาโดยไม่รู้ตัวเข้ากับฐานะเจ้าอาณาเขตของเขาจริงๆ อยู่เหนือผู้อื่นมาแสนนาน!
หลังจากมองคล้อยหลังเหมียวอี้เดินออกไป เฟยหงถึงได้ตะโกนเรียกให้สาวใช้มาช่วยตัวเองใส่เสื้อผ้า
สำหรับเรื่องการปรนนิบัติเหมียวอี้ อวิ๋นจือชิวออกคำสั่งไว้แล้ว ว่านอกจากผู้หญิงไม่กี่คนที่อยู่ข้างกายเหมียวอี้ นางก็ไม่ให้ผู้หญิงคนอื่นแตะต้องเหมียวอี้เลย มาดูเหมียวอี้อาบน้ำก็ไม่ได้ นางกล้าหาญที่จะออกคำสั่งอย่างนี้! เหมียวอี้รู้สึกว่าไร้เหตุผล แต่เฟยหงและอนุภรรยาคนอื่นกลับยืนฝ่ายอวิ๋นจือชิว รู้สึกว่าฮูหยินปราดเปรื่องไร้ที่เปรียบ ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะเชื่อฟังฮูหยิน
เหยียนซิวในตอนนี้เหมือนจะไม่คุ้นชินกับการทำความเคารพแล้ว พอเหมียวอี้เดินก้าวยาวออกมาจากห้องอาบน้ำ เขาก็แค่มาเดินอยู่ข้างหลังเหมียวอี้เงียบๆ
เหมียวอี้เหล่ตามองเขาแวบหนึ่ง คาดว่าเรื่องนี้คงสำเร็จแล้ว ทั้งยังราบรื่นมากด้วย ไม่อย่างนั้นก็คงติดต่อมาก่อนหน้านี้แล้ว คงไม่กลับมาเงียบๆ อย่างนี้
“ไป๋เฟิ่งหวงล่ะ?” เหมียวอี้ที่เดินเหมือนพยัคฆ์มังกรถ่ายทอดเสียงถาม บนตัวยังมีกลิ่นหอมหลังจากอาบน้ำ
“นางบอกว่าทำเรื่องที่ท่านสั่งเรียบร้อยแล้ว ไม่ยอมมาพบนายท่าน หนีไปแล้ว” เหยียนซิวตอบ
มีสองคนอ้อมออกมาจากสวนดอกไม้ พอเห็นทั้งสองรออยู่ในศาลา เหมียวอี้ก็เข้ามานั่งในศาลา ถามหยางเจาชิงกับหยางชิ่งแบบต่อหน้าว่า “เรื่องเป็นยังไงบ้าง?”
“แก้ไขปัญหาอย่างราบรื่นขอรับ” เหยียนซิวกล่าว
“เห็นกับตาว่าเซี่ยโห้วลิ่งตายแล้ว?” หยางชิ่งถาม
เหยียนซิวตอบว่า “เปล่า ข้างกายเขามียอดฝีมือเยอะเกินไป ไม่กล้าเข้าใกล้ เข้าใกล้ไม่ได้เช่นกัน แต่สามารถแน่ใจได้ว่าเขาตายแล้ว แต่ข้ารู้สึกได้ว่าตอนเกิดเรื่องข้าควบคุมเขาไม่ได้ นี่คือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากอีกฝ่ายตายแล้วเท่านั้น”
หยางชิ่งขมวดคิ้ว เหมียวอี้เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง “ทำไม เจ้าสงสัยการคาดคะเนของเหยียนซิวเหรอ?”
หยางชิ่งถอนหายใจ “ไม่ใช่ว่าสงสัย เพียงแต่รู้สึกว่าถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเองแล้วกังวลนิดหน่อย เพราะทางฝั่งนั้นก็ไม่ใช่เล่นๆ โดยเฉพาะเว่ยซู พวกเราไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของเขาเลย ถ้าเขาคาดเดาได้ล่วงหน้าแล้ว ข้าน้อยกลัวว่าอีกฝ่ายจะใช้แผนซ้อนแผน ระวังไว้หน่อยดีกว่า”
เหยียนซิวจ้องเขาอย่างเย็นเยียบ แล้วย้ำอย่างเป็นทางการว่า “เซี่ยโห้วลิ่งตายไปแล้ว ตายเพราะปลิดชีพตัวเอง!” น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยเป็นมิตร หลังจากผ่านเรื่องจูเก๋อชิงมา เขาก็ไม่รู้สึกดีกับหยางชิ่งสักเท่าไร ฟังจากน้ำเสียงก็พอจะรู้แล้ว
หยางเจาชิงมองประเมินทางซ้ายและขวาเงียบๆ กับเรื่องบางเรื่องเขารู้อยู่แก่ใจ
หยางชิ่งถูกเขาทำให้อึดอัดนิดหน่อย แต่ก็ยังกล่าวอย่างระมัดระวังว่า “แน่ใจนะว่าไม่ได้ทิ้งหลักฐานอะไรให้อีกฝ่ายสงสัยว่าพวกเราแอบควบคุมเซี่ยโห้วลิ่ง? เหยียนซิว ข้าไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่น แค่อยากจะเตือนเจ้าสักหน่อย ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ถ้าให้ตระกูลเซี่ยโห้วรู้ว่าเจ้าสามารถใช้วิธีการนี้ได้ ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องสงสัยแน่ว่าพวกเรารู้ความลับบางอย่างจากปากเซี่ยโห้วลิ่งแล้ว แบบนั้นผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมาก ตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องลงมือกับพวกเราด้วยวิธีการที่รวดเร็วและรุนแรงแน่นอน!”
ที่เขากังวลเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล เขาไม่รู้เลยว่าทางฝั่งเหมียวอี้ลงมือกับเซี่ยโห้วลิ่งอย่างไร เหมียวอี้บอกเพียงว่าเขาเตรียมการไว้ดีแล้ว
คนฉลาดมักจะมีปัญหาทำนองนี้ เรื่องที่ตัวเองไม่วางใจก็มักจะกังวลว่าคนอื่นจะทำได้ไม่ดี มักจะชอบลงมือด้วยตัวเองทุกเรื่อง คนประเภทนี้สิ้นเปลืองสติปัญญาได้ง่าย
“พวกเขาก็แค่ได้เห็นพระปีศาจหนานโปแล้ว” เหยียนซิวพูดทิ้งท้ายประโยคนี้แล้วก็หุบปาก ไม่อยากเปลืองคำพูดต่อไป โดยเฉพาะกับหยางชิ่ง รู้สึกว่าคนแบบหยางชิ่งเจ้าเล่ห์น่ากลัวเกินไป แม้แต่กับคนฝ่ายตัวเองก็ยังวางกับดักได้ ทั้งยังฉลาดเกินไป ทำให้คนป้องกันไม่ชนะ
หยางชิ่งกำลังจะอ้าปากพูด แต่เหมียวอี้ยกมือห้ามแล้ว “ไม่ต้องถามเรื่องนี้แล้ว วางแผนให้พระปีศาจหนานโปเป็นแพะรับบาปเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวราบรื่นมาก ไม่มีช่องโหว่อะไร”
ในเมื่อเหมียวอี้พูดตัดบทแบบนี้แล้ว หยางชิ่งก็ไม่สะดวกจะถามมากอีก กุมหมัดคารวะบอกว่า “นายท่าน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สามารถแจ้งข่าวดีกับเฉาหม่านได้แล้ว จะได้รู้ทิศทางความเคลื่อนไหวของเว่ยซูได้เร็วๆ พ่อบ้านเว่ยคนนี้อันตรายเกินไป ต้องแน่ใจแผนของเว่ยซูโดยเร็วที่สุด!”
ถ้าให้เฉาหม่านได้ยินคำพูดนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร ฆ่าพี่น้องของเขาแล้วยังจะแจ้งข่าวดีต่อเขาอีก
เหมียวอี้พยักหน้า หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเฉาหม่านโดยตรง
ตลาดผีมือสลัว ในตึกศาลาสัตยพรต ห้องหนึ่งที่ปิดอยู่ในความมืด เฉาหม่านเดินไปเดินมาอย่างร้อนรน สงบจิตใจไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว มองแสงโคมไฟริบรี่นอกหน้าต่างเป็นระยะ แล้วก็เอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาต่อ
แม้เหมียวอี้จะไม่ได้บอกว่าเขาลงมืออย่างไร ไม่ได้บอกแผนการโดยละเอียดเลยสักนิด แต่สายลับตึกศาลาสัตยพรตที่แดนรัตติกาลก็ไม่ใช่เล่นๆ เขาได้ข่าวแล้วว่าเซี่ยโห้วลิ่งมาที่แดนรัตติกาลแล้วไปดาวจันทร์อี่
หนิวโหย่วเต๋อทำให้เซี่ยโห้วลิ่งมาที่นี่ด้วยตัวเองได้จริงๆ!
เฉาหม่านตระหนักได้แล้ว ว่าวันนี้อาจจะเป็นเวลาที่หนิวโหย่วเต๋อลงมือสังหาร ก็เพราะตระหนักได้ถึงจุดนี้ เขาเลยไม่เป็นอันกินอันนอน รู้สึกเครียดและสงบอารมณ์ไม่ได้ ออกคำสั่งไปแล้วว่าไม่ให้ใครมารบกวน เขารู้ว่าตัวเองได้ตัดสินชะตาชีวิตไปแล้ว ชะตากรรมของหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วจะเป็นอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับวันนี้ ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อสามารถทำให้สำเร็จได้หรือไม่ เรียกได้ว่าค่อนข้างวิตกกังวล
มีอยู่จุดหนึ่งที่เขาเข้าใจชัดเจน นั่นก็คือต้องแบกรับความเสี่ยงมหาศาลกับเรื่อง ถ้าหนิวโหย่วเต๋อพลาดไป เซี่ยโห้วลิ่งจะต้องสงสัยทันนทีว่าเขาเป็นคนบงการ ไม่อย่างนั้นหนิวโหย่วเต๋อก็ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงทำเรื่องอย่างไร ไม่ถึงขั้นสังหารหัวหน้าตระกูล เซี่ยโห้วลิ่งจะต้องยอมแลกทุกอย่างเพื่อกำจัดเขาเช่นกัน
จู่ๆ กำไลเก็บสมบัติในระฆังดาราก็ส่งเสียง พอร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดู ก็พบว่าเป็นระฆังดาราที่หนิวโหย่วเต๋อใช้ติดต่อเขา ตอนนี้ระฆังดาราอันนี้อยู่ในจุดที่สังเกตเห็นง่ายที่สุด หลังจากหยิบระฆังดารามาไว้ในมือ ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวน รู้สึกไม่ค่อยกล้าติดต่อกับหนิวโหย่วเต๋อ
สุดท้ายก็ยังแข็งใจตอบกลับไป : ผู้ตรวจการใหญ่มีอะไรจะกำชับ?
เหมียวอี้ : เถ้าแก่ เรื่องราวราบรื่น เซี่ยโห้วลิ่งตายแล้ว ยินดีด้วย!
เฉาหม่านโล่งใจราวกับยกภาระหนักอกจากอก ถอนหายใจยาว รู้สึกว่าตัวเองแทบจะยืนไม่ไหวแล้ว รีบถอยหลังไปพิงข้างเก้าอี้ แทบจะทรุดนั่งลงบนนั้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงถี่กระชั้น หอบหายใจเฮือกใหญ่
………………