พูดถึงขั้นนี้แล้ว ถงเหลียนซีจะไม่รู้ได้อย่างไรว่านางหมายความว่าอะไร นางสายหน้ากล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “ข้าคือเจียงอวิ๋น!”
ที่รอก็คือประโยคนี้แหละ ถ้าถงเหลียนซีไม่ใช่เจียงอวิ๋น ก็น่าจะไม่พูดชื่อนี้ออกมา นอกเสียจากว่าพระปีศาจหนานโปติดต่อไว้ล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นอวิ๋นจือชิวจะไม่ป้องกันก็ไม่ได้ ถามอีกว่า “ตอนที่เจ้ากับพี่ชายยังเด็ก ในบ้านมีผ้าห่มกี่ผืน?”
ถงเหลียนซีรู้ว่าอีกฝ่ายอยากจะตรวจสอบ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ น้ำตาของนางพรั่งพรูออกมาราวกับน้ำพุ ร้องไห้จนพูดไม่เป็นภาษา “ผ้าห่มขาดที่ยาวแค่ครึ่งเตียง! ตอนที่อากาศหนาว พี่ชายมักจะเสียสละให้ค่า”
สิ่งนี้เชื่อมโยงกับเรื่องที่เจียงอีอีเล่าให้อวิ๋นจือชิวฟัง และเพื่อให้อวิ๋นจือชิวยืนยันตัวตนของน้องสาวได้สะดวก เจียงอีอีบอกว่า บางทีตอนเด็กคงจะหนาวจนหวาดกลัว ดังนั้นเจียงอีอีมักจะชอบสวมผ้าขนสัตว์ อวิ๋นจือชิววางใจแล้ว กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เจียงซ่างไหว้วานข้ามา ให้มาหาเจ้า!”
ถงเหลียนซีลุกขึ้นแล้วก้าวไปข้างหน้า คว้าข้อมืออวิ๋นจือชิวเอาไว้ แล้วถามยังเจ็บปวด “หวังเฟย บอกข้ามา ใครฆ่าพี่ชายของข้า?”
อวิ๋นจือชิวลังเลนิดหน่อย ก่อนจะบอกว่า “น้องสาว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากรู้จักศัตรูเพื่อล้างแค้นให้พี่ชายเจ้าไม่ใช่ว่าข้าไม่ยอมบอกเจ้า แต่พี่ชายของเจ้าเคยกำชับไว้ ว่าไม่ให้บอกเจ้า บางทีเขาคงไม่หวังให้เจ้าช่วยล้างแค้นให้เขาก็ได้ แค่อยากให้เจ้ารู้เฉยๆ ว่าเขาตายไปแล้ว ให้เจ้าไม่ต้องถูกสมาคมวีรชนขู่บังคับอีก ให้ข้าหาสถานที่ปลอดภัยให้เจ้าอยู่ ให้เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างสบายดีต่อไป นี่คือคำขอสุดท้ายของเขาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่”
นางไม่ได้พูดมั่ว เป็นเจตนารมณ์ของเจียงอีอีก่อนตายจริงๆ เพราะเขารู้ว่าน้องสาวของตัวเองไม่มีความสามารถที่จะล้างแค้น ถ้าดันทุรังก็มีแต่จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต
“ไม่! บอกข้ามา ใครเป็นคนฆ่าเขา หรือว่าจะเป็นพวกเจ้าที่ฆ่าเขาเหมือนที่ข่าวลือบอก?” ถงเหลียนซีสะอึกสะอื้น
“เฮ้อ ถ้าเป็นพวกเราฆ่าจริงๆ ข้ายังจำเป็นต้องมาตามหาเจ้าอีกเหรอ?” อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ ไม่นับว่าพูดโกหก ตอนนั้นนางก็แค่ทำข้อตกลงแลกเปลี่ยนกับเจียงอีอี ให้ความหวังสุดท้ายกับเจียงอีอีเท่านั้น แม้การฆ่าตัวตายของเจียงอีอีจะเกี่ยวข้องกับนางอยู่บ้าง แต่ต่อให้เจียงอีอีไม่ฆ่าตัวตาย เมื่อถูกหน่วยตรวจการขวาจับไปแล้วก็ต้องตายอยู่ดี
อวิ๋นจือชิวหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้นาง “นี่คือจดหมายที่พี่ชายของเจ้าทิ้งไว้ให้ก่อนตาย ให้ข้านำมาให้เจ้าหลังจากหาเจ้าพบแล้ว ถ้าเจ้าอ่านแล้วก็จะเข้าใจ” ของสิ่งนี้นางเก็บไว้นานแล้ว จนกระทั่งออกมาครั้งนี้นางถึงได้พกติดตัวไว้อีกครั้ง
ถงเหลียนซีรับแผ่นหยกมาอ่านอย่างอดใจรอไม่ไหว ยิ่งอ่านก็ยิ่งควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ แทบจะยืนไม่ไหวแล้ว ประคองจับระเบียงแล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวด ข่มเสียงเอาไว้ไม่กล้าร้องไห้เสียงดัง
จดหมายนี้เป็นของพี่ชายนางจริงๆ ตราอิทธิฤทธิ์ที่อยู่บนนั้นนางมองปราดเดียวก็จำได้แล้ว เป็นอย่างที่อวิ๋นจือชิวบอกไว้ พี่ชายยอมรับแล้วว่าตัวเองคือเจียงอีอี บอกเพียงว่าตอนที่นางได้อ่านจดหมายนี้ เขาคงไม่ได้อยู่ในโลกมนุษย์แล้ว ไม่ได้บอกว่าศัตรูคือใคร บอกนางว่าไม่ต้องล้างแค้น อย่าถูกสมาคมวีรชนบีบบังคับอีก ให้นางหนีไป อธิบายชัดเจนแล้วว่าไหว้วานอวิ๋นจือชิว
ที่แปลกก็คือ พี่ชายตายไปหลายปีขนาดนี้แล้ว แต่บางครั้งนางก็ยังได้รับจดหมายจากพี่ชายอยู่เลย เบื้องบนก็มีตราอิทธิฤทธิ์ของพี่ชายเหมือนกัน ดังนั้นนางจึงคิดมาตลอดว่าพี่ชายยังมีชีวิตอยู่
จดหมายสามารถปลอมแปลงได้ แต่ตราอิทธิฤทธิ์ไม่สามารถปลอมแปลงได้ โดยทั่วไปผู้เขียนจดหมายจะลงตราอิทธิฤทธิ์ของตัวเองตรงตำแหน่งสำคัญบนตัวอักษร ทำให้คนเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นตอนที่ลบตัวอักษร ก็จะทำให้ตราอิทธิฤทธิ์เสียหายไปด้วย ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้น้อยที่จะนำจดหมายที่มีตราอิทธิฤทธิ์อยู่แล้วมาแก้ไข
เมื่อนำทั้งสองฉบับมาเปรียบเทียบกัน ก็เห็นได้ชัดว่าสมาคมวีรชนมีโอกาสเล่นตุกติกมากกว่า เพราะตอนที่นางอยู่สมาคมวีรชน มีคนให้นางลงตราอิทธิฤทธิ์บนแผ่นหยกเปล่าไว้เยอะๆ โดยอ้างว่าเป็นการฝึกฝน เกรงว่าทางฝั่งพี่ชายก็คงไม่ต่างกันเท่าไหร่ เห็นได้ชัดว่าเป็นไปไม่ได้ที่พี่ชายจะทิ้งแผ่นหยกที่ลงตราตราอิทธิฤทธิ์ไว้ให้อวิ๋นจือชิว
ที่สำคัญก็คือ ระยะห่างที่นางกับพี่ชายส่งจดหมายติดต่อกันก็ยาวนานขึ้นมาก นางเคยสงสัยถึงความผิดปกตินี้ แต่พี่ชายอธิบายว่ากำลังปฏิบัติภารกิจ จึงไม่สะดวกจะตอบจดหมาย ตอนนี้นางเข้าใจแล้ว ว่าพี่ชายประสบเหตุร้ายแล้ว มีคนปลอมแปลงจดหมายมาตบตานาง
“หวังเฟย บอกข้ามาเถอะ ใครกันแน่ที่ฆ่าเขา” ถงเหลียนซีที่เงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งจับข้อมืออวิ๋นจือชิว
ถ้าไม่ใช่เพราะให้คนเฝ้าดูอยู่รอบๆ อวิ๋นจือชิวก็กลัวจริงๆ ว่าจะมีคนมาเห็นฉากนี้เข้า นางกล่าวเกลี้ยกล่อมด้วยเจตนาดีว่า “ถ้าเจ้ารู้แล้วยังไงต่อล่ะ? เจ้าชำระแค่นี้ไม่ไหวหรอก เจ้าเชื่อฟังพี่ชายเจ้าไว้ดีกว่า เดี๋ยวข้าจะให้คนส่งเจ้าไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัย นับว่าทำภารกิจที่พี่ชายเจ้าฝากฝังไว้สำเร็จแล้ว อย่างอื่นเจ้าก็ไม่ต้องคิดถึงอีกแล้ว”
“ไม่! ข้าไม่มีความสามารถที่จะล้างแค้น แต่ข้าขอร้องท่านจอมพลให้ช่วยข้าได้” ถงเหลียนซีส่ายหน้า
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “น้องสาว ทำไมเจ้าโง่อย่างนี้ อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่เข้าใจ? ว่าคนที่ทำให้พี่ชายเจ้าตาย ก็ต้องเป็นคนที่ไม่อยากให้พี่ชายของเจ้าเปิดเผยตัวตนอยู่แล้ว”
“สมาคมวีรชน?” ถงเหลียนซีปาดน้ำตาแล้วจ้องนาง
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้า “ถ้าจะถามว่าพี่ชายเจ้าตายได้ยังไง เขาระเบิดเส้นชีพจรตัวเอง ไม่มีใครฆ่าเขา เขาฆ่าตัวตายเอง”
“เป็นไปไม่ได้ คนอยู่ดีๆ จะฆ่าตัวตายได้ยังไง!” ถงเหลียนซีตกใจ
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “เป็นไปได้ยังไงน่ะเหรอ? พี่ชายเจ้าตกอยู่ในมือตึกศาลาสัตยพรตก่อน แล้วตึกศาลาสัตยพรตก็ส่งต่อให้จวนแม่ทัพภาคตลาดผี ตอนที่หน่วยตรวจการขวามารับคนที่ตลาดผี พี่ชายเจ้าก็รู้ว่าไปครั้งนี้จะต้องไม่มีทางรอดชีวิตแน่นอน อาศัยแค่เรื่องบางอย่างที่เขาเคยทำ ถ้าตัวตนถูกเปิดโปงขึ้นมา ก็ไม่มีโอกาสรอดชีวิตแน่นอน เขาเลยต้องปลิดชีพตัวเองเพื่อช่วงชิงโอกาสรอดชีวิตให้เจ้าไงล่ะ เขาปลิดชีพตัวเองต่อหน้าคนของหน่วยตรวจการขวา ในที่เกิดเหตุมีพยานมากมายเห็นเองกับตา ประโยคสุดท้ายที่เขาทิ้งไว้ให้หน่วยตรวจการขวาก็คือ อย่าแตะต้องน้องสาวของข้า แน่นอน ถ้าเจ้าจะบอกว่าสมาคมวีรชนทำให้เขาตายก็ได้เหมือนกัน แต่สมาคมวีรชนถูกใครบงการอยู่ล่ะ ไม่มีทางที่จะเอาจะไม่รู้ ถ้าเบื้องบนไม่อนุญาต ต่อให้สมาคมวีรชนจะกล้าหาญกว่านี้อีกร้อยเท่า แต่ก็ไม่มีทางกล้าบีบบังคับให้พี่ชายของเจ้าทำเรื่องแบบนั้น ความแค้นของพี่ชายเจ้าไม่มีคู่แค้นที่เจาะจง เจ้าให้ใครล้างแค้นให้ล่ะ? สมาคมวีรชนก็ยังเป็นตำหนักสวรรค์ไม่ใช่เหรอ? ต่อให้เจ้ามีความสามารถที่จะโน้มน้าวลั่วหม่างได้ แต่ลั่วหม่างก็ไร้ความสามารถที่จะล้างแค้นให้เจ้า แล้วอีกอย่าง เจ้าให้ลั่วหม่างรู้ถึงตัวตนของเจ้าได้เหรอ? ถ้าเจ้าเอ่ยปากขอจริงๆ นอกจากลั่วหม่างจะไม่ล้างแค้นไม่ต้องแล้ว เกรงว่าลั่วหม่างคงจะเป็นคนแรกที่จะจัดการเจ้า เจ้าเลิกโง่ได้แล้ว หาโอกาสเหมาะหนีไปดีกว่า หนีไปให้ทันเวลา ข้าจะให้คนพาเจ้าไปอยู่ในสถานที่ปลอดภัยแน่นอน”
ถงเหลียนซีปาดน้ำตาอีกครั้ง ยังคงส่ายหน้า “ข้าไปไม่ได้”
“เจ้า…” อวิ๋นจือชิวกลอกตามองบน “เจ้าทิ้งลูกชายไม่ได้ใช่ไหม? เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับลูกชายเจ้า ไม่ว่ายังไงลั่วหม่างก็ไม่จำเป็นต้องแตะต้องลูกชายตัวเอง เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าไม่วางใจจริงๆ เจ้าก็พาลูกชายเจ้าไปด้วยก็ได้ ข้าจะให้พวกเจ้าสองแม่ลูกอยู่ด้วยกัน เป็นยังไง?”
ถงเหลียนซีฝืนยิ้มอย่างน่าเวทนา “ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของหวังเฟยแล้ว ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ท่านจอมพลมีความรักลึกซึ้งต่อข้า แค่นี้ข้าก็ทำผิดต่อท่านจอมพลแล้ว จะพาลูกชายของเขาไปด้วยได้ยังไง เรื่องบางเรื่องข้าอดทนมาตั้งหลายปี ก็เพื่อจะตอบแทนท่านจอมพล พอกลับไปครั้งนี้ ข้าก็จะบอกความจริงให้ท่านจอมพลรู้ ขอร้องไห้ท่านจอมพลช่วยข้า ถ้าท่านจอมพลต้องการจะฆ่าข้า เช่นนั้นก็ตามใจเขาเถอะ! ถือว่าค่าชำระหนี้คืนเขาแล้ว”
อวิ๋นจือชิวยกมือตบหน้าผากตัวเอง นั่งพิงระเบียงด้วยสีหน้าจนปัญญา รู้สึกปวดหัวมาก ในปีนั้นนางคือคนที่ใช้วิธีการบีบให้เจียงอีอีทำข้อตกลงกับนาง ในใจมีความรู้สึกผิด อยากจะพยายามสุดความสามารถเพื่อทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเจียงอีอี แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเมื่อเจอเจียงอวิ๋นแล้วบอกความจริงให้รู้แล้ว กลับกลายเป็นการทำร้ายเจียงอวิ๋น นางอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจยาว “น้องสาว แล้วข้าจะชี้แจงกับพี่ชายของเจ้าที่ตายไปแล้วยังไง?”
ถงเหลียนซีลุกขึ้นยืน หลังจากโค้งตัวให้อวิ๋นจือชิวค้างไว้นาน ก็หันตัวทำท่าจะเดินออกไป
“ช้าก่อน!” จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็ลุกขึ้นตะโกนเรียกนาง
ถงเหลียนซีน้ำตาคลอ “หวังเฟย ข้าไม่อาจพาลูกชายของท่านจอมพลไปด้วย ไม่อยากทำผิดต่อท่านจอมพลอีกแล้ว! ถ้าทั้งล้างแค้นให้พี่ชายไม่ได้ ทั้งต้องทำผิดต่อท่านจอมพลกับลูกชายของข้า ถ้าเป็นแบบนี้ ข้าแอบหนีไปใช้ชีวิตคนเดียวแล้วจะมีความหมายอะไร? ท่านไม่ต้องเกลี่ยกล่อมแล้ว ข้าตัดสินใจแน่วแน่ๆแล้ว!”
“เจ้าวางใจเถอะ ข้าไม่เกลี้ยกล่อมเจ้าอีกแล้ว แต่ข้าใช้ความพยายามมากมายกว่าจะทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับพี่ชายเจ้าได้ ผลปรากฏว่าเจ้าบอกว่าจะไม่ไปคำเดียวก็จบแล้ว นอกจากพี่ชายของเจ้าจะติดค้างน้ำใจข้าเเล้ว เจ้าไม่รู้สึกว่าเจ้าติดค้างอะไรข้าเหรอ? อย่าบอกนะว่าเจ้าจะไม่ตอบแทนน้ำใจก่อนที่จะจบเรื่องนี้?” อวิ๋นจือชิวถาม
“หวังเฟยต้องการอะไร?” ถงเหลียนซีถาม
“ข้าต้องการให้เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง เจ้าไม่ต้องห่วง ข้าไม่ไปขัดขวางเรื่องที่เจ้าจะทำแน่นอน” อวิ๋นจือชิวกล่าว
“หวังเฟยบอกมาได้เลย ขอเพียงข้าทำได้ ข้าไม่ปฏิเสธแน่นอน!” ถงเหลียนซีบอกนาง
“เจ้าทำได้แน่นอน!” อวิ๋นจือชิวกล่าวอย่างแน่วแน่ “เจ้าบอกความจริงกับจอมพลลั่วได้เลย แต่ข้ามีคำขอหนึ่งอย่าง เจ้าจะต้องเชิญจอมพลลั่วมาบ้านข้าให้ได้ ต้องอยู่ต่อหน้าท่านอ๋องถึงจะพูดความจริงได้!”
ก็อย่างที่บอก เรื่องในปีนั้นทำให้นางรู้สึกผิดอยู่ในใจ นางยังอยากพยายามสุดความสามารถเพื่อปกป้องอีกฝ่าย ตราบใดที่ลั่วหม่างกับภรรยามาที่จวนท่านอ๋อง ต่อให้ลั่วหม่างจะรู้แล้วว่าถงเหลียนซีเป็นสายลับ แต่ก็จะสังหารตามใจตัวเองไม่ได้ นางสามารถโน้มน้าวให้เหมียวอี้ห้ามได้ทุกเมื่อ แบบนั้นจะยังสามารถปกป้องชีวิตถงเหลียนซีไว้ได้
ถงเหลียนซีเข้าใจเจตนาของนางในชั่วพริบตาเดียว ซาบซึ้งจนน้ำตาไหล นึกไม่ถึงว่าพี่ชายจะมีสหายที่จริงใจขนาดนี้ได้ นางส่ายหน้า “เหนียงเหนียง ไม่คุ้มที่จะทำเพื่อข้าหรอก!”
อวิ๋นจือชิวจึงบอกนางว่า “เอาไปคิดดูให้ดี อาศัยให้ลั่วหม่างคนเดียวช่วยเจ้าล้างแค้น ความสามารถอาจมีจำกัด แต่ถ้ามีท่านอ๋องของข้าเข้าร่วมด้วยล่ะ? ตอนข้าอยู่ต่อหน้าท่านอ๋อง คำพูดของข้ามีน้ำหนักอยู่บ้าง และอิทธิพลคำพูดท่านอ๋องของข้า คาดว่าจอมพลลั่วก็ต้องชั่งน้ำเช่นกัน ดีกว่าให้เจ้าไปขอร้องคนเดียว ขอเพียงเจ้ารับปากเงื่อนไขนี้ ข้าก็รับประกันกับเจ้าได้ ว่าข้าจะพยายามโน้มน้าวให้ท่านอ๋องช่วยเจ้า น้องสาว เจ้าจะโหดร้ายกับลูกชายเจ้าอย่างนั้นไม่ได้นะ ถ้าวันไหนเขารู้ว่าพ่อฆ่าแม่แม่ตัวเอง ผลที่ตามมาจะเป็นยังไงล่ะ?”
เมื่อเผชิญกับการกดดันอย่างต่อเนื่องจากอวิ๋นจือชิว ถงเหลียนซีก็แทบจะไม่เหลือทางเลือกแล้ว
สุดท้ายถงเหลียนซีก็พยักหน้า นับว่ารับปากแล้ว
แต่อวิ๋นจือชิวไม่วางใจ “ข้าเกลียดที่สุดเวลาโดนคนอื่นปั่นหัว ถ้าเจ้าหลอกข้า ข้าก็รับประกันได้เลย ถ้าเจ้าตายด้วยน้ำมือลั่วหม่าง ข้าจะบอกให้ลูกชายเจ้ารู้ความจริงแน่นอน ให้พวกเขาสองพ่อลูกหันมาเป็นศัตรูกันเอง!”
ถงเหลียนซีส่ายหน้า มองนางพร้อมยิ้มทั้งน้ำตา โค้งตัวอีกครั้ง “ขอบคุณ!”
ในขณะนี้เอง เฟยหงก็ถ่ายทอดเสียงบอกอวิ๋นจือชิว : พี่สาว มีคนมาค่ะ
“มีคนมาแล้ว เจ้ารีบจัดการตัวเองสักหน่อย” อวิ๋นจือชิวกระซิบบอกถงเหลียนซี จากนั้นก็เดินก้าวยาวออกจากศาลาไป ไม่ยอมให้ใครเห็น
หลังจากเจอกับพวกเฟยหงแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ใช้นิ้วเรียวลูบศีรษะตัวเอง นับว่าโล่งใจแล้ว จากนั้นก็หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที บอกเหมียวอี้ว่ายืนยันได้แล้วว่าถงเหลียนซีคือเจียงอวิ๋น และเล่าสถานการณ์ให้ฟังด้วย
ตึกศาลาที่อยู่ภายใต้การปกคลุมของหมอกฝน เหมียวอี้ที่กำลังเดินเนิบนาบเก็บระฆังดารา แล้วก็ก้าวยาวหันตัวกลับมา “ให้เหยียนซิวนำตัวจางผิงมาเจอข้าที่ห้องหนังสือ”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงที่เดินตามหลังเอ่ยรับ
…………