คนที่ยืนเอนกายกางร่มอยู่ตรงนี้รีบเก็บร่มเช่นกัน สภาพวุ่นวายในสวนดอกไม้หายไปทันที
นางพวกผู้หญิงกลุ่มนี้! มู่หรงซิงหัวพึมพำในใจ ทั้งโมโหทั้งอยากขำจริงๆ นางรีบเดินไปข้างกายเหมียวอี้ รู้สึกโล่งใจแล้วเช่นกัน ในที่สุดเขาก็มาแล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าปฏิบัติตามประสงค์ของหวังเฟย เกรงว่าจะต้องเกิดเรื่องแน่
เหมียวอี้ก็ไม่ใช่คนตาบอด เขาเห็นสภาพวุ่นวายเมื่อครู่นี้หมดแล้ว นี่น่ะหรือที่เรียกว่าลูกสาวของตระกูลใหญ่? ยืนบิดยืนเอียงเหมือนคนขี้เกียจ คนนอกที่ไม่รู้ความจริงคงนึกว่าเขาเปิดหอนางโลมที่นี่แล้ว ไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย!
โดยเฉพาะฉากที่เปลี่ยนจากผู้หญิงขี้เกียจเป็นผู้หญิงเรียบร้อย ทำให้เหมียวอี้สีหน้าบึ้งตึงแล้วไม่น้อย สายตายิ่งล้ำลึกขึ้นเรื่อยๆ ในใจรู้สึกรังเกียจผู้หญิงกลุ่มนี้มากขึ้นหลายส่วน
เขาเองก็ไม่มีกะจิตกะใจทำไมแยกแยะว่าเดิมทีแล้วคนพวกนี้ภูมิฐานเรียบร้อยมาตลอดหรือเปล่า เอาเป็นว่าครั้งแรกที่เจอคนกลุ่มนี้พร้อมกัน เขาไม่มีความประทับใจแรกพบเลย มิหนำซ้ำก่อนหน้านี้หยางเจาชิงก็เคยเตือนเขาแล้วด้วย ว่าถ้าจำเป็นเขาจะต้องมาหนุนหลังเฟยหงสักหน่อย ตอนนั้นตนสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจากผู้หญิงกลุ่มนี้แล้ว ตอนนี้ก็แค่รอให้เขามาพิสูจน์การคาดเดาของตัวเอง
มีคนไม่น้อยสังเกตเห็นแล้วว่าสีหน้าของเหมียวอี้เปลี่ยนไป ในใจแอบร้องว่าแย่แล้ว ท่านอ๋องจะมาก็ไม่บอกสักคำ พวกนางด่าอวิ๋นจือชิวว่าชั่วร้ายเกินไปแล้ว จงใจให้พวกนางปล่อยไก่ต่อหน้าท่านอ๋อง
ส่วนผู้หญิงพวกนี้ก็ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไร เดิมทีก็ไม่พอใจที่ครอบครัวทำอย่างนี้อยู่แล้ว ไม่แยแสอยู่แล้วว่าจะได้รับความโปรดปรานจากเหมียวอี้หรือเปล่า
หยางเจาชิงที่เดินมาด้วยกันเห็นปฏิกิริยาของทุกคนอยู่ในสายตา เขาแอบถอนหายใจ ว่ากันว่าผู้หญิงสามคนมาอยู่ร่วมกันจะวุ่นวาย แต่นี่มีเป็นฝูง กอปรกับมาจากตระกูลที่ร่ำรวยมีอำนาจ เติบโตมาจากสภาพแวดล้อมที่ได้ยินและได้เห็นจากครอบครัว รูปแบบการแย่งชิงความโปรดปรานของวังหลังคงจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ เขาแค่หวังว่าผู้หญิงพวกนี้จะรู้กาลเทศะสักหน่อย อย่าไปยั่วโมโหอวิ๋นจือชิว เพราะความจริงแล้วอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกายท่านอ๋องกุมอำนาจมหาศาลอย่างที่คนนอกไม่รู้ บทบาทบางอย่างไม่อาจมีใครแทนที่ได้ มีอิทธิพลต่อท่านอ๋องทุกด้าน และเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้ท่านอ๋องยอมแพ้ได้ ไม่ใช่ว่าใครคิดจะแทนที่ก็แทนที่ได้ เขาหวังว่าผู้หญิงพวกนี้จะไม่หาเรื่องใส่ตัว
มู่หรงซิงหัวก้าวขึ้นมาทำความเคารพ เหมียวอี้ถามเสียงเรียบว่า “หวังเฟยล่ะ?”
“กำลังรอท่านอ๋องอยู่ที่โถงหลักของเรือนชั้นใน!” มู่หรงซิงหัว
เหมียวอี้ไม่ได้ทักทายอนุภรรยากลุ่มนี้ หันหน้าแล้วเดินออกไปเลย เดินตรงไปที่เรือนชั้นใน
กลุ่มผู้หญิงที่เตรียมตัวรอทำความเคารพท่านอ๋องพูดไม่ออก พวกนางมองแสงอาทิตย์บนฟ้าอีกครั้ง เวลานี้ไม่มีใครกล้าขี้เกียจอีกแล้ว กัดฟันยืนตากแดด ไม่อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะโผล่มาเมื่อไหร่
พอเดินมาถึงนอกโถงหลัก ได้ยินเสียงหัวเราะของอวิ๋นจือชิว ฟังดูเหมือนอารมณ์ดี เหมียวอี้ก็รีบเดินเข้าไปด้วยใบหน้าเจือรอยยิ้ม
พอเขามาถึง กลุ่มคนที่อยู่ตรงนี้ก็ทยอยกันยืนขึ้นทำความเคารพ “ท่านอ๋อง!”
เห็นได้ชัดว่ากงหนีฉางกับอวี่เหวินหรูอวี้ค่อนข้างหวาดกลัว รอยยิ้มบนใบหน้าอวิ๋นจือชิวกลับหายไป นางลุกขึ้นย่อตัวทำความเคารพ “หญิงผู้ต่ำต้อยคำนับท่านอ๋อง!”
เพราะเห็นปฏิกิริยาของนาง ในใจเหมียวอี้ก็กระวนกระวายนิดหน่อย ยิ้มแห้งพร้อมบอกว่า “ไม่ต้องมากพิธี”
“น้องๆ ด้านนอกรอนานแล้ว ในเมื่อท่านอ๋องมาแล้ว เราก็ออกไปดูด้วยกันเถอะ” อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เหมียวอี้หัวเราะแห้ง “เป็นเรื่องของพวกผู้หญิง ส่วนอ๋องผู้นี้…” ผลปรากฏว่าอวิ๋นจือชิวชำเลืองมองด้วยแววตาไม่ชอบมาพากล เขาจึงกระแอมแล้วบอกว่า “ก็ดี ถือว่าไปมุงดูด้วยก็แล้วกัน”
คนกลุ่มหนึ่งออกจากโถงหลัก ออกจากเรือนชั้นใน เดินตรงไปที่สวนดอกไม้
ท่านอ๋องปรากฏตัวอีกครั้ง ผู้หญิงสวยหยาดเยิ้มทว่าสง่าภูมิฐานคนนั้นที่อยู่ข้างกาย บางคนเคยเจอแล้ว บางคนยังไม่เคยเจอ แต่ทุกคนล้วนเดาออกแล้วว่าคนที่สามารถเดินเคียงข้างท่านอ๋องได้ นอกจากหวังเฟยอวิ๋นจือชิวก็น่าจะไม่มีใครแล้ว
“ท่านอ๋อง หวังเฟย”
เมื่อเผชิญหน้าในระยะใกล้อย่างเป็นทางการ ผู้หญิงกลุ่มนี้ก็ทยอยกันทำความเคารพ
อวิ๋นจือชิวยิ้มอย่างสนิทสนม ทักทายพวกนางทีละคนจนครบ ส่วนเหมียวอี้ก็ฝืนยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ
“ท่านอ๋อง” เสียงที่อ่อนหวานเย้ายวนดังขึ้น อวิ๋นจือชิวปรายตามองแวบหนึ่ง พบว่าเจ้าของเสียงก็สวยพราวเสน่ห์มากเช่นกัน แววตาที่มองเหมียวอี้ก็ดูเขินอายปนออดอ้อนด้วย ยั่วยวนผู้ชายมาก
เหมียวอี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองสองครั้ง ก็คนมันสวย ช่วยไม่ได้ ถูกสัญชาตญาณดึงดูดให้มองสองครั้ง
เสียงหัวเราะที่เป็นกันเองของอวิ๋นจือชิวดังขึ้น “น้องสาวคนนี้สวยจริงๆ ไม่ทราบว่าชื่ออะไร?”
“ตอบเหนียงเหนียง ชื่อตู้อิ๋นเจียวค่ะ” หญิงสาวตอบด้วยน้ำเสียงออดอ้อน
“…” อวิ๋นจือชิวชะงักนิดหน่อย ในหัวนึกถึงสิ่งที่พึ่งอ่านในรายชื่อ นางจำชื่อนี้ได้ดีมาก ทำไมถึงจำได้ดีนะหรือ? ก็เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นประเภทที่เพิ่งรีบหย่าร้างกับสามีตอนก่อนจะมาไงล่ะ ก่อนแต่งงานเข้ามาก็มีลูกสาวแล้วหนึ่งคน พอหายอึ้งแล้ว นางก็พยักหน้าซ้ำๆ “เป็นชื่อที่ดี คนก็เหมือนกับชื่อ” พูดจบก็ปรายตามองเหมียวอี้ เดาว่าเหมียวอี้คงยังไม่รู้กำพืดผู้หญิงคนนี้
ตอนอยู่ที่พิภพเล็ก นางก็ให้ความสนใจกับฝั่งนี้มาตลอด จับตาดูว่าเหมียวอี้จะทำอะไรกับผู้หญิงกลุ่มนี้ ผลปรากฏว่าการวางตัวของเหมียวอี้ทำให้นางพอใจมาก ไม่เคยพบหน้ากับผู้หญิงกลุ่มนี้อย่างเป็นทางการเลย
หารู้ไม่ เหมียวอี้เองก็กังวลว่าจะถูกหึงหวง มีหรือที่จะกล้าทำซี้ซั้ว เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอวิ๋นจือชิวมีหูตาคอยสอดส่องอยู่ที่นี่ ไม่จำเป็นต้องหาเรื่องใส่ตัว
ผู้หญิงส่วนใหญ่ที่เป็นฝ่ายเข้ามาใกล้ก่อน ก็ย่อมเป็นเพราะมั่นใจในตัวเอง เป็นประเภทที่มั่นใจว่าตัวเองนั้นงดงามไม่ธรรมดา ยิ่งเดินไปข้างหลัง การแบ่งระดับความงามก็ยิ่งชัดเจน หน้าตาธรรมดาก็ว่าหนักแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีบางส่วนที่หน้าตาอัปลักษณ์ด้วย
จะหน้าตางดงามหรืออัปลักษณ์ก็ล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติ ถ้าเป็นคนทั่วไปก็ไม่มีทางเลือกเข้ามา แต่สำหรับทหารแพ้ศึกที่ต้องการให้ลูกสาวแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ นี่ก็คือเรื่องที่ไม่มีทางเลือก ตัวเองมีสายเลือดที่แย่ ลูกสาวที่ให้กำเนิดก็ได้รับถ่ายทอดจากกรรมพันธุ์ เบื้องล่างไม่มีลูกสาวสวย ถึงอย่างไรทุกคนก็รู้จุดประสงค์ของการแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ชัดเจน ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงล้วนต้องยอมรับแก้ขัดไปก่อน ขอเพียงบรรลุเป้าหมายในการเป็นญาติของท่านอ๋อง ปกป้องครอบครัวให้ผ่านวิกฤตไปได้ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องช่วงชิงความโปรดปรานก็ไม่หวังแล้ว แน่นอนว่าบางทีท่านอ๋องอาจจะถูกใจหรือมีรสนิยมแปลกก็ได้
อวิ๋นจือชิวก็ได้พบพวกผู้หญิงกลุ่มนี้อย่างเป็นทางการครั้งแรกเช่นกัน ตอนไม่เจอก็ยังไม่รู้ แต่พอได้เจอแล้วก็ตกตะลึงนิดหน่อย
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าคนที่สามารถส่งลูกสาวมาแต่งงานได้ จะต้องคัดสรรจากครอบครัวมาอย่างดีแล้ว จะต้องหน้าตาสวยมากแน่นอน แต่นางประเมินพันธุกรรมต่ำไป ไม่ใช่ทุกคนที่จะให้กำเนิดลูกสาวสวยได้ ส่วนคนที่ยอมโผล่หน้ามาในงานเลี้ยงต่างๆ ที่นางเคยไปเข้าร่วมเมื่อหลายปีก่อน ที่จริงล้วนเป็นคนที่พอจะมีความสวยอยู่บ้าง ทำหน้าตาอัปลักษณ์จะยอมโผล่หน้ามาโอ้อวดรูปโฉมเหรอ? ส่วนตอนที่ลูกน้องรายงานสถานการณ์ของฝั่งนี้ให้นางรู้ ก็ไม่มีใครว่างจนไปวิจารณ์หน้าตาอนุภรรยาของท่านอ๋อง ตอนนี้อวิ๋นจือชิวถึงได้ตกตะลึงหลังจากเห็นพวกนาง
ตอนนี้อวิ๋นจือชิวเพิ่งจะจินตนาการออก ว่าทหารรบแพ้พยายามยัดลูกสาวเข้าจวนท่านอ๋องเพียงเพื่อจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์มีสภาพเหตุการณ์เป็นอย่างไร
อวิ๋นจือชิวนับว่าเข้าใจแล้วว่าอะไรเรียกว่า คนเราแม้สูงเตี้ยอ้วนผอมแต่ก็มีจุดเด่นของตัวเอง คนที่พอจะโดดเด่นก็อ้วนเกินไปหน่อยจริงๆ คาดว่าในบรรดาท่านอ๋องทั้งหมดในใต้หล้า เหมียวอี้คงเป็นคนแรกที่รับอนุภรรยาระดับนี้ได้ เวลาท่านอ๋องคนอื่นรับนุภรรยา ถ้าเบื้องล่างไม่มียอดหญิงงามแล้วใครจะกล้าส่งเข้าจวนท่านอ๋อง?
เหมียวอี้เองก็ได้พบกับกลุ่มอนุภรรยาของตัวเองอย่างเป็นทางการครั้งแรกเช่นกัน หลังจากได้เห็นแบบจริงจัง เหมียวอี้ก็ฝืนยิ้มไม่ออกแล้ว เอาเป็นว่าเปลี่ยนเป็นสงบนิ่งมาก ไม่สะทกสะท้าน!
หลังจากเดินอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนรอบหนึ่งแล้ว อวิ๋นจือชิวก็พูดกับเหมียวอี้ทำกลางสายตาทุกคนว่า “ท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้ในบ้านมีน้องๆ น้อย เวลามีเรื่องอะไรข้าก็สามารถคุยกับน้องๆ การส่วนตัวได้เลย คุยทีละคนยังไหว แต่ตอนนี้มีน้องๆ เพิ่มมาเยอะขนาดนี้ กลัวว่าจะทำไม่ได้แล้ว ควรจะมีกฎระเบียบสักอย่าง ท่านอ๋องคิดว่ายังไงคะ?”
เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น “กฎระเบียบของเรือนชั้นใน ให้หวังเฟยมีอำนาจตัดสินใจแล้วกัน หวังเฟยกำหนดได้เลย!”
เมื่ออยู่ต่อหน้าทุกคน สิ่งที่อวิ๋นจือชิวต้องการก็คือประโยคนี้ นับว่าเจ้าหมอนี่อ่านสถานการณ์ออก นางย่อตัวทำความเคารพทันที “หม่อมฉันน้อมรับคำสั่ง”
เดินเล่นได้สักพัก ทั้งสองก็กล่าวอำลากับบรรดาอนุภรรยา ขณะกำลังจะออกไป จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนอันดังก้องจากคนคนหนึ่ง “ท่านอ๋อง!”
ร่างบึกบึนกำยำเข้ามาขวางทาง เหมียวอี้มองอนุภรรยาด้วยสายตาตะลึงค้าง ตอนยังไม่เห็นตัวยังนึกว่าผู้ชายคนไหนกำลังพูดอยู่
อนุภรรยาคนที่อยู่ตรงหน้ารูปร่างเหมือนหลังเสือเอวหมีอย่างแท้จริง ศีรษะใหญ่กว่าเหมียวอี้เสียอีก ควรจะพูดว่าใหญ่กว่ามาก รูปร่างสูงเกินเหมียวอี้ครึ่งศีรษะ ดวงตาใหญ่เหมือนระฆังทองแดง รูจมูกเชิดขึ้นฟ้ากรามใหญ่มาก หน้าตามีเอกลักษณ์มาก แต่ดันเขียนคิ้วบางเหมือนใบหลิว สวมชุดกระโปรงยาวสีขาวบริสุทธิ์ หน้าอกอิ่มเอิบเป็นพิเศษ มองแล้วรู้สึกกดดัน
เหมียวอี้รีบมองหยางเจาชิงแวบหนึ่ง พอเห็นหยางเจาชิงไม่มีปฏิกิริยาอะไร ก็เข้าใจแล้วว่าคนนี้น่าจะเป็นอนุภรรยาของตน เพียงแต่เมื่อครู่นี้ไม่เห็น เมื่อครู่คงหลบไปที่ไหนสักแห่ง ตอนนี้โผล่มาจากไหนล่ะ? เอาเป็นว่าโผล่มากะทันหัน ทำให้เหมียวอี้รู้สึก ‘อัศจรรย์ใจ’ จริงๆ
อวิ๋นจือชิวเอียงหน้ามองเหมียวอี้ที่เหมือนกำลังกลืนน้ำลาย แล้วถามสตรีที่ศีรษะใหญ่คนนั้นว่า “ไม่ทราบว่าน้องสาวชื่ออะไร?”
“เนี่ยอู๋เยี่ยน!” นางรายงานด้วยเสียงดังฟังชัด จ้องเหมียวอี้พร้อมถามว่า “ขอบังอาจถามท่านอ๋อง กักบริเวณพวกเราไว้ที่นี่หมายความว่ายังไง?”
“มาพูดว่ากักบริเวณได้ยังไง?” เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น
เนี่ยอู๋เยี่ยนโบกมือชี้ไปทางจวนท่านอ๋อง แล้วตำหนิเสียงดังว่า “เขตลานบ้านในจวนท่านอ๋องมีนับไม่ถ้วน ทำไมอนุภรรยาบางคนเข้าไปได้ อนุภรรยาบางคนเข้าไปไม่ได้ รังเกียจที่พวกเราหน้าตาไม่ดีใช่ไหม?”
อนุภรรยาไม่กล้าแสดงออกไม่เห็นด้วยอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ครุ่นคิดมาตลอดว่าทำไมไม่ยอมให้พวกนางเข้าไปอยู่ในจวนท่านอ๋อง กลับให้มาเบียดกันอยู่ที่นี่
คำประณามเช่นนี้ทำอะไรเหมียวอี้ได้ยาก คนที่ผ่านอุปสรรคใหญ่หลวงมาแล้วสามารถรับมือได้อย่างเป็นธรรมชาติ “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าได้รับรายงานลับมา ว่าในบรรดาพวกเจ้ามีสายลับปะปนมาด้วย จวนท่านอ๋องเป็นสถานที่สำคัญ จะปล่อยให้ใส่รับปากคนเข้ามาได้ยังไง ตอนนี้กำลังตรวจสอบ ถ้าไม่มีปัญหาก็ย่อมเข้ามาอยู่ในจวนท่านอ๋องได้ เจ้ารู้สึกว่ามีปัญหาเหรอ?”
เนี่ยอู๋เยี่ยนเถียงไม่ออก พยักหน้าสื่อว่าเข้าใจแล้ว ก่อนจะถอยหายเข้าไปท่ามกลางกลุ่มคน
เมื่อออกจากเรือนเดี่ยวกลับมาที่จวนท่านอ๋องแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ย่อมมองประเมินคนใหม่ตลอดทาง หลังจากได้เห็นอนุภรรยากลุ่มนี้ ความนิ่งสุขุมบนใบหน้าเหมียวอี้ก็ไม่เปลี่ยนไปเลย
พอมาถึงห้องหลักของเรือนชั้นใน จู่ๆ อวิ๋นจือชิวที่กำลังมองเครื่องเรือนก็บอกอย่างไม่ตรงประเด็นว่า “อนุภรรยาที่ท่านอ๋องรับไว้ไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย ช่างรสนิยมจัดจ้าน!”
ในที่สุดเหมียวอี้ก็ใบหน้ากระตุกอย่างแรง
“หึหึ…” อวิ๋นจือชิวอดทนมาได้ตลอดทาง ตอนนี้ไม่มีคนนอก สุดท้ายก็อดทนไม่ไหวแล้ว นางหัวเราะจนตัวโยน พอนึกถึงเนี่ยอู๋เยี่ยนที่มาขวางทาง ท่าทางตะลึงงันกลืนน้ำลายของเหมียวอี้ นางก็หัวเราะจนแทบน้ำตาไหล
นางคาดคะเนคร่าวๆ คนประมาณหนึ่งพันกว่า คนที่นับว่างามล้ำเลิศจริงๆ มีอยู่ไม่กี่คน คนที่หน้าตาสวยมีอยู่สองในสิบ ที่เหลือส่วนใหญ่หน้าตาธรรมดา ยังมีส่วนน้อยที่หน้าตาไม่สง่างามเลยจริงๆ เนี่ยอู๋เยี่ยนก็เป็นหนึ่งในนั้น
เหมียวอี้มองค้อนนาง “น้องชิว ทำไมต้องมองคนที่ภายนอก ประมุขชิงสูงส่งเป็นราชันสวรรค์ แต่รังเกียจราชินีสวรรค์เพราะหน้าตาหรือเปล่าล่ะ?”
“ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว” อวิ๋นจือชิวโบกมือหัวเราะจนหายใจไม่ทัน
ไม่ง่ายเลยกว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ เหมียวอี้ถามด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “ทางซูอวิ้นว่ายังไงบ้าง?”
เขาดีใจไม่ลงจริงๆ การชื่นชอบความงามเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ เหล้าขมที่กลั่นเองก็ต้องกลืนเอง เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหย่าเพราะอีกฝ่ายอัปลักษณ์ ทำได้เพียงเก็บไว้อยู่ด้วยกันตลอดไป
………………