สาวสวยพริ้มเพราที่อยู่ข้างๆ รูดแขนเสื้อเบาๆ แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจว่า “เจ้าตัวก็มีสิทธิ์วางมาดอยู่แล้ว เป็นถึงฮูหยินเอก เป็นหวังเฟยเชียวนะ พวกเรานับเป็นอะไรล่ะ เป็นแค่กลุ่มอนุภรรยาที่ถูกยัดเข้ามาโดยที่เขาไม่ชายตาแลเท่านั้นเอง”
แม่นางอีกคนที่งดงามดุจบุปผากล่าวด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “เชอะ ก็แค่พวกใช้เรือนร่างยั่วผู้ชายเองไม่ใช่เหรอ คิดว่าคนอื่นจะไร้ยางอายเหมือนนางกันหมดหรือไง?”
“ใช่ๆ!” แม่นางอีกคนที่สูงระหงขานรับ “ได้ยินว่าท่านอ๋องรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องของตัวเองมาตลอดนี่ ถึงขนาดไม่เกลือกกลั้วกับผู้หญิงคนอื่นด้วยซ้ำ รอให้ท่านอ๋องแยกแยะดีชั่วให้ได้ก่อนเถอะ คอยดูว่านางยังจะทำตัวโอหังได้ถึงเมื่อไร”
ผู้หญิงอีกคนที่ใบหน้างดงามดุจพระจันทร์กล่าวอย่างลำพองใจ “ก็แค่แม่หม้ายคนหนึ่ง คู่ควรที่จะเป็นหวังเฟยด้วยเหรอ น่าขำจริงๆ!”
สาวสวยคนหนึ่งที่หยิบกระจกขึ้นมาเพ่งพินิจแสยะยิ้ม “พูดเป็นพันเป็นหมื่นก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายเขาวาสนาดี ได้ดีไปด้วยเหมือนเรือที่ขึ้นสูงตามน้ำ ตอนนี้เป็นหวังเฟยแล้ว ขนาดยังไม่เจอหน้ายังเป็นอย่างนี้เลย ต่อไปพวกเราพี่น้องก็ยังไม่รู้เลยว่าจะต้องเกรงอกเกรงใจนางยังไง”
สาวสวยหยาดเยิ้มอีกคนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาบังแสงแดด “จวนท่านอ๋องก็คือจวนของท่านอ๋อง ไม่ใช่จวนของนางเสียหน่อย ยังไม่ถึงคราวที่นางจะปิดฟ้าด้วยมือเดียวหรอก!”
ท่ามกลางผู้หญิงพวกนี้ กงหนีฉางกับอวี่เหวินหรูอวี้มีฐานะค่อนข้างสูง รุ่นบิดาของผู้หญิงพวกนี้ล้วนเป็นลูกน้องของท่านจอมพลทั้งสอง ด้วยความเคยชิน พอมาถึงทุกคนก็หลีกทางให้นางสองคนอยู่ใต้ร่มไม้
ทั้งสองไม่โดนแดดเผา แต่กลับได้ยินเสียงกระซิบพึมพำรอบข้างแล้วไม่น้อย ทั้งสองสบตากันเป็นระยะ แต่ไม่กล้าพูดอะไรมาก ความเย็นชาที่เหมียวอี้มีต่อทั้งสองทำให้พวกนางฝังใจไม่ลืม
กงหนีฉางยังอายุน้อย ยังดีกว่าหน่อย
อวี่เหวินหรูอวี้กลับรู้ความมากกว่า การพูดนินทาลับหลังแบบนี้ เป็นกิจกรรมที่ทำบ่อยเวลาลูกหลานชนชั้นสูงที่ว่างงานมารวมตัวกัน ถ้าผู้หญิงกลุ่มนี้ไม่พูดเหน็บแนมลับหลังคนอื่นกลับจะดูผิดปกติด้วยซ้ำ
นางค่อนข้างเข้าใจคนพวกนี้ ก่อนหน้านี้มีใครบ้างที่ไม่ใช่คุณหนูของตระกูลสูงศักดิ์ มีใครบ้างที่ไม่ถูกประจบสอพลอเอาใจ มีใครบ้างที่ไม่ได้เห็นการแข่งขันชิงความโปรดปรานของบรรดาอนุภรรยาในบ้าน นี่คือสิ่งที่เกิดจากสภาพแวดล้อมการใช้ชีวิต ถ้าอยากอยู่เหนือคนอื่นก็ต้องแข่งขัน เกรงว่าคงมีไม่น้อยที่ไม่ยอมอยู่ใต้คนอื่น จ้องอยากได้ตำแหน่งหวังเฟยตาเป็นมัน เตรียมจะม้วนแขนเสื้อแข่งกับอวิ๋นจือชิวแล้ว ตอนนี้ทุกคนยังไม่คุ้นเคยกับสถานการณ์ ถึงได้ยังว่านอนสอนง่ายอยู่
การช่วงชิงความโปรดปรานของเรือนชั้นในแตกต่างกับวงการขุนนาง เพราะไม่มีกฎกติกาจำกัดมากเท่าไหร่นัก ไม่จำเป็นต้องไต่เต้าขึ้นไปทีละขั้น ขอเพียงช่วงชิงจนได้ความโปรดปรานจากท่านอ๋อง แค่ก้าวเดียวก็เหยียบถึงฟ้าแล้ว นี่คือเรื่องปกติมาก แค่ฟังจากเสียงบ่นรอบข้าง อวี่เหวินหรูอวี้ก็จินตนาการออกแล้ว ว่าในจำนวนนั้นมีตัวละครที่ไม่ใช่เล่นๆ อยู่เยอะเล อุปนิสัยของคนพวกนี้เป็นอย่างไร เมื่อก่อนตอนรวมตัวกับสหายนางก็รู้แล้ว
ขณะเดียวกันก็จินตนาการได้ ต่อให้ครอบครัวตัวเองจะไม่ได้ตกต่ำแล้ว แต่ถ้าจำเป็นต้องช่วงชิงความโปรดปราน เกรงว่าครอบครัวก็ต้องสนับสนุนเต็มที่เหมือนกัน เพราะถ้าทำสำเร็จเมื่อไหร่ ก็มีโอกาสเป็นไปได้ที่ครอบครัวจะมีโอกาสหวนคืนสู่อำนาจอีกครั้ง หรือไม่ก็สู้เพื่ออนาคตของพี่ชายน้องชาย ข้างนอกมีครอบครัวของตัวเองกุมอำนาจอยู่ ท่านอ๋องที่อยู่ฝั่งนี้ก็ย่อมมองพวกนางสูงขึ้นอีกระดับ เป็นเรื่องที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน หลักการไม่ซับซ้อน ยกตัวอย่างเช่นถ้าครอบครัวไหนได้นั่งตำแหน่งท่านโหว ไม่ว่าท่านอ๋องจะเป็นอย่างไร แต่ก็ต้องสนใจความเป็นความตายของอนุภรรยาท่านนี้
อย่าว่าแต่อวี่เหวินหรูอวี้เลย แม้แต่กงหนีฉางก็ถูกทางบ้านกำชับบ่อยๆ เช่นกัน ถ่ายทอดประสบการณ์การช่วงชิงความโปรดปรานของตัวเอง สอนให้กงหนีฉางแสดงจุดแข็งเรื่องความอ่อนเยาว์ของตัวเอง
เรือนเดี่ยว โถงหลักของเรือนชั้นใน อวิ๋นจือชิวนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่ง ยกขาไขว่ห้างเอนหลัง ในมือกำลังถืออ่านรายชื่อกลุ่มอนุภรรยาข้างนอก
รายชื่อพวกนี้ อวิ๋นจือชิวสั่งให้เฟยหงจัดเรียงไว้ให้ก่อนตัวเองจะกลับมา ตอนนี้เฟยหงก็กำลังนั่งอยู่อีกฝั่งของโต๊ะน้ำชา กำลังสังเกตปฏิกิริยาของอวิ๋นจือชิวเป็นระยะ
เสวี่ยเอ๋อร์กลับมาจากข้างนอก อวิ๋นจือชิวที่กำลังจ้องรายชื่อเอ่ยถามเสียงเรียบว่า “ข้างนอกมีปฏิกิริยาอะไรบ้าง?”
“เหนียงเหนียง บางคนก็สุภาพสงบเสงี่ยม แต่ก็มีไม่น้อยที่ทนไม่ไหวจนสุมหัวนินทากัน ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรกันบ้าง แต่คงไม่ได้พูดอะไรดีๆ” เสวี่ยเอ๋อร์ตอบ
หลินผิงผิงที่นั่งอยู่ข้างล่างแอบแลบลิ้น ฟังออกว่าเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ค่อยพอใจอนุภรรยาพวกนั้น
มู่หรงซิงหัวก็อดไม่ได้ที่จะมองเสวี่ยเอ๋อร์แวบหนึ่งเช่นกัน
ที่จริงผู้หญิงทุกคนที่อยู่ตรงนี้ ในเวลานี้ล้วนยืนอยู่ฝั่งเดียวกับอวิ๋นจือชิว เพราะไม่ค่อยพอใจที่เหมียวอี้รับอนุภรรยามากขนาดนี้ในรวดเดียว ใช่ว่าท่านอ๋องจะขาดผู้หญิงปฏิบัติ จะต้องการผู้หญิงที่วุ่นวายไร้ระเบียบพวกนี้มาทำอะไร รับมือไหวเหรอ?
เหตุผลที่ทำให้เหมียวอี้จำเป็นต้องรับอนุภรรยาพวกนี้ พวกนางเข้าใจดี แต่ในใจก็ยังรู้สึกไม่สบอารมณ์ อยากให้อวิ๋นจือชิวจัดการพวกผู้หญิงที่อยู่ข้างนอกสักยก
“แค่หนึ่งชั่วยามก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ?” อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม แล้วถามว่า “ท่านอ๋องมาหรือยัง?”
“ยังเลยเจ้าค่ะ” เชียนเอ๋อร์ตอบ
“เช่นนั้นก็ให้พวกนางรอต่อไป ถ้าท่านอ๋องมาเมื่อไร เดี๋ยวค่อยว่ากันตอนนั้น” อวิ๋นจือชิวกล่าวเสียงเย็น ตายังคงจ้องแผ่นหยกเหมือนเดิม “มู่หรง”
“ค่ะ!” มู่หรงซิงหัวก้าวขึ้นมารอฟังคำสั่ง
“ถ่ายทอดสดสั่งข้า ดึงทัพอารักขาหนึ่งพันนายเข้ามา ให้จับตาดูเอาไว้ ถ้าใครกล้าไม่เชื่อฟัง ถือวิสาสะออกไปจากสวนดอกไม้ ก็จับตัวไว้ทันที ตัดขาข้างหนึ่งแล้วโยนเข้าคุกไปหนึ่งปี ห้ามรักษา!” อวิ๋นจือชิวกล่าว
“เอ่อ…” มู่หรงซิงหัวปาดเหงื่อ ตัดขาอนุภรรยาของท่านอ๋อง แบบนี้เหมาะสมเหรอ? นางลังเลนิดหน่อย ไม่กล้าเอ่ยรับคำสั่ง
อวิ๋นจือชิวเหลือบตาขึ้นทันที พ่นเสียงทางจมูกถาม “หืม?”
“ค่ะ!” มู่หรงซิงหัวรีบเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
เฟยหงแอบยิ้มเจื่อน หลายวันมานี้นางนับว่าได้รับบทเรียนจากคุณหนูพวกนั้นแล้ว หวังว่าท่านอ๋องจะรีบมาก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้นถ้าถ่วงเวลาอย่างนี้ต่อไป ในบรรดาคุณหนูพวกนั้นอาจจะมีคนสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปจริงๆ เมื่อเจอกับหวังเฟยที่นิสัยเจ้าอารมณ์ คาดว่าคนที่ถูดตัดขาคงไม่ได้มีแค่คนสองคน
อวิ๋นจือชิวบอกอีกว่า “ผังเสี้ยวเสี้ยว กงหนีฉาง อวี่เหวินหรูอวี้ ให้พวกนางสามคนมาหาข้า”
ตอนที่อยู่พิภพเล็ก นางก็ถามสถานการณ์ของผู้หญิงพวกนี้ผ่านเฟยหงแล้ว จะมีนิสัยเจ้าอารมณ์เหมือนคุณหนูบ้างก็พอเข้าใจได้ ประเด็นก็คือเบื้องหลังของคุณหนูทุกคนยังมีคนหนุนหลังอยู่ คนในครอบครัวจะคอยออกหัวคิดให้ผู้หญิงบ้านตัวเองก็เป็นเรื่องปกติมาก นางต้องเลือกลูกสาวของจอมพลทั้งสามออกมาก่อน จะได้ไม่ถูกคนปลุกปั่นให้เป็นแกนนำก่อเรื่อง ส่วนคนที่เหลือถ้าใครกล้าสร้างปัญหานางก็จะจัดการคนนั้น ที่นี่ไม่มีพื้นที่มากพอให้คุณหนูมากมายขนาดนั้นมาทำนิสัยเจ้าอารมณ์ เมื่อแต่งงานออกมาแล้วก็ต้องแก้ไขนิสัยที่ไม่ดี ไม่อย่างนั้นในภายหลังก็เลิกคิดไปได้เลยว่าบ้านนี้จะสงบสุข
เป็นเพราะการรับอนุภรรยาของเหมียวอี้ครั้งนี้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ นอกจากจะแต่งงานรับอนุภรรยาเข้ามาจำนวนมากในรวดเดียวแล้ว ส่วนใหญ่ยังเป็นคุณหนูที่มาจากตระกูลที่มีอำนาจด้วย ไม่เหมือนการรับอนุภรรยาคนอื่น คนที่มีนิสัยแตกต่างกันมากมายขนาดนี้ ถ้าไม่รู้จักสำรวมความประพฤติของตัวเอง เมื่อรวมตัวกันแล้วจะไม่แย่หรอกหรือ? คาดว่าคงต้องทะเลาะกันทุกวัน
ผ่านไปครู่เดียว ผังเสี้ยวเสี้ยว กงหนีฉางและอวี่เหวินหรูอวี้ก็ถูกพาตัวมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าสามคนนี้รู้สึกประหม่า พวกนางทำความเคารพพร้อมกัน “ผังเสี้ยวเสี้ยว กงหนีฉาง อวี่เหวินหรูอวี้คำนับหวังเฟย!”
“ไม่ต้องมากพิธี” อวิ๋นจือชิวผายมือเล็กน้อย แล้วลุกขึ้นเดินไปตรงหน้าทั้งสาม เดินวนพร้อมมองประเมินหนึ่งรอบ จากนั้นมาหยุดยืนตรงหน้าอวี่เหวินหรูอวี้ “น้องอวี่เหวิน พวกเราเคยเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ข้ารู้จักพี่สาวเจ้า”
“ใช่ค่ะ พี่สาวข้าเคยเอ่ยถึง เคยได้รับการชี้แนะจากเหนียงเหนียง” อวี่เหวินหรูอวี้กล่าวยังสุภาพ เมื่อก่อนอวิ๋นจือชิวมีสิทธิ์ไปชี้แนะลูกสาวของจอมพลเสียที่ไหนกัน
อวิ๋นจือชิวยิ้มโดยไม่ตอบอะไร ย้ายไปด้านข้างอีก ไปยืนเพ่งมองตรงหน้ากงหนีฉาง เมื่อเห็นว่ายังเป็นสาวน้อยที่ยังไม่เติบโต ก็อดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบใบหน้างามของกงหนีฉางด้วยความสงสาร นางเดาะลิ้นแล้วบอกว่า “อ่อนเยาว์เหมือนดอกไม้ตูมที่ยังไม่เบ่งบาน ท่านอ๋องช่างก่อกรรมทำเข็ญจริงๆ!”
กงหนีฉางกังวลสุดๆ นึกว่าอีกฝ่ายจะไล่ตัวเองไป ในฐานะที่แบกรับภาระของครอบครัว นางจะออกไปได้อย่างไร จึงรีบกล่าวด้วยความร้อนใจว่า “เหนียงเหนียง ถ้าเป็นที่โลกมนุษย์ อายุเท่าข้าสามารถให้กำเนิดบุตรได้แล้วค่ะ” นางจะสื่อว่าตอนนี้ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว
เมื่อนางกล่าวมาแบบนี้ คนที่อยู่ตรงนั้นก็ตกใจไม่เบา ขนาดกงหนีฉางเองยังอายจนหน้าแดงก่ำ ก้มหน้าไปแล้ว
อวิ๋นจือชิวชะงักไปเล็กน้อย หลังจากมองออกว่าสาวน้อยประหม่ากังวลจนพูดผิด นางก็ขำจนไหล่สั่นทันที นางเอามือปิดปากสงบสติอารมณ์ แล้วพยักหน้าบอกว่า “ดีๆๆ! ได้ ข้าจะจำไว้ เดี๋ยวกลับไปจะโน้มน้าวให้ท่านอ๋องพิจารณาเรื่องนี้ แต่นางหนูเอ๊ย เรื่องให้กำเนิดบุตรเอาไว้ก่อนดีกว่า รอให้เจ้ากระดูกยาวกว่านี้หน่อยค่อยปรึกษาเรื่องนี้กัน ตกลงไหม?”
กงหนีฉางอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
หลายคนที่อยู่ตรงนั้นกลั้นขำนิดหน่อย แต่ก็มองกงหนีฉางอีกครั้งด้วยแววตาที่รู้สึกดีมากขึ้น ต่างก็เห็นว่านางเป็นเด็กสาวที่น่าสงสาร ไม่ได้เป็นประเภทเดียวกับผู้หญิงที่อยู่ด้านนอก
จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าผังเสี้ยวเสี้ยว อวิ๋นจือชิวถามว่า “ได้ยินว่าตอนที่ข้าไม่อยู่ ล้วนเป็นเจ้าที่ปรนนิบัติท่านอ๋องเหรอ?” เหมือนพุ่งเป้าไปที่บางเรื่องโดยเฉพาะ
ผังเสี้ยวเสี้ยวไม่รู้ว่าคำถามนี้หมายความว่าอะไร รู้สึกประหม่ากับสายตาที่อมยิ้มของอวิ๋นจือชิวมาก “ถ้ามีสิ่งไหนที่ทำผิดไป หวังว่าเหนียงเหนียงจะชี้แนะ ข้าจะแก้ไขให้ถูกต้องแน่นอนค่ะ”
“เป็นพี่น้องบ้านเดียวกันแล้ว ไม่ต้องประหม่าขนาดนั้นหรอก” อวิ๋นจือชิวกล่าวปลอบใจด้วยรอยยิ้ม กวาดสายตามองทั้งสาม แล้วยื่น แล้วยื่นมือบอกว่า “ทุกคนนั่งลงเถอะ!”
รอจนกระทั่งทั้งสามนั่งลงอย่างว่างง่ายและวางน้ำชาแล้ว อวิ๋นจือชิวก็บอกอีกว่า “ตอนนี้ในบ้านมีคนเพิ่มขึ้นแล้ว ข้าคนเดียวดูแลไม่ไหว ถ้าพวกเจ้าไม่ว่าอะไร ต่อไปนี้พวกเจ้าสามคนก็คอยช่วยอยู่ข้างกายข้าวแล้วกัน พวกเราควรทำความรู้จักกันมากๆ หน่อย”
นางต้องหาทางผูกมัดจิตใจสามคนนี้ก่อน ในภายหลังถ้าคนของพวกไหนอยู่ที่นี่แล้วไม่เชื่อฟัง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ฝ่ายต่างๆ รวมตัวกันต่อต้าน ก็จะให้จอมพลที่ถอยออกจากตำแหน่งไปแก้ปัญหา ตราบใดที่ไม่รวมตัวกันต่อต้าน คนอื่นก็สร้างปัญหาอะไรไม่ได้ นางรู้อย่างลึกซึ้งว่าตอนนี้ต้องช่วงชิงเวลาให้เหมียวอี้คุมทัพใต้ให้สงบมั่นคง รอให้เหมียวอี้ย่อยทัพใต้ได้ทั้งหมดเมื่อไหร่ อิทธิพลของคนที่อยู่เบื้องหลังอนุภรรยาพวกนี้ก็จะหายไปแล้ว ย่อมไม่กล้าคิดไม่ซื่ออะไรอีก
“จะเชื่อฟังเหนียงเหนียงทุกอย่างค่ะ” อวี่เหวินหรูอวี้กับผังเสี้ยวเสี้ยวรีบยืนขึ้นเอ่ยรับ ทั้งสองรู้ว่านี่เป็นการดูแลพวกนางเป็นพิเศษ ถ้าจะพูดให้ถูกก็คืออาศัยอิทธิพลของครอบครัวฝั่งผู้หญิง ส่วนกงหนีฉางก็ไม่เข้าใจอะไร แค่ยืนแล้วพูดตามด้วยเท่านั้น
นอกเรือนเดี่ยว พอเหมียวอี้มาถึงก็เข้ามาในสวนดอกไม้เลย มาหยุดยืนอยู่ตรงประตู กวาดสายตามองผู้หญิงที่อยู่ข้างใน แต่ไม่เห็นเงาของอวิ๋นจือชิว
ผู้หญิงที่อยู่ในสวนกำลังตากแดด บางคนก็รวมตัวกันไปหลบใต้ร่มไม้ บางคนก็เข้าไปหลบในศาลา คนไหนหาที่หลบไม่ได้จริงๆ ก็กางร่ม บ้างก็นั่งบ้างก็พิง อยู่ในอิริยาบถต่างๆ บางคนกำลังพูดคุยด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไปก็มี
ไม่นานก็เหมือนมีคนสังเกตุเห็นแล้ว บางคนเห็นคนที่อยู่ข้างกายยืนขึ้นกะทันหัน จู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นทำตัวสง่าภูมิฐาน พอหันไปมอง ก็พบว่าท่านอ๋องโผล่หน้ามาแล้ว กำลังมองสำรวจด้วยสายตาเย็นชา พวกนางตกใจทันที ไม่รู้ว่าการกระทำที่เอาแต่ใจเกินไปของตัวเองเมื่อครู่นี้อยู่ในสายตาอีกฝ่ายแล้วหรือเปล่า จึงรีบแสดงอากัปกิริยาเรียบร้อยทันที ชั่วพริบตาเดียวก็เปลี่ยนเป็นกุลสตรีแล้ว
………………