รู้จักกันมาหลายปีขนาดนี้ นางเองก็รู้ว่าเยารั่วเซียนไม่มีงานอดิเรกอย่างอื่น ชอบแค่ขายของกับศึกษาค้นคว้าพวกของวิเศษ และนางก็รู้ด้วยว่าสำหรับคนที่หลอมของวิเศษอย่างพวกเขา สิ่งนี้มีประโยชน์ต่อการเพิ่มพูนความรู้ ขอเพียงเป็นสิ่งที่เพิ่มฝีมือการหลอมของวิเศษให้เยารั่วเซียนได้ นางก็ยินดีทุ่มทุนอยู่แล้ว
เยารั่วเซียนได้ยินแล้วรู้สึกเกรงใจนิดหน่อย จึงโค้งกายกุมหมัดคารวะ “ทำให้ฮูหยินคิดหนักแล้ว!”
“เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จะเกรงใจทำไม” อวิ๋นจือชิวกล่าวกลั้วหัวเราะ แล้วพูดเสริมอีกว่า “ท่านต้องใส่ใจเรื่องเพิ่มวรยุทธ์ตัวเองให้มากๆ นะ ท่านเป็นพ่อบุญธรรมของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ ข้ามองเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์เป็นเหมือนพี่น้องแท้ๆ มาตลอด ดังนั้นหากท่านต้องการยาแก่นเซียน ก็เอ่ยปากบอกตรงๆ ได้เลย ข้าจะจัดหาให้อย่างเพียงพอแน่นอน ต่อให้คนอื่นจะขาดทรัพยากรฝึกตน แต่ท่านไม่ขาดแน่นอน ท่านสามารถฝึกตนได้อย่างสงบใจ อย่ามองเห็นตัวเองเป็นคนนอกเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะทำให้อวิ๋นจือชิวไม่สงบใจ”
เยารั่วเซียนตอบอย่างเกรงใจทันที “สิ่งที่ฮูหยินกำชับ ตาแก่คนนี้จะจดจำเอาไว้”
เหมียวอี้ที่เหล่ตามองอยู่ข้างๆ ทั้งโมโหทั้งอยากขำ เขามอบผลประโยชน์ให้ตาแก่คนนี้ไปไม่รู้ตั้งเท่าไร ตาแก่คนนี้ก็ปีนเกลียวกับเขามาตลอด แต่ตอนอยู่ต่อหน้าอวิ๋นจือชิวกลับถ่อมตัวมีมารยาท
ตอนที่จะออกไป เหมียวอี้ก็ได้อาศัยบารมีของอวิ๋นจือชิวอีก เยารั่วเซียนมาส่งที่ประตูอย่างเคารพนบนอบ ทำให้เขาพูดไม่ออกมาก
“ข้าว่าตาแก่เยาคงตกหลุมรักเจ้าแล้วมั้ง?” หลังจากออกมาแล้ว เหมียวอี้ก็บ่นให้นางฟัง
เมื่อพูดแบบนี้ออกมา เหมียวอี้ก็รู้ตัวทันทีว่าพูดผิดไป พอเห็นอวิ๋นจือชิวหยุดฝีเท้าแล้วทำสายตาเหมือนมีดคม เขาก็ตกใจจนขนที่หลังลุกชัน
แต่เรื่องที่จินตนาการไว้ไม่ได้เกิดขึ้น จู่ๆ บนใบหน้าอวิ๋นจือชิวก็ปรากฏรอยยิ้มอ่อนหวานน่ารัก นางกระดกนิ้วเรียกเขาพร้อมบอกว่า “มานี่สิ! ข้าจะบอกความลับให้เจ้าฟัง”
“ความลับอะไร?” เหมียวอี้เข้าไปใกล้ พร้อมด่าในใจว่า ข้าคงไม่ได้พูดถูกจริงๆ หรอกใช่มั้ย?
แต่ใครจะไปคาดคิด อวิ๋นจือชิวดึงหูเขาไว้ทันที นางเองก็รู้ตัวว่าตอบสนองได้ไม่เร็วเท่าเขา ตอนนี้วรยุทธ์ห่างกันไม่มากแล้ว ถ้าตรงไปตรงมาเกินไปก็จะทำให้เขาหนีไปได้ง่ายๆ หลังจากบีบหูและควบคุมเขาได้แล้ว นางถึงได้เริ่มแปรพักตร์อย่างจริงจัง ใช้หมัดชกที่หน้าเหมียวอี้ทีหนึ่ง ตามติดด้วยการโจมตีจากหมัดและเท้าอย่างบ้าคลั่ง ระหว่างนั้นก็ด่าไปด้วยว่า “ไอ้เวรนี่! บังอาจมาใส่ร้ายในความบริสุทธิ์ของข้า…”
เรื่องนี้นางต้องแยกแยะให้ชัดเจน เพราะข้างกายมีผู้ชายทำงานรับใช้นางมากมาย วันๆ ต้องอยู่กับผู้ชายเป็นโขยง ถ้าไม่ทำเรื่องนี้ให้ชัดเจน ต่อให้กระโดดลงแม่น้ำก็ชำระล้างชื่อเสียงให้สะอาดเหมือนเดิมไม่ได้ ถ้าระหว่างสามีภรรยามีปมในใจแบบนี้ต่อกัน ก็ไม่สามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้แล้ว โดยเฉพาะในสังคมที่มีค่านิยมแบบนี้ ผู้หญิงไม่สามารถไปเทียบกับผู้ชายได้ นางรับไม่ไหวจริงๆ ถ้าไม่ตีเจ้าเวรนี่จนได้สติ นางก็จะไม่ยอมหยุด!
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์วิ่งเข้ามา แต่ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่ไหว จึงได้เห็นฮูหยินปรี๊ดแตกซ้อมนายท่านอย่างบ้าระห่ำอีกแล้ว เนื่องจากตอนนี้วรยุทธ์ใกล้เคียงกัน ฮูหยินจึงเริ่มใช้ปากกัด ขาดก็แค่เอามีดมาแทง เรียกได้ว่าดุดันไร้เหตุผล ทั้งสองเห็นแล้วใจหายใจคว่ำ เบิกตากว้างอ้าปากค้าง!
เหมียวอี้ที่หนีหัวซุกหัวซุนกระโดดลงทางใต้ดินพร้อมกับใบหน้าฟกช้ำเขียวปูด ขณะที่เดินอยู่ในทางใต้ดินก็รีบร่ายอิทธิฤทธิ์ลดอาการบวม ไม่อย่างนั้นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกผู้สง่าผ่าเผยคงไม่มีทางออกไปเจอหน้าใครได้
เมื่อเจอหน้ากันในเวลานี้ เขารู้สึกทันทีว่าอวิ๋นจือชิวหน้าตาอัปลักษณ์ จึงเลี้ยววิ่งไปหาสองพี่น้องโอวหยางเพื่อเสพความอ่อนโยนอันไร้ที่สิ้นสุดของพวกนาง ไปตามหาศักดิ์ศรีของลูกผู้ชาย!
ในที่สุดเวลาออกเดินทางก็มาถึงแล้ว เขาฝากฝังงานของเขตเมืองตะวันออกให้ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋อีกครั้ง
“เจ้าห้า รักษาตัวด้วยนะ!” ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋สั่งย้ำ พวกเขาเป็นกังวลที่สุด เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว ตอนนี้จะเกิดเรื่องอะไรกับเหมียวอี้ไม่ได้ทั้งนั้น
เป่าเหลียนตามทั้งสองคนมาส่งอย่างเงียบๆ ตามมาส่งจนถึงตำหนักคุ้มเมืองแล้วถึงได้กลับไป
หลังจากเจอสวีถังหรานและผู้บัญชาการอีกสองคนที่ตำหนักคุ้มเมือง ก็เห็นทั้งสามมีท่าทางมั่นอกมั่นใจไร้กังวลเพราะโค่วเหวินหลานมอบของวิเศษให้ ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกเลยสักนิด เหมียวอี้แอบทอดถอนใจ ครั้งก่อนที่ไปจับเฮยหวังก็ตายกันเกือบหมด ครั้งนี้ไม่รู้ว่าจะเหลือรอดกลับมากี่คน
พอโค่วเหวินหลานโผล่หน้ามา ก็ถามประมาณว่า ‘เตรียมตัวดีแล้วหรือยัง’ จากนั้นก็กล่าวให้กำลังใจ แต่ไม่ได้เปิดเผยความจริงเบื้องลึกเลยสักนิด เขาพาทั้งสี่ออกจากตลาดสวรรค์ ฝ่าชั้นบรรยากาศออกไปและเหาะอยู่ในดาราจักรโดยตรง
เขตน่านฟ้าชวดอี่ จวนหัวหน้าภาค!
เหมียวอี้มาที่นี่เป็นครั้งแรก เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่ไม่ขนาดไม่ใหญ่โต มีมนุษย์ธรรมดาเยอะมาก จวนหัวหน้าภาคสร้างอยู่บนภูเขาหิมะ แต่ที่แปลกก็คือตรงไหล่เขามีวัดขนาดใหญ่แห่งหนึ่งด้วย ตอนที่เหยียบลงบนภูเขา จะสามารถมองเห็นมนุษย์ธรรมดาต่อแถวยาวเหยียดเพื่อไปจุดธูปในวัด
บนยอดเขาหิมะไม่ได้หนาวเหน็บเหมือนอย่างที่เห็นจากข้างล่าง ไม่รู้ว่าใช้ค่ายกลอะไร ที่จริงในหุบเขาบนยอดเขาหิมะมีสภาพเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ทุกที่มีดอกท้อเบ่งบานอวดโฉมแข่งกัน ว่ากันว่าฮูหยินของหัวหน้าภาคเฉาว่านเสียงโปรดปรานดอกท้อ จึงปลูกต้นท้อไว้ทั่วบริเวณนี้
หลังจากพาทั้งสี่มาถึงเรือนพักแยกของที่นี่ โค่วเหวินหลานก็ไปเยี่ยมคารวะหัวหน้าภาคแล้ว
ในเรือนพักแยกมีคนคนหนึ่งมาถึงก่อนแล้ว เป็นชายรูปร่างกำยำล่ำสัน ชื่อว่าเจิ้งหรูหลง เป็นผู้บัญชาการเหมือนกัน ถึงแม้ตำแหน่งของเขาจะไม่ได้รับทรัพย์เยอะเท่าพวกเหมียวอี้ แต่กลับได้ควบคุมดาวเคราะห์หนึ่งดวงอย่างเป็นทางการ วรยุทธ์ถึงระดับบงกชทองขั้นเจ็ดแล้ว
หลังจากทักทายทำความรู้จักกัน เหมียวอี้ก็พึมพำในใจว่า ท่านนี้ช่างเป็นคนโชคร้าย เพราะถูกเลือกมาเป็นตัวประกอบแบบจริงจัง เป็นประเภทคนดวงซวย ในใต้หล้ามีผู้บัญชาการตั้งมากมาย แต่เจิ้งหรูหลงคนนี้กลับโดนสุ่มเลือกเสียได้ ถ้าไม่เรียกว่าดวงซวยแล้วจะเรียกว่าอะไร?
ตอนที่โค่วเหวินหลานกลับมาอีกครั้ง การที่เขาพาคนมาส่งก็นับว่ารายงานผลงานได้แล้ว ตรงนี้หมดธุระของเขา จึงเตรียมจะเดินทางกลับ ก่อนจะกลับเขาสั่งทั้งสี่ไว้ว่า “การเดินทางที่เหลือข้าไม่สะดวกจะไปด้วย พรุ่งนี้หัวหน้าภาคจะพาพวกเจ้าส่งไปยังจุดรวมตัว ไปครั้งนี้ไม่ต้องกังวล ข้าเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว ปูทางให้พวกเจ้าไว้อย่างดีแล้ว ถึงตอนนั้นย่อมมีคนดูแลพวกเจ้า”
“ผู้บัญชาการใหญ่เดินทางปลอดภัย!” พวกเหมียวอี้กุมหมัดน้อมส่ง
โค่วเหวินหลานพยักหน้าแล้วเดินทางจากไป
อยู่ในเรือนพักแยกแล้วรู้สึกเบื่อหน่าย เดิมทีเหมียวอี้คิดจะเดินเล่นสักหน่อย แต่กลับโดนทหารยามข้างนอกขวางไว้ ไม่ให้เขาเดินเพ่นพ่าน จึงทำได้เพียงกลับมา
ทว่าพอกลับมาได้ไม่นาน ใครจะคิดว่าหยางไท่จะออกจากเรือนพักแยกแล้ว ไม่ได้โดนทหารยามขัดขวางด้วย
ตอนพลบค่ำ หยางไท่ยังไม่ทันกลับมา ก็มีทหารยามนำอาหารมาส่งให้พวกเขา ตอนที่วางอาหารให้ ทหารคนนั้นกระแอมไออย่างจงใจ
เมื่อผ่านไปครู่เดียว มู่หรงซิงหัวก็ออกไปอย่างเงียบๆ เช่นกัน
เหมียวอี้กับสวีถังหรานนั่งดื่มสุราอยู่ตรงข้ามกัน ทั้งสองสบตาแล้วส่ายหน้ายิ้มเจื่อน สวีถังหรานถอนหายใจแล้วบอกว่า “ขนาดเจ้ากับข้ายังออกไปไม่ได้เลย สงสัยข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง!”
เหมียวอี้รู้ว่าเขากำลังพูดถึงข่าวลืออะไร ว่ากันว่ามู่หรงซิงหัวก็คือหญิงชู้ของหัวหน้าภาคเฉา ส่วนหยางไท่ก็คือลูกบุญธรรมของฮูหยินหัวหน้าภาคเฉา เมื่อก่อนอย่างมากก็คิดว่าเป็นแค่ข่าวลือ แต่พอได้เห็นเหตุการณ์ของวันนี้ ก็คิดว่าเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นเรื่องจริง
“ไม่ใช่เรื่องของพวกเรา ดื่มสุราเถอะ!” เหมียวอี้ยกจอกสุรา
สวีถังหรานถลึงตา “จะไม่เกี่ยวกับพวกเราได้ยังไง อาศัยให้ผู้บัญชาการใหญ่หนุนหลัง พวกเราคงอยู่ที่ตลาดสวรรค์เล็กๆ นี่ได้ไม่นานแน่ มิหนำซ้ำเดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขตอำนาจของตระกูลโค่วอยู่แล้ว ที่จริงเซี่ยโห้วหลงเฉิงไล่ตามหวงฝู่จวินโหรวมา ส่วนผู้บัญชาการใหญ่ก็ตามหลังเซี่ยโห้วหลงเฉิงมาอีกที ถึงได้มาที่ดาวเทียนหยวนได้ ดังนั้นไม่ช้าก็เร็วที่ผู้บัญชาการใหญ่จะย้ายออกไป ถึงตอนนั้นต่อให้ผู้บัญชาการใหญ่จะมีเจตนาดูแล แต่ก็สู้คนที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงไม่ได้! หญิงชายที่อาศัยการเล่นพรรคเล่นพวก จะต้องเหยียบหัวเจ้ากับข้าแน่นอน”
เหมียวอี้ที่ยกจอกสุราจ่อปากเหล่ตามองเขา “ตอนนี้เจ้ากังวลเรื่องนี้เร็วไปหน่อยรึเปล่า?”
สวีถังหรานกล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าหมายความว่า วันหลังถ้ามีโอกาส เจ้ากับข้าควรจะพูดกรอกหูผู้บัญชาการใหญ่มากๆ หน่อย ให้ผู้บัญชาการใหญ่พาพวกเราสองคนไปด้วยตอนที่ย้าย คนเดียวเอ่ยปากไม่มีน้ำหนักหรอก ดังนั้นน้องชายอย่าลืมนะ”
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าจะพูดกับเขาอย่างไรดี ถ้าเจ้าบ้านี่รู้ว่าผู้เข้าร่วมการทดสอบครั้งนี้มีภูมิหลังเป็นอย่างไร เกรงว่าคงไม่มีกะจิตกะใจมากังวลเรื่องนี้แล้ว
จากนั้น หยางไท่ก็กลับมาตอนเที่ยงคืน ตอนที่กลับมาสีหน้าไม่ค่อยดีนัก แต่กลับเข้าห้องอื่นไปเชิญเหมียวอี้ สวีถังหรานและเจิ้งหรูหลงให้ออกมาด้วยกัน เชิญให้ทั้งสามนั่งลง แล้วรินน้ำชาให้ด้วยตัวเอง
“ทำไมผู้บัญชาการหยางเกรงใจขนาดนี้?” สวีถังหรานถาม
หยางไท่นั่งลงแล้วถอนหายใจ “ทุกคน การทดสอบครั้งนี้เกรงว่าจะท่าไม่ดีแล้ว”
“ท่าไม่ดียังไง อย่างมากก็แค่ทดสอบไม่ผ่าน” เจิ้งหรูหลงกล่าวเสียงเรียบ
หยางไท่ตอบว่า “ถ้ามีแค่นี้จริงๆ ข้าก็คงไม่พูดอะไรเหมือนกัน สอบไม่ผ่านเป็นเรื่องเล็ก ปัญหาที่ใหญ่กว่านั้นก็คือ ครั้งนี้พวกเราอาจจะรักษาชีวิตไว้ไม่ได้ ข้าไปสืบข่าวมาแล้ว สถานการณ์ไม่ดีเลย!”
“หมายความว่าอย่างไร?” สวีถังหรานงุนงง
จะหมายความว่าอย่างไรล่ะ เหมียวอี้รู้ดีอยู่แก่ใจ หลังจากหยางไท่เล่าสถานการณ์ให้ฟัง สวีถังหรานกับเจิ้งหรูหลงก็หน้าเขียวแล้ว ตอนนี้เจิ้งหรูหลงถึงได้รู้ว่าตัวเองเป็นคนดวงซวย
หยางไท่ถอนหายใจ “ทุกคน ดังนั้นครั้งนี้พวกเราต้องร่วมใจสามัคคีกันไว้นะ!”
“ทุกคนวรยุทธ์เท่าไรกันบ้าง?” เจิ้งหรูหลงถามทันที
พอพวกหยางไท่เผยวรยุทธ์ออกมา เจิ้งหรูหลงถึงได้รู้ว่าตัวเองวรยุทธ์สูงสุด เขาเหล่ตามองเหมียวอี้ แล้วถามอย่างดูถูกว่า “สามัคคีบ้าอะไรล่ะ วรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งจะมาประสมโรงด้วยทำไม ข้าว่าไม่ใช่การสามัคคีหรอก เป็นตัวถ่วงมากกว่าล่ะมั้ง?”
“เจ้าว่าใครเป็นตัวถ่วง?” เหมียวอี้ถามพร้อมมองเหยียด
“ใครที่ระดับไม่ถึง ก็คนนั้นนั่นแหละที่เป็นตัวถ่วง!” เจิ้งหรูหลงตบโต๊ะ
เมื่อเห็นทั้งสองกำลังจะตีกัน หยางไท่กับสวีถังหรานก็ห้ามไว้ทันที หยางไท่ดึงเจิ้งหรูหลงพร้อมบอกว่า “พี่เจิ้ง อย่าไปดูถูกน้องหนิวเชียวนะ ผู้บัญชาการใหญ่ให้ของวิเศษพวกเรามา ถ้าต้องสู้กันจริงๆ ท่านอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของน้องหนิวก็ได้”
หลังจากเกลี้ยกล่อมได้แล้ว ทั้งสองที่เบ่งใส่กันก็ต่างฝ่ายต่างเหล่ตามอง หยิ่งยโสใส่กัน แต่ผ่านไปไม่นานเจิ้งหรูหลงก็ดึงหยางไท่กับสวีถังหรานออกไปคุยเป็นการส่วนตัว ตอนที่กลับเข้ามาอีกครั้ง เจิ้งหรูหลงก็ยิ้มสู้ ยกจอกสุราดื่มขอโทษ
ท่าทีเปลี่ยนไปเยอะขนาดนี้ เหมียวอี้ไม่รู้ว่าลับหลังทั้งสามคุยอะไรกัน แต่ในการเดินทางครั้งนี้ เดิมทีเหมียวอี้ก็คิดจะสามัคคีกับคนให้มากๆ อยู่แล้ว จึงไม่ได้ถือสาอะไรอีก ปล่อยผ่านเรื่องไม่น่าพอใจก่อนหน้านี้ไป อย่างน้อยภายนอกก็ไม่พูดจาอ้อมค้อมอีก
มู่หรงซิงหัวกลับมาตอนฟ้าใกล้จะสว่าง ตอนกลับมาแก้มยังแดงไม่หาย ผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่กลับมาค้างที่บ้าน ขอแค่เป็นคนที่ตามองเห็นชัด แค่เห็นสีหน้าของนางก็รู้แล้วว่าไปทำอะไรมา เมื่อเห็นทั้งสี่กำลังรอนางอยู่ มู่หรงซิงหัวก็รู้สึกทำอะไรไม่ถูกจริงๆ กระอักกระอ่วนมาก
ทั้งสี่ย่อมรอนางเพื่อจะเล่าสถานการณ์ให้ฟัง หวังจะให้ทุกคนสามัคคีกัน มู่หรงซิงหัวตอบตกลงด้วยความยินดี
หลังจากฟ้าสว่าง เดิมทีทั้งสี่ก็รอให้หัวหน้าภาคเฉาเรียกพบ แต่รอจนตะวันขึ้นสูงก็ยังไม่เห็นมีใครมาเรียก สุดท้ายเฉาว่านเสียงก็เป็นฝ่ายมาหาเอง ทั้งยังมาคนเดียวด้วย แม้แต่ผู้ติดตามก็ไม่มีมาสักคน
…………………………