เหมียวอี้ตกอยู่ในความเงียบ
เซี่ยโห้วลิ่งยิ้มมุมปาก ไม่ได้เร่งเร้าเขาเช่นกัน ชมการแสดงระบำอย่างผ่อนคลาย รอคำตอบจากเขา
ในใจเขารู้ชัดเจน ว่าถ้าตัวเองมาหาถึงที่แล้ว เหมียวก็อี้มิอาจไม่มอบให้เขา ถ้าไม่ให้เขา เหมียวอี้ก็รับผิดชอบลที่ตามมาไม่ไหว
หลังจากผ่านไปนาน จู่ๆ เหมียวอี้ก็ถามว่า “ถ้ามอบให้ท่านปู่สวรรค์ ข้าจะได้ผลประโยชน์อะไร?”
เซี่ยโห้วลิ่งยิ้มอ่อน “ผลประโยชน์เหรอ? ถ้าผู้ตรวจการใหญ่กระจ่างเรื่องบางอย่าง ก็จะรู้ว่าข้ากำลังช่วยผู้ตรวจการใหญ่แก้ไขปัญหายุ่งยาก”
ไม่มีผลประโยชน์เหรอ? เหมียวอี้ทำหน้าเซ็ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มแข็งๆ “เหอะๆ ไม่รบกวนท่านปู่สวรรค์ดีกว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน เดี๋ยวข้าจะเป็นฝ่ายไปสารภาพกับตำหนักสวรรค์เอง”
เซี่ยโห้วลิ่งมุมปากกระตุก แล้วถามเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ต้องการผลประโยชน์อะไรล่ะ?”
เหมียวอี้ยกจอกสุราเชิญดื่ม “มอบของสิ่งนี้ให้ตำหนักสวรรค์ สมบัติล้ำค่าขนาดนี้ ตำหนักสวรรค์จะไม่ตบรางวัลข้าเชียวเหรอ? พวกเราอย่าอ้อมค้อมเลย ของนี้ข้าให้เปล่าไม่ได้หรอก ตระกูลเซี่ยโห้วเองก็ไม่ขาดเงิน ท่านปู่สวรรค์จ่ายเงินซื้อของเถอะ”
“ผู้ตรวจการใหญ่ช่างปากไวใจถึงจริงๆ ว่ามาเถอะ เจ้าต้องการเท่าไร?” เซี่ยโห้วลิ่งสีหน้าเรียบเฉย
เหมียวอี้ชูหนึ่งนิ้ว “ยาแก่นเซียนหนึ่งพันล้านเม็ด!”
เซี่ยโห้วลิ่งแสยะยิ้ม “ผู้ตรวจการใหญ่ที่กระเพาะใหญ่ไม่ธรรมดาจริงๆ”
เหมียวอี้จ้องเขา “กระเพาะนี้หดเล็กลงเยอะแล้ว ในปีนั้นอิ๋งจิ่วกวงให้ข้าหนึ่งหมื่นล้านยาแก่นเซียน ทั้งยังเพิ่มเงื่อนไขด้วย ตอนนี้ข้าขอแค่หนึ่งพันล้านเม็ดจากท่านปู่สวรรค์ ถือว่าข้าแสดงความจริงใจมากพอแล้ว! ในเมื่อบัวโลหิตมีสรรพคุณอัศจรรย์ ข้ากับเจ้าล้วนรู้ชัดอยู่แก่ใจ ตระกูลเซี่ยโห้วตั้งปณิธานแน่วแน่แล้วว่าต้องใช้ ไม่หวังให้ตกอยู่ในมือคนอื่น มิหนำซ้ำเงินเล็กน้อยเท่านี้ก็ไม่นับว่ามากมายสำหรับตระกูลเซี่ยโห้ว พูดในกรณีที่แย่ที่สุด ต่อให้ไม่เกี่ยวกับพระปีศาจหนานโป แต่ถึงยังไงก็เป็นสมุนไพรจิตวิญญาณ เอาไปขายที่ไหนก็มีมูลค่าไม่น้อย นี่คือของที่ข้าเอาชีวิตแลกมาเชียวนะ ท่านปู่สวรรค์รู้สึกว่าชีวิตของหนิวไม่ได้มีค่าเท่านี้เหรอ? ถ้าท่านปู่สวรรค์อยากได้จากใจจริง ข้าก็ไม่ทำให้ลำบากใจ แค่หนึ่งพันล้านเอง ถ้าท่านปู่สวรรค์ไม่เต็มใจให้ เช่นนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเจรจาต่อแล้ว พวกเราดื่มสุราดูระบำต่อไปให้สำราญบานใจเถอะ อย่าทำให้ทุกคนเสียบรรยากาศเลย”
ทั้งสองสบตากัน ในสายตาสื่อถึงการคุมเชิงเข้มข้นมาก
สุดท้ายก็เป็นเซี่ยโห้วลิ่งที่ยอม “จะพูดปากเปล่าไม่ได้ ผู้ตรวจการใหญ่ควรนำของออกมาให้ข้าพิสูจน์ก่อนสิ?”
เหมียวอี้กวาดสายตามองไปรอบๆ “ท่านปู่สวรรค์คงไม่คิดจะให้ข้านำออกมาเชยชมในที่แบบนี้หรอกใช่มั้ย?”
“อย่าบอกเชียวนะว่าจวนผู้สำเร็จราชการใหญ่โตขนาดนี้ แต่ไม่มีที่ลับตาคนเลย” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว
“เช่นนั้นก็รบกวนท่านปู่สวรรค์ตามข้าไปสักรอบ” เหมียวอี้วางจอกสุราลงแล้วยืนขึ้น
เซี่ยโห้วลิ่งเองก็วางจอกสุราแล้วเดินตามไปเช่นกัน ผู้ติดตามของเขารวมตัวกันเดินตามไปทันที
เมื่อออกจากตึกศาลางามวิจิตรแล้ว เหมียวอี้ก็หยุดตรงประตูลานบ้านด้านใน แล้วหันกลับมามองคนกลุ่มใหญ่ที่ตามมาด้วย แล้วถามด้วยน้ำเสียงปกติว่า “ท่านปู่สวรรค์จะให้คนกลุ่มนี้ล่วงล้ำเข้ามาในเรือนของหนิวเหรอ?”
“ไม่ต้องตามมาแล้ว รออยู่ตรงนี้เถอะ” เซี่ยโห้วลิ่งหันกลับไปสั่ง สำหรับเขา เป็นไปไม่ได้ที่เหมียวอี้จะลงมือกับเขาที่นี่ ถ้าจะลงมือจริงๆ ก็ถือว่าเดินลึกเข้ามาในถ้ำเสือแล้ว คนเล็กน้อยเท่านี้ปกป้องเขาไม่ไหวอยู่ดี
ทั้งสองเข้ามาที่เรือนด้านใน พอมาถึงทางเข้าห้องใต้ดิน ก็เดินตามบันไดลงไป มีกำแพงโลหะปิดอยู่ พอเหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์โบกมือ กำแพงโลหะก็เปล่งแสงแล้วเปิดออกในชั่วพริบตาเดียว ปรากฏโพรงที่มีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ มีแสงสลัวประหลาด
เหมียวอี้ยื่นมือเชิญให้เข้าไป เซี่ยโห้วท่าถามอย่างระวังตัวว่า “นี่คือ?”
“ห้องฝึกตนลับที่หนิวสร้างขึ้นมา ทำไมล่ะ? ท่านปู่สวรรค์กลัวว่าหนิวจะทำเรื่องไม่ดีกับท่านปู่สวรรค์เหรอ?” เหมียวอี้ยิ้มอ่อน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก ก้าวเข้าไปเอง ชั่วพริบตาเดียวคนหายไปในโพรงนั้น
เซี่ยโห้วลิ่งลังเลนิดหน่อย พอคิดได้ว่าหนิวโหย่วเต๋อไม่กล้าปล่อยให้เขาเป็นอะไรไปที่นี่ ถึงได้แข็งใจก้าวตามเข้าใจ
ทันใดนั้นภาพตรงหน้าก็สว่างวาบ เซี่ยโห้วลิ่งงุนงง พบว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในโลกที่มีทิวทัศน์ธรรมชาติงดงามแล้ว แต่สิ่งที่หลบไม่ทันก็คือ ตรงหน้ามีแสงสีดำก่อกวนเข้ามา เดิมทีก็เป็นตาข่ายกับดักที่ตั้งใจถักทอไว้รออยู่แล้ว พอเข้ามาแล้วยังจะหนีไปไหนได้อีก โพรงถ้ำข้างหลังก็ปิดสนิทแล้วเช่นกัน เรียกได้ว่าตกหลุมพรางในรวดเดียว ทั้งตัวมึนชาดิ่งตกลงมากลางอากาศ
เงาคนคนหนึ่งถลันเข้ามา เหยียนซิวที่ถือธงเรียกวิญญาณคว้าเซี่ยโห้วท่าแล้วเหยียบลงพื้นอย่างมั่นคง เหยียบลงข้างกายเหมียวอี้
หยางชิ่งถลันตัวออกจากภูเขาที่อยู่ใกล้ๆ เช่นกัน อดไม่ได้ที่จะมองเหยียนซิวสองครั้ง แม้ตัวเองจะรู้อะไรมาบ้างแล้วนิดหน่อย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเหยียนซิวแสดงพลังอภินิหารขนาดนี้
ขณะมองเซี่ยโห้วลิ่งที่ก้าวเข้ามาในกับดักแล้วถูกควบคุมได้อย่างง่ายดาย เหมียวอี้ก็เหล่ตามองหยางชิ่งแวบหนึ่ง “คนสายตาสูงฝีมือต่ำแบบนี้ ฆ่าตายก็เสียดาย ตามความเห็นของข้า ไม่สู้หาทางกักตัวไว้ดีกว่า ในภายหลังเวลารับมือกับเฉาหม่าน ไม่แน่ว่าอาจใช้ประโยชน์ได้”
หยางชิ่งเข้าใจว่าเขาสื่ออะไร ในภายหลังอยากจะใช้มาบีบเฉาหม่าน หลังจากเฉาหม่านสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูล จู่ๆ ก็พบว่าหัวหน้าตระกูลคนก่อนยังไม่ตาย เฉาหม่านจะถอยออกจากตำแหน่งหรือไม่ แล้วจะให้เฉาหม่านทนความรู้สึกได้อย่างไร หยางชิ่งไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ส่ายหน้าบอกว่า “นายท่าน อย่าให้มีปัญหาอื่นเข้ามาแทรกเลย นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาสำหรับเฉาหม่าน การปล้นตำแหน่งไม่ใช่เรื่องเล็ก อยู่ก็ต้องเห็นตัว ตายก็ต้องเห็นศพ ไม่อย่างนั้นหากไม่รู้ว่าหัวหน้าตระกูลเป็นหรือตาย เฉาหม่านจะกล้าขึ้นสู่ตำแหน่งได้ยังไงร ต้องคำนึงถึงว่าคนอื่นในตระกูลเซี่ยโห้วจะคิดยังไงอยู่แล้ว ประการแรก ลูกน้องคนสนิทของเซี่ยโห้วลิ่งไม่ยอมแน่นอน ทั้งตระกูลเซี่ยโห้วจะต้องสืบหาที่อยู่ของหัวหน้าตระกูลก่อน ไม่ใช่พิจารณาว่าใครจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลต่อ ยิ่งไปกว่านั้น จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลไม่อาจพัวพันกับเรื่องนี้ได้ จะต้องให้เขาออกจากแดนรัตติกาลอย่างปลอดภัย ถ้าอยากจะกักตัวไว้แบบเป็นๆ ก็มีความยากอยู่บ้าง หวังว่านายท่านจะไตร่ตรอง!”
เหมียวอี้เม้มปากยิ้ม พบว่าตัวเองคิดมากไปหน่อย กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ล้อเล่น ล้อเล่นเฉยๆ” จากนั้นก็หันกลับไปบอกเหยียนซิวว่า “รีบถามแข่งกับเวลาสักหน่อย อย่าถปล่อยให้เวลาล่วงเลย ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนนอกสงสัย” พูดจบก็รูดกำไลเก็บสมบัติบนข้อมือเซี่ยโห้วลิ่งมาไว้ในมือตัวเอง
ก่อนหน้านี้ที่ต่อรองราคากับเซี่ยโห้วลิ่ง ก็แค่จะทำให้สับสนเท่านั้น เพื่อลดความระแวดระวังในใจเซี่ยโห้วลิ่ง จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะรอให้เซี่ยโห้วลิ่งกลับไปรวบรวมยาแก่นเซียนหนึ่งพันล้านเม็ด และเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เซี่ยโห้วลิ่งทิ้งหลักฐานติดหนี้ไว้ ต่อไปถ้าเอาหลักฐานการยืมมาได้จริงๆ จะไม่ให้คนของตระกูลเซี่ยโห้วสงสัยก็คงยาก
แต่ตอนนี้สามารถถือโอกาสยึดของดีๆ บนตัวเซี่ยโห้วลิ่งได้
แน่นอน เขาเองก็ไม่กล้ารีดไถจนสะอาดเกลี้ยงเกินไป รีดไถของมีค่าส่วนใหญ่ก็ยังพอไหว พวกระฆังดารา หรือของเล่นบางอย่างที่ไม่รู้จักรายละเอียดดีก็ไม่กล้าเอาไป ต่อไปถ้าคนของตระกูลเซี่ยโห้วตรวจสอบสิ่งของของเซี่ยโห้วลิ่ง ก็จะพบพิรุธได้ง่าย
หยางชิ่งพูดเสริม เตือนเหยียนซิวว่า “เวลาไม่มากแล้ว เลือกถามเฉพาะสิ่งสำคัญ ดูว่าสามารถสืบถึงกำลังลับของตระกูลเซี่ยโห้วได้หรือเปล่า “ขณะที่พูดก็หยิบแผ่นหยกมาบันทึก กลัวว่าจะพลาดข้อมูลสำคัญอะไรไป,
เหยียนซิวกับหยางชิ่งเร่งทำเวลาเพื่อขุดความลับจากปากเซี่ยโห้วลิ่ง ส่วนเหมียวอี้ก็ก้มหน้าก้มตาค้นสมบัติในกำไลเก็บสมบัติของเขา
ความลับที่ได้จากปากเซี่ยโห้วลิ่งไม่ธรรมดาเลย หยางชิ่งฟังแล้วแอบตกใจ สิ่งที่ทำให้หยางชิ่งตกใจกว่านั้นก็คือวิธีการของเหยียนซิว ทำให้เขาตัวสั่นทั้งที่ไม่ได้หนาว เขากำลังคิดว่า ถ้ามีวันหนึ่งที่วิธีการแบบนี้ถูกใช้กับเขาขึ้นมาจะทำอย่างไร? ตอนนี้เขานับว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมอำนาจแต่ละฝ่ายในใต้หล้าถึงต้องการเล่นงานพระปีศาจหนานโปให้ถึงตายให้ได้
เมื่อถามไปสักพัก เห็นว่าเวลาผ่านไปพอสมควรแล้ว ยังต้องเหลือเวลาให้เหยียนซิวร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมเซี่ยโห้วลิ่งแบบลงลึกอีก ถ้าลากออกไปแบบนี้จะทำให้คนสงสัยได้ง่าย หยางชิ่งจึงสั่งให้หยุดโดยไม่ลังเล “นายท่าน น่าจะพอแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วเป็นต้นไม้ใหญ่รากลึก หัวหน้าตระกูลอย่างเซี่ยโห้วลิ่งเหมือนจะรู้ไม่หมดเช่นกัน”
เหมียวอี้เงยหน้าถาม “เขาไม่สารภาพถึงตัวตนพวกพี่น้องที่ซ่อนตัวอยู่เหรอ?” เมื่อครู่แม้จะใจจดใจจ่ออยู่กับการค้นสมบัติของเซี่ยโห้วลิ่ง แต่ก็ยังพอได้ยินอยู่บ้าง
หยางชิ่งพยักหน้า “นี่คือการค้นพบครั้งสำคัญจริงๆ เพียงแต่เขาก็รู้แค่เท่านี้ ส่วนสถานการณ์โดยละเอียดของพี่น้องพวกนั้น เขาเองก็ไม่รู้ชัดเจนเลย ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือเขาไม่ได้กุมอำนาจเท่าไรเลย มีรายละเอียดมากมายที่พวกเราไม่มีเวลาสืบให้ลึกกว่านี้ ตอนนี้ทำได้เพียงเท่านี้ เพียงแต่ข้อมูลบางอย่างมีมูลค่าให้เราใช้ประโยชน์ได้เยอะมาก”
เหมียวอี้โบกมือสั่งให้เหยียนซิวเร่งลงมือ ส่วนตัวเองก็ขมวดคิ้วถามว่า “ได้ยินว่าสมาคมอาวุโสอะไรสักอย่าง มันคืออะไร?”
หยางชิ่งตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่แน่ชัดขอรับ ข้าน้อยก็ได้ยินเป็นครั้งแรกว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีสมาคมอาวุโสอยู่ เซี่ยโห้วลิ่งเองก็ไม่รู้เกี่ยวกับสมาคมอาวุโสชัดเจน แค่เคยได้ยินเซี่ยโห้วท่าเอ่ยถึง บุคคลที่เคยกุมอำนาจทางทหารของตระกูลเซี่ยโห้ว หลังจากปลีกตัวจากสังคมด้วยสาเหตุต่างๆ ก็จะเข้าไปที่สมาคมอาวุโส ดูเหมือนปลีกตัวจากสังคม แต่ล้วนเป็นบุคคลที่เคยกุมอำนาจทางทหารมาก่อน แค่คิดก็รู้แล้วว่ามีอิทธิพลขนาดไหน เพียงแต่เซี่ยโห้วลิ่งไม่เคยเห็นพวกเขาแทรกแซงงานปกติของตระกูลเซี่ยโห้ว สรุปก็คือลึกลับมาก แม้แต่เซี่ยโห้วลิ่งเองก็ไม่รู้ว่าสมาคมอาวุโสนี้ซ่อนอยู่ที่ไหนกันแน่ เขาสงสัยว่าไม่ได้อยู่ในอาณาเขตปกครองของตำหนักสวรรค์เลย แต่ซ่อนตัวอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามที่คนนอกไม่รู้จัก ใช่แล้ว บรรดาองครักษ์ประจำตัวเขามาจากสมาคมอาวุโส แม้แต่เขาเองก็สืบไม่เจอประวัติที่มา”
“สมาคมอาวุโสนี้มีใครควบคุม?” เหมียวอี้ขมวดคิ้ว
“เดิมทีก็ต้องเป็นเซี่ยโห้วท่าควบคุมอยู่แล้ว แต่ก่อนตายเซี่ยโห้วท่าไม่ได้ส่งต่อให้เซี่ยโห้วลิ่ง แค่บอกเซี่ยโห้วลิ่งเท่านั้น ว่าในช่วงเวลาสำคัญสมาคมอาวุโสจะติดต่อเขาไป ถึงตอนนั้นเขาย่อมเข้าใจชัดเจนว่าคืออะไร” หยางชิ่งกล่าว
แสงสีดำที่ครอบอยู่บนศีรษะเซี่ยโห้วลิ่งกลับเข้าไปในธงเรียกวิญญาณ แล้วเหยียนซิวบอกว่า “นายท่าน เสร็จแล้วขอรับ”
เหมียวอี้มองกำไลเก็บสมบัติในมือ แล้วด่าว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วนี่สะสมทรัพย์สินมากี่ยุคแล้ว ล้ำลึกเกินคาดเดาจริงๆ แค่ของที่อยู่บนตัวเขาก็เยอะจนน่าตกใจ มารดาเจ้าเถอะ…” เขาทำสีหน้าเสียดายอยู่แวบหนึ่ง แต่เวลาไม่พอแล้ว เขารวบรวมสมาธิรีบรูดทรัพย์มานิดหน่อย ส่วนของที่ไม่รู้ที่มาชัดเจนเขาก็ไม่กล้าเอามาเลย ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วรู้ว่าของบนตัวเซี่ยโห้วลิ่งหายไป จะต้องสงสัยแน่ว่าปัญหาเกิดขึ้นที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล
หลายปีมานี้ใช่ว่าเขาจะไม่เคยทำเรื่องปล้นทรัพย์สินชาวบ้าน แต่ไหนแต่ไรมามีให้เท่าไรก็กล้าฮุบไว้เท่านั้น ไม่รังเกียจว่าน้อยหรือมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พบว่าของที่ได้มาเหมือนกับเผือกร้อนลวกมือ ไม่กล้าเก็บไว้ นับว่าเข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่า ในยุทธภพยิ่งแก่ยิ่งขี้ขลาด ยิ่งรู้มากก็ยิ่งขีดเส้นแบ่งที่ตัวเองไม่กล้าข้ามไปได้ง่าย
หยางชิ่งพอจะมองออกแล้ว ปลอบใจว่า “นายท่าน เมื่อมีกำลังอำนาจเป็นของตัวเองแล้ว ยังจะกลัวไม่มีของนอกกายพวกนี้อีกเหรอ? งานใหญ่สำคัญกว่า!” ตามความคิดของเขา วิธีการที่มั่นคงปลอดภัยที่สุด วิธีการที่เกิดปัญหาแทรกได้ยากก็คืออย่าไปแตะต้องทรัพย์สินของเซี่ยโห้วลิ่ง
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วโยนกำไลเก็บสมบัติให้เหยียนซิว ใส่กลับเข้าไปบนข้อมือเซี่ยโห้วลิ่งอีกครั้ง แล้วตะโกนว่า “ไป!”
…………………