“ปัดโธ่โว้ย!” เหวินเจ๋อโวยวาย ตัวเองอธิบายไปแล้ว ไม่เชื่อหรอกว่าเหมียวอี้จะไม่รู้ว่านี่คือประสงค์ของประมุขชิง ไม่น่าเชื่อว่าจะฆ่าเขาแล้ว!
ลอบสังหาร? ลอบสังหารบรรพบุรุษเจ้าสิ เจ้าหาข้ออ้างดีๆ กว่านี้หน่อยได้มั้ย?
เจ้าเวรนี่คงไม่เอาจริงหรอกใช่มั้ย แต่เจ้าเวรตะไลนี่เหมือนจะทำได้ทุกอย่างนะ! เหวินเจ๋อหวาดกลัวทันที “หนิวโหย่วเต๋อ เจ้ากล้าเหรอ!”
กลุ่มทหารคุ้มกันฟังคำสั่งและปฏิบัติตามทันที ไม่มีอะไรน่าเกรงใจ ลากเหวินเจ๋อออกไปเสียเลย
เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังอยู่อย่างนั้น สีหน้าเย็นชาเรียบเฉย มองเหวินเจ๋อโดนลากออกไปโดยไม่พูดอะไร
เหวินเจ๋อหัวใจว้าวุ่นสับสน จู่ๆ ก็นึกอะไรบางอย่างได้ ร้องบอกว่า “เป็นตำแหน่งรอง เป็นผู้ช่วยของเจ้า!”
เหมียวอี้จึงเปิดปากพูดแล้ว “ให้เขาพูดให้จบ พากลับมาเถอะ”
เหวินเจ๋อที่ตกใจจนเหงื่อท่วมตัวถูกลากกลับมาอีกครั้ง ถูกมัดแบบเอามือไขว้หลังให้มายืนอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ เขารู้สึกแค้นจนคันฟันเล็กน้อย ยังแยกแยะลำบากว่าเหมียวอี้จะฆ่าตนจริงๆ หรือแกล้งขู่ตน เพียงแต่เขาเข้าใจเป้าหมายที่ถูกย้ายมาที่นี่ชัดเจน เหมียวอี้เองก็ต้องรู้แน่อน ไม่มีเจ้าอาณาเขตคนไหนยอมรับสิ่งนี้ได้
“ตำแหน่งรองอะไร?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ
เหวินเจ๋อจนใจมาก ตามหลักแล้วต้องรอให้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยประกาศอีกที เพียงแต่เขาพิจารณาว่าในภายหลังจะต้องทำงานอยู่ที่นี่ ถ้าไม่สานสัมพันธ์ให้ดีก็จะอึดอัดเกินไป ถึงได้เผยข่าวให้รู้เพื่อมิตรภาพในภายหลัง อยากจะเอาใจเหมียวอี้ จะได้ไม่กะทันหันเกินไป ใครจะคิดว่าเจ้าตะพาบน้ำนี่จะสั่งประหารตน
เมื่อไม่รู้เจตนาแท้จริงของเหมียวอี้ เหวินเจ๋อก็ไม่กล้าเสี่ยงเช่นกัน ถูกบีบให้พูดออกมาล่วงหน้าแล้ว “เป็นผู้ช่วยเจ้าไง รองผู้สำเร็จราชการ มาช่วยเหลือเจ้า ไม่ได้มาแบ่งเอาอำนาจจากเจ้า”
สงสัยจะส่งคนมาแทนตำแหน่งของลิ่งหูโต้วจ้ง เหมียวอี้นับว่าเข้าใจแล้ว มิน่าล่ะเหวินเจ๋อมาที่นี่จึงมีท่าทีต่างจากเมื่อก่อน ก่อนหน้านี้อยากจะหลบเลี่ยงไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัย แต่ครั้งนี้ดึงมาดื่มสุราทั้งยังมีอัธยาศัยไมตรีเปี่ยมล้น
“มากันกี่คนแล้ว?” เหมียวอี้ถามอย่างเย็นชา
เหวินเจ๋อเรียกได้ว่าต้องเก็บกลั้นความโกรธ เดิมทีการถูกย้ายออกจากวังสวรรค์เป็นเรื่องน่าเฉลิมฉลอง มาอยู่ที่นี่ดีกว่าอยู่ในวังสวรรค์ที่ไร้น้ำใจของเพื่อมนุษย์ อย่างน้อยมาที่นี่ก็อิสระมากกว่า แต่กลับกลายเป็นถูกสอบสวน เขากลั้นไฟโกรธตอบว่า “คนที่มากับข้าอยู่ครึ่งหนึ่ง ไปครึ่งหนึ่ง…” เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำสายตาดุร้าย ก็รีบพูดเสริมอีกว่า “ฝ่าบาทไม่ได้คิดจะชิงอำนาจเจ้า แค่แต่งตั้งให้ข้ามาแทนลิ่งหูโต้วจ้ง คนอื่นไม่ได้รับการแต่งตั้งตำแหน่งโดยละเอียด” เขากำลังสื่อว่าเหมียวอี้มีอำนาจตัดสินใจทุกอย่าง
เหมียวอี้ไม่ได้ถามอีกว่าจุดประสงค์ของประมุขชิงคืออะไร ไม่ต้องถามก็รู้ว่ากำลังจับตาดูกำลังพลของเขา เรื่องแบบนี้ถามให้ชัดเจนไปก็ไม่มีความหมาย จึงเปลี่ยนประเด็นสนทนา “เพื่อที่จะปิดบังสายตาผู้คน เจ้าเป็นคนพาฮวาอี้เทียนมาเหรอ?”
เหวินเจ๋อถอนหายใจ “ใช่! ไม่อยากแหวกหญ้าให้งูตื่น”
“แล้วลงมือกับลิ่งหูโต้วจ้งที่ไหน?” เหมียวอี้ถาม
“คงจะเป็นที่ปราสาทดำเนินจันทร์” เหวินเจ๋อยิ้มเจื่อน ก่อนหน้านี้ไม่ยอมบอก ตอนนี้กลับถูกกดดันให้บอกแล้ว
เหมียวอี้คิดในใจว่า มิน่าล่ะถึงหลบเลี่ยงหูตาฝั่งนี้ได้ เขาถามอีกว่า “เจ้าหลอกลิ่งหูโต้วจ้งไปที่นั่นได้ยังไง?”
“เจ้าถามแบบนี้ฆ่าข้าเลยดีกว่า” เหวินเจ๋อตอบด้วยสีหน้าจริงจัง
เหมียวอี้ขยับคิ้วเล็กน้อย ตอนนี้เข้าใจแล้ว คาดว่าในนั้นคงมีวิธีการที่บอกใครไม่ได้ของประมุขชิง ท่านนี้ไม่กล้าบอก
ดังนั้นจึงไม่ได้ถามต่ออีก เพียงพยักหน้าเบาๆ “ลากเขาออกไป ถ้าไม่ได้รับอนุญาต ก็ห้ามปล่อยเขาออกมา!”
“หนิวโหย่วเต๋อ ข้ามาทำงานให้วังสวรรค์นะ เจ้าบังอาจทำกับข้าแบบนี้…” เหวินเจ๋อร้องโวยวายตลอดทาง แต่ก็ไม่มีทางเลือกเช่นกัน ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้เขาไม่ขัดขืนการถูกควบคุมล่ะ เลยโดนลากออกไปอย่างนี้แล้ว
“หึ!” เหมียวอี้แสยะยิ้มหนึ่งที เอามือไขว้หลังหันตัวกลับมา ไม่สนใจว่าเขากำลังร้องโวยวาย
ถ้าเหวินเจ๋อมาทำงานให้วังสวรรค์อย่างเดียวก็ว่าไปอย่าง แต่มาถึงก็จะกลายเป็นผู้ช่วยของเขาทันที ถ้าถูกเบื้องหลังของเหวินเจ๋อขู่แล้ว ต่อไปนี้ใครจะมีอำนาจตัดสินใจล่ะ? เขาต้องการทำให้เหวินเจ๋อเข้าใจ ว่าเจ้ามาทำงานให้สวรรค์ก็ไม่มีประโยชน์ ต่อไปนี้ให้ทำตัวดีๆ หน่อย ต่อให้เจ้าเป็นคนของประมุขชิง แต่ถ้ายั่วโมโหข้า ข้าก็ทำให้เจ้าตายได้อยู่ดี!
ตอนนี้เขาไม่ใช่เหมียวอี้ในอดีตอีกแล้ว เมื่อก่อนพอได้ฟังบัญชาสวรรค์ก็ขยับมือขยับเท้าไม่ได้ เจ้าอาณาเขตย่อมมีความมั่นใจของเจ้าอาณาเขต
ส่วนประมุขชิงจะพอใจหรือไม่ก็ไม่มีประโยชน์ ขอเพียงประมุขชิงไม่ใช่คนโง่ ก็จะรู้ว่าบางตำแหน่งไม่ใช่ว่าใครก็จะนั่งได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขารับมือกับอำนาจฝ่ายต่างๆ อยู่ที่นี่ จะมีจวนแดนรัตติกาลโผล่ออกมาเหรอ? ถ้ากล้าย้ายเขาไปเมื่อไร เขาก็สามารถทำให้กำลังพลหลายสิบล้านไม่มีทางยืนอยู่ที่นี้ได้!
ยิ่งไปกว่านั้น ประมุขชิงก็รู้ด้วยว่าเขาไม่ถวายความจงรักภักดีต่อประมุขชิงเลย ถ้าเหวินเจ๋อจะฟ้องร้องเรื่องเขาก็ทำได้เลย ในภายหลังก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้อยู่ที่นี่
เพียงแต่เขารู้สึกเสียดายแทนเหวินเจ๋อนิดหน่อย เขากับเหวินเจ๋อยังมีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง อยู่ที่วังสวรรค์ก็ดีอยู่แล้ว แต่ดันจะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งนี้ให้ได้ ดีไม่ดีอาจได้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา ถ้าทำให้เขาไม่พอใจขึ้นมา เขาก็ทำได้เพียงกำจัดเหวินเจ๋อทิ้ง
พูดกันตามจริง ประมุขชิงยังไม่เชื่อใจเขา และไม่ใช่ว่าจะเชื่อใจได้ง่ายๆ กำลังพลหลายสิบล้านไม่ใช่อาหารหนึ่งถาดที่ใครอยากจะกินก็กินได้ มีใครบ้างที่จะปล่อยไว้โดยไม่จับตาดู?
“เว่ยซูไปที่ปราสาทดำเนินจันทร์มาเหรอ?”
ในอุทยานหลวง ประมุขชิงที่ไม่อยากเห็นสีหน้าราชินีสวรรค์มาหลบหาความสงบอยู่ที่กระตำหนักอุทยาน เมื่อได้ยินรายงานก็ขมวดคิ้วถาม
เกาก้วนตามอยู่ข้างหลังเขา “ใช่แล้วขอรับ คนที่หน่วยตรวจการขวาแทรกเข้าไปเห็นแล้ว น่าจะไปพบกับลี่หัว เพียงแต่อยู่ไม่นานก็ไปแล้ว คนนอกไม่รู้รายละเอียดว่าทั้งสองคุยอะไรกัน ไม่สะดวกจะสืบหาหลักฐาน”
ประมุขชิงค่อนข้างอ่อนไหวกับความเคลื่อนไหวของสิบปราสาทดำเนิน หันมาบอกทันทีว่า “ซ่างกวน เจ้าติดต่อลี่หัวโดยตรง ดูว่านางจะพูดยังไง”
“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับ แล้วหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อทันที หลังจากผ่านไปพักใหญ่ถึงได้เก็บระฆังดารา แล้วรีบเดินเข้ามาในศาลา รายงานต่อประมุขชิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “ฝ่าบาท ลี่หัวบอกว่าเว่ยซูคงจะอยากมาหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อขอรับ”
“มาหาเรื่องหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?” ประมุขชิงหันมามองอย่างประหลาดใจ
ซ่างกวนชิงตอบว่า “ลี่หัวเองก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าเรื่องเป็นอย่างไร เว่ยซูบอกว่าเป็นเรื่องสำนักลมปราณ…” เขาเล่าสิ่งที่ลี่หัวบอกโดยละเอียด
ประมุขชิงครุ่นคิดเงียบๆ พักหนึ่ง แล้วเอียงหน้ามองเขา “ให้หน่วยตรวจการซ้ายไปตรวจสอบสักหน่อย”
การตรวจสอบครั้งนี้ใช้เวลาไม่น้อยเลย ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือใช้เวลานานพอสมควร ประมุขชิงเหมือนจะอดทนรอฟังเรื่องของสิบปราสาทดำเนินมาก กำลังนั่งครุ่นคิดอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขยับไปไหน
รอจนกระทั่งระฆังดาราตอบกลับมา ซ่างกวนชิงถึงได้รายงานว่า “ตอนแรกเว่ยซูไปหาหนิวโหย่วเต๋อที่จวนผู้สำเร็จราชการก่อนเพราะเรื่องสำนักลมปราณ หนิวโหย่วเต๋อหลอกลวงเซี่ยโห้วลิ่งไปรอบหนึ่ง ฉวยโอกาสตอนที่ร่วมงานกับเซี่ยโห้วลิ่งก่อนหน้านี้ดึงให้สำนักลมปราณหลุดพ้นจากร้านขายของชำ ทีแรกหนิวโหย่วเต๋อรับปากแล้ว ว่าหลังจากจบเรื่องจะให้สำนักลมปราณกลับมาที่ร้านขายของชำเหมือนเดิม แต่ตอนหลังทั้งคู่เกิดความขัดแย้งกันนิดหน่อย เหมียวอี้จึงกลับคำพูด ไม่เพียงแค่ไม่ให้สำนักลมปราณกลับร้านขายของชำ ทั้งยังรับคนสำนักลมปราณไว้ที่ดาวจันทร์อี่ คุ้มครองไว้ที่อาณาเขตตัวเองด้วยขอรับ เว่ยซูทำแบบนี้ น่าจะต้องการบีบให้ลี่หัวไล่สำนักลมปราณออกไป”
ประมุขชิงพยักหน้าช้าๆ เค้าโครงเรื่องราวกระจ่างอยู่ในหัวแล้ว อดไม่ได้ที่จะแสยะยิ้ม “เป็นเรื่องเล็กน้อยเหมือนสุนัขกัดกันจริงๆ”
ซ่างกวนชิงลองถามหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาท เรื่องนี้บ่าวทราบมานิดหน่อย ว่าสำนักลมปราณกุมช่องทางการดำเนินกิจการของร้านขายของชำเอาไว้ ถ้าแยกกับสำนักลมปราณแล้ว เกรงว่าร้านขายของชำจะทำการซื้อขายไม่สะดวกขอรับ! ดูจากการที่หนิวโหย่วเต๋อวางแผนควบคุมตลาดสวรรค์ เกรงว่าต้องการจะสร้างเตาไฟขึ้นมาใหม่ ถึงตอนนั้นจะต้องบีบให้ร้านขายของชำล้มแน่นอน ตอนนี้ร้านขายของชำพังด้วยน้ำมือเซี่ยโห้วลิ่ง ผู้ถือหุ้นแต่ละฝ่ายมาสอบถาม เซี่ยโห้วลิ่งกดดันมากเช่นกัน”
ประมุขชิงเอียงหน้ามองมา “เหมือนเจ้าจะสนใจเรื่องนี้มากเชียวนะ ว่ามาเถอะ เจ้ามีหุ้นอยู่ที่ร้านขายของชำอยู่เท่าไร?”
ซ่างกวนชิงชูสองนิ้ว “ทางสมาคมวีรชนถือครองหุ้นสองส่วนขอรับ กำไรค่อนข้างงดงาม กำไรครึ่งหนึ่งถวายขึ้นมาเบื้องบน”
“ยังมีคนอีกเท่าไรที่ถือครองหุ้นพวกนั้น?” ประมุขชิงถาม
“มีไม่น้อยขอรับ เพียงแต่มากบ้างน้อยบ้างปนกันไป สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นธรรมเนียมเก่า ธุรกิจที่ทำกำไรได้ล้วนถูกทุกคนจับตาดู ไม่มีอำนาจฝ่ายไหนใจกว้างปล่อยผ่าน บางพื้นที่จะต้องมีคนมาหาเรื่องแน่นอน” ซ่างกวนชิงตอบ
ประมุขชิงพ่นเสียงทางจมูก “แล้วเจ้าจะกังวลไปทำไมกัน หนิวโหย่วเต๋อจะสร้างเตาไฟใหม่ไม่ใช่เหรอ? ต่อไปเจ้าค่อยให้เขาแบ่งหุ้นให้เจ้าสองส่วนก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“ฝ่าบาททรงปราดเปรื่อง!” ซ่างกวนชิงหัวเราะแห้ง รู้ว่าประมุขชิงอยากจะเห็นเรื่องน่าขบขันของเซี่ยโห้วลิ่ง แต่ในใจกลับพึมพำว่า เรื่องมันง่ายเหมือนที่ท่านคิดเสียที่ไหนกัน ในเมื่อเจ้าเซ่อนั่นต้องการจะสร้างเตาใหม่ ก็เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาจะทำให้เป็นกิจการส่วนตัว ทั้งยังชอบใช้วิธีการหยาบคายป่าเถื่อน หุ้นสองส่วนนั้นได้มาไม่ง่ายแน่ หนิวโหย่วเต๋อไม่ใช่คนที่ใครจะบีบบังคับได้เหมือนในปีนั้นอีกแล้ว คำขู่ธรรมดาทั่วไปไม่ได้ผล คาดว่าคงไม่ไว้หน้าสมาคมวีรชนแล้ว ต่อให้ข้าออกหน้า แล้วท่านกับราชินีสวรรค์จะทะเลาะกันขนาดไหน เมื่อราชินีสวรรค์ออกหน้าเมื่อไร ขนาดท่านยังหลบเลย แบบนี้ไม่ทำให้ข้าลำบากหรอกหรือ? หรือว่าท่านจะฝืนออกคำสั่งให้อีกฝ่ายแบ่งหุ้นให้ท่านล่ะ? ถ้าดูละโมบเกินไปท่านก็ไม่กล้าเอ่ยปากเองอยู่ดี
ในดาราจักรที่เงียบสงบ กว้างใหญ่ล้ำลึก พิศวงชวนสับสน และเต็มไปด้วยความลึกลับ
เงาร่างอันโดดเดี่ยวของเว่ยซูกำลังเหาะอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามอันกว้างใหญ่ผืนนี้ ผู้ติดตามคุ้มกันก็ถูกเขาเก็บไว้แล้ว มีดวงดาวรูปร่างต่างๆ บินชนด้วยความเร็วสูงเข้ามาชนเป็นระยะ เว่ยซูถลันตัวหลบเร็วมาก แล้วเหาะไปข้างหน้าต่อ
ดาวเคราะห์สีครามเข้มดวงหนึ่งปรากฏอยู่ตรงหน้า นี่คือดาวเคราะห์ส่วนตัวของตระกูลเซี่ยโห้ว ซ่อนตัวอยู่ในจุดลึกของอาณาเขตดาวนิรนาม คนที่รู้จักสถานที่นี้มีเพียงเซี่ยโห้วท่ากับเว่ยซูเท่านั้น
เว่ยซูไม่ลดความเร็ว บึ้ม! ฝ่าชั้นบรรยากาศเข้าไปโดยตรง แล้วแยกแยะทิศทางบนฟ้าเหาะอย่างรวดเร็ว
บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่สูงเสียดทะเลหมอก ตรงเรือนที่งดงามวิจิตร เว่ยซูเหาะมาเหยียบลงตรงหน้าประตูโดยตรง แล้วคารวะทหารยามหน้าประตู
“ไปในหมู่บ้านตรงตีนเขาแล้ว” ทหารยามกล่าว
เว่ยซูกลับตัวลอยลงไปทางตีเขาทันที
หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งที่อยู่ติดภูเขาริมแม่น้ำ สะพานเล็ก ลำธารใส บ้านชาวนา ป่าท้อสิบลี้ริมน้ำ ชาวนากำลังจูงควายไถนา สตรีวัยกลางคนซักผ้าริมน้ำ เด็กน้อยวิ่งเล่นกันไปมา เว่ยซูเดินออกจากป่าท้อนอกหมู่บ้านชนบท เดินเข้ามาในหมู่บ้านชนบท แล้วหยุดอยู่นอกห้องเรียนส่วนตัวแห่งหนึ่งที่มีเสียงอ่านหนังสือดังออกมา
เด็กน้อยกลุ่มหนึ่งกำลังถือตำราพลางผงกศีรษะอ่านด้วยเสียงดังชัดใส ด้านหลังโต๊ะยาวข้างหน้าสุด เซี่ยโห้วท่าที่สวมชุดผ้าฝ้ายหยาบนั่งสง่าอยู่ตรงนั้น เขายิ้มพลางเอามือลูบเครา เว่ยซูที่ยืนมองตรงหน้าต่างกลับไม่ได้รบกวน
เซี่ยโห้วท่าชำเลืองมองเว่ยซูที่อยู่นอกหน้าต่างแวบหนึ่ง แต่กลับไม่สนใจ รอจนกระทั่งนักเรียนเรียนเนื้อหาของวันนี้จบ ลุกขึ้นคำนับอาจารย์แล้วรีบเก็บของวิ่งออกไป เขาถึงได้ประคองไม้เท้าข้างกายลุกขึ้นช้าๆ
เด็กน้อยร่าเริงสดใส พอออกจากห้องเรียนส่วนตัวก็วิ่งเพ่นพ่านไปทั่ว มีเด็กสองคนวิ่งชนเว่ยซูติดต่อกัน เว่ยซูตีศีรษะเด็กน้อยเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม หลีกทางให้โดยไม่ถือสา เดินมาหาเซี่ยโห้วท่าที่ออกมาต้อนรับตรงประตู
…………………
Related