สำหรับเฮยทั่นแล้ว เหมียวอี้จะได้เป็นอ๋องสวรรค์เร็วขนาดนั้นได้อย่างไร รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าตาเฒ่าคนนี้มีปัญหา กำลังหลอกลวงตนอยู่
เรียกได้ว่าไม่พูดพร่ำทำเพลง ปล่อยหมัดใส่หน้าฝูชิงอย่างแรงทันที พอคุยกันไม่รู้เรื่องก็ลงมือแล้ว
ลงมือกะทันหันในระยะใกล้ขนาดนี้ แบบนี้ต่างอะไรกับการลอบโจมตีล่ะ? ฝูชิงตกใจทันที นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะให้เขามารับคนสาระเลวแบบนี้ เขาเองก็ไม่ใช่คนที่จะนั่งรอความตาย โบกหมัดโจมตีกลับไปเหมือนกัน
ชั่วพริบตาที่หมัดชนกัน ฝูชิงก็แอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว เสียงระเบิดดังบึ้ม ที่แขนมีเสียงกระดูกหักดังกร๊อบ “อั้ก” กระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง สะเทือนจนตัวกระเด็นออกไป
คนกระเด็นออกไปหลายลี้ ถึงได้หยุดอยู่กลางอวกาศ
ในดวงตาฝูชิงเต็มไปด้วยความหวาดระแวงสงสัย ร่างเดิมของเขาคือวานรยักษ์หลังเขียวสายเลือดโบราณ ฝึกตนมาจนถึงทุกวันนี้ สายเลือดถูกกระตุ้น แม้วรยุทธ์จะไม่สูงมาก แต่พลังก้าวหน้าเร็วมาก กระดูกแข็งแรงทนทานดุจเหล็ก กายเนื้อทนทานการโจมตี ในด้านพละกำลังก็เชี่ยวชาญเป็นพิเศษ แม้จะมีเพียงวรยุทธ์บงกชกลายขั้นสาม แต่ถ้าใช้กำลังปะทะกันตรงๆ ก็สู้กับนักพรตที่ระดับสำแดงฤทธิ์ลงมาได้หมด แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกหมัดของอีกฝ่ายทำให้แขนหัก อีกฝ่ายใช้หมัดเดียวก็ทำให้ตนบาดเจ็บสาหัส
ถ้าอีกฝ่ายวรยุทธ์สูงมากก็ว่าไปอย่าง แต่ดูจากสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วของอีกฝ่าย ก็เห็นได้ชัดว่ามีพลังแค่ระดับบงกชกลายขั้นห้า เทียบกับเขาแล้วสูงกว่าสองขั้นเท่านั้น ตามหลักแล้ว ตอนนี้สายเลือดที่มีพรสวรรค์ของเขาถูกกระตุ้นแล้ว ถ้าใช้กำลังปะทะกันตรงๆ อีกฝ่ายก็ไม่น่าจะสู้เขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่าจะโจมตีจนเขาบาดเจ็บ ทว่าเขาตระหนักได้อย่างชัดเจน ว่าเจ้าหนุ่มวรยุทธ์บงกชกลายขั้นห้าคนนี้ พอปล่อยหมัดออกมาครั้งเดียว อานุภาพการโจมตีก็น่าตกใจมาก ไม่ด้อยกว่านักพรตระดับระดับสำแดงฤทธิ์เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นนักพรตประเภทที่มีพรสวรรค์ด้านพละกำลัง เหมือนพรสวรรค์นี้จะเหนือกว่าเขาด้วย
พอเอาชนะศัตรูได้ด้วยหมัดเดียว เฮยทั่นก็ตื่นเต้นไม่หยุด จิตวิญญาณนักสู้เพิ่มขึ้นหลายเท่า หัวเราะเสียงดังแล้วบอกว่า “โจรเฒ่าเอ๊ย ยังไม่ยอมให้จับแต่โดยดีอีก!” ปากก็พูดอย่างนี้ แต่ท่าทางตอนพุ่งเข้ามาก็ชัดเจนมากว่าจะโจมตีต่อ เขาเตรียมจะจัดการฝูชิงแล้วเอาไปขอรางวัลกับเหมียวอี้
ทว่าพอพุ่งมาได้ครึ่งทางก็งงเป็นไก่ตาแตก เบิกตาโพลงและหยุดอย่างกะทันหัน
พอฝูชิงโบกมือ ฝั่งซ้ายและฝั่งขวาก็ปรากฏกำลังพลนับหมื่น ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์นับพันเล็งไปที่เฮยทั่นแล้ว ในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่เป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นหก
กำลังพลทัพอารักขาของเหมียวอี้ย่อมฝีมือไม่แย่อยู่แล้ว
“ไอ้แก่นี่ ยังมียางอายอยู่ไหม?” เฮยทั่นที่สีหน้าบิดเบี้ยวร้องโวยวาย กำลังจะสื่อว่าพวกเยอะกว่าแล้วเก่งตรงไห
“ถุย!” ฝูชิงถ่มน้ำลายปนเลือด เกิดอารมณ์ชั่ววูบจะสั่งให้ล้อมโจมตรี แต่พอนึกขึ้นได้ว่าเป็นคนที่เหมียวอี้สั่งให้ตนมารับ เขาก็ยังข่มใจไว้ มือข้างหนึ่งหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ ถามว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
ผ่านไปคู่เดียว เฮยทั่นก็ได้รับการติดต่อจากเหมียวอี้ผ่านระฆังดาราเช่นกัน ทำหน้าไม่ถูกกันที หลังจากเก็บระฆังดาราแล้วก็ชูสองมือ ทำสีหน้าเหมือนไร้ความผิดพร้อมบอกว่า “ฝูชิง เข้าใจผิดไง!”
“มัดเลย!” ฝูชิงตะคอก
ทหารจำนวนมากพุ่งเข้าไปทันที เชือกมัดเซียนขั้นหกสองเส้น เชือกมัดเซียนขั้นห้าสิบกว่าเส้น มัดเฮยทั่นเอาไว้จนเหมือนบ๊ะจ่าง แล้วหิ้วกลับมาโยนไว้ตรงเท้าฝูชิง
ตุ้บๆๆ! ฝูชิงที่กำลังยัดสมุนไพรเซียนเข้าปากเตะเขาอย่างแรงหลายที เหมียวอี้สั่งให้ซ้อมแล้วพากลับมา ไม่ซ้อมจนตายก็พอแล้ว
“ฝูชิง เข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดจริงๆ!” เฮยทั่นครวญคราง นึกไม่ถึงว่าพอออกจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็เจอเรื่องซวยแบบนี้เลย
ฝูชิงมีหรือจะสนใจว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า นอกจากเตะระบายความโกรธไปหลายทีแล้ว ตอนหลังก็เก็บเขาไว้โดยตรง หลังจากเก็บกำลังพลแล้ว ก็เหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว
อาณาเขตทัพใต้ จวนอ๋องสวรรค์ บนตึกศาลาสูงตระหง่าน เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกำลังเดินอยู่ด้วยกัน เห็นฝูชิงเดินเข้ามานะจวนท่านอ๋องแล้ว
อวิ๋นจือชิวกล่าวกับเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ข้างๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เจอกันหลายปี ต้องโทษที่ยังคิดถึงเจ้าเด็กดำนั่น ก็แค่ซุกซนไปหน่อย ที่จริงแล้วนิสัยดีใช้ได้เลย” ขณะที่พูดก็ปรายตามองเหมียวอี้ที่หน้าดำคร่ำเครียด สงสัยจะช่วยพูดให้เฮยทั่น
นางรู้สถานการณ์แล้วเช่นกัน เดิมทีให้ฝูชิงพาตัวเฮยทั่นกลับมาเงียบๆ ผลปรากฏว่าเจ้าเวรตะไลเฮยทั่นลงมือกะทันหัน ทำเอาฝูชิงต้องใช้กำลังพลปกป้องตัวเอง ถึงขนาดทำให้ทหารยามที่เฝ้าตรงทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์เห็นแล้ว แบบนี้เรียกว่าไปรับมาเงียบๆ เสียที่ไหนกัน พอออกมาก็ก่อเรื่องเลย เหมียวอี้โมโหแล้ว
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้าเม้มปากหัวเราะพร้อมกัน
สองหมื่นกว่าปีก่อน ตอนที่เฮยทั่นกลายร่างเป็นมนุษย์ครั้งแรก เพื่อหลบการล้อมปราบวิญญาณชั่วร้ายของตำหนักสวรรค์ เหมียวอี้พาเฮยทั่นกับเทพสตรีผู้พิทักษ์ออกมาแล้วรอบหนึ่ง ดังนั้นพวกนางถึงเคยเห็นเฮยทั่นแล้ว
ผ่านไปครู่เดียว หยางเจาชิงก็นำฝูชิงขึ้นมาบนตึกศาลา
ฝูชิงโยนเฮยทั่นที่โดนมัดเหมือนบ๊ะจ่างออกมา แล้วกุมหมัดคารวะ “คารวะท่านอ๋อง คารวะหวังเฟยเหนียงเหนียง”
เดินมาถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้แล้ว คำเรียก ‘เจ้าห้า’ กับ ‘น้องห้า’ ไม่ถูกเอ่ยถึงอีก แค่ทำเหมือนกับเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ถ้ายังจดจำเรื่องพี่น้องร่วมสาบานในอดีตอีก แบบนั้นก็แปลว่าไม่รู้กาลเทศะแล้ว
ท่านอ๋อง? หวังเฟย? เฮยทั่นที่นอนอยู่บนพื้นกลอกตามองทั้งสอง จากนั้นในดวงตาก็ฉายแววตื่นตระหนกตกใจ
เห็นเพียงเหมียวอี้เดินมาตรงหน้าเขาอย่างช้าๆ แล้วยกเท้าเตะอย่างบ้าคลั่งยกหนึ่ง เตะจนเฮยทั่นร้องโอดโอย “ฮูหยิน ช่วยข้าด้วย เหนียงเหนียง ช่วยข้าด้วย!”
การซ้อมยกนี้ เหมียวอี้ทั้งโมโหทั้งซ้อมให้ฝูชิงดูด้วย
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง อวิ๋นจือชิวทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าเหมียวอี้ลงมือโหดเหี้ยมเกินไปหน่อย เริ่มปวดใจแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นสัตว์พาหนะที่ติดตามเหมียวอี้มาตั้งแต่ตอนก้าวเข้าแดนฝึกตน ในปีก่อนๆ เฮยทั่นก็มักแสดงนางวิ่งฝ่าลมเหมือนกัน ช่วงเวลาที่เหมียวอี้ไม่อยู่ข้างกาย นางก็เลี้ยงอาชามังกรที่นอนหลับตรงประตูเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวน้อยตัวหนึ่ง จะปล่อยให้ตีไม่หยุดอย่างนี้ได้อย่างไร จึงบอกทันทีว่า “นิสัยเขาก็ดื้อรั้นอย่างนี้แหละ สั่งสอนแล้วก็พอได้แล้ว”
แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว มันกลับไม่ใช่อย่างนั้นเลย เขารู้จักสันดานเฮยทั่นดีที่สุด เจ้าเวรตะไลนี่มันคันหนัง ถ้าไม่ให้บทเรียนยาวๆ กับเขา ก็ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องอะไรอีก ต้องตีให้เจ็บถึงจะจำไปยาวๆ
อวิ๋นจือชิวมองไปที่ฝูชิงทันที “พี่รอง คนคนนี้เจ้าก็รู้จัก อาชามังกรของท่านอ๋องตอนอยู่พิภพเล็ก เฮยทั่นไง!”
เฮยทั่น? ฝูชิงอึ้งทันที แล้วก็ตกใจเอง เฮยทั่นกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วหรือ มีพลังแข็งแกร่งขนาดนี้เชียวหรือ?
จากนั้นก็เข้าใจคำพูดของอวิ๋นจือชิวทันที นางต้องการให้ตนช่วยพูด จึงก้าวเข้าไปขวางและกุมหมัดคารวะเหมียวอี้ทันที “ท่านอ๋อง เข้าใจผิดแล้ว ที่จริงแล้วเป็นความเข้าใจผิด”
เหมียวอี้ชี้ด่าเฮยทั่นที่ร้องคราง “ชอบโดนตีนักไม่ใช่เหรอ? ถ้าครั้งหน้าพาลเกเรอีก ข้าจะสับกรงเล็บเจ้าซะ”
“ไม่กล้าแล้ว” เฮยทั่นร้องไห้จนคัดจมูก โดนซ้อมจนหน้าเขียวเลือดออกปากออกจมูก
ฝูชิงหันตัวมาคลายมัดให้เขาทันที จากนั้นก็กล่าวขอตัว “ท่านอ๋อง เหนียงเหนียง ถ้าไม่มีอะไรกำชับแล้ว ข้าน้อยขอตัวก่อน”
“พี่รอง ในเมื่อมาแล้ว ไปอยู่หลายๆ วันก่อนแล้วค่อยไปสิ” อวิ๋นจือชิวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ฝูชิงบอกว่า “ยังมีงานต้องทำอีกไม่น้อยขอรับ” ถือว่าปฏิเสธแล้ว คนระดับเขาสามารถเข้าออกจวนท่านอ๋องได้ก็นับว่าอยู่สูงกว่าคนอื่นแล้ว ถ้าอยู่เล่นที่นี่โดยไม่มีธุระอะไรก็จะเกินไปหน่อย
“รบกวนแล้ว” เหมียวอี้ยกมือบอกใบ้ หยางเจาชิงยื่นมือเชิญทันที ออกไปส่งฝูชิงด้วยตัวเอง
เฮยทั่นยังขดตัวอยู่บนพื้น ไม่กล้าขยับไปไหน
อวิ๋นจือชิวเดินเข้าไปนั่งยองๆ ข้างกายเขา ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากเขาพลางตำหนิว่า “ตีได้ดี! ใครใช้ให้เจ้าคุยไม่ถูกคอก็ลงมือเลย ยังไม่ถามเรื่องราวให้กระจ่างก็ลงมือแล้ว โชคดีนะที่เจอคนของตัวเอง ถ้าเป็นคนอื่น มีหรือที่จะเกรงใจเจ้าแบบนี้? แกล้งตายทำไม ลุกขึ้นมา!”
เฮยทั่นลุกขึ้นยืน ไปหลบอยู่ข้างหลังอวิ๋นจือชิวด้วยท่าทางอ่อนปวกเปียก เหมือนซ่อนข้างหลังนางเพื่อหลบสายตาเหมียวอี้
เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์แอบหัวเราะ ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเฮยทั่นโดนซ้อม ในปีนั้นตอนอยู่พิภพเล็กก็เห็นฉากนี้บ่อยๆ
“พอแล้ว เลิกโมโหได้แล้ว” อวิ๋นจือชิวผลักไหล่เหมียวอี้
เหมียวอี้ยื่นมือผลักนางไปอีกด้าน แล้วจ้องเฮยทั่น “เอาของมาแล้วหรือยัง?”
เฮยทั่นพยักหน้าซ้ำๆ ใช้สองมือหยิบกำไลเก็บสมบัติหลายวงมอบให้ “ของในหินหนืดที่หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญถูกวิญญาณอัคคีพวกนั้นสอยมาหมดแล้ว ทั้งหมดอยู่ในนี้”
สาเหตุที่ครั้งนี้เขาออกมาได้ เป็นเพราะเวลาว่างๆ เขามักใช้ระฆังดาราติดต่อขอร้องอวิ๋นจือชิว นางเองก็รู้สึกว่าการที่เขาถูกขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์นานขนาดนั้นน่าสงสาร จึงช่วยพูดให้เขาสักหน่อย คำพูดของนางมีอิทธิพลต่อเหมียวอี้พอสมควร สาเหตุรองเป็นเพราะสมบัติที่อยู่ในหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ เมื่อมีโอกาสเหมาะแล้ว เหมียวอี้ก็ย่อมต้องเอาออกมา จะได้ไม่มีคนอื่นมาชุบมือเปิบ เขาเตรียมนำสมบัติชุดนี้ไว้เลี้ยงกำลังพลในแดนอเวจี
เหมียวอี้เอียงหน้าบอกใบ้อวิ๋นจือชิว เรื่องนี้ส่งให้อวิ๋นจือชิวไปจัดการแล้ว
อวิ๋นจือชิวตรวจดูของในกำไลเก็บสมบัติคร่าวๆ นางตาลุกวาวและเดาะลิ้นไม่หยุด จากนั้นก็บอกเฮยทั่นว่า “ยังโดนซ้อมไม่พอใช่ไหม? ไปกับข้า อย่าอยู่ตรงนี้ให้ขัดหูขัดตาคน”
เฮยทั่นปวดหัวทันที หลบสายตาเหมียวอี้ แล้วรีบวิ่งตามหลังนางออกไป
ผ่านไปไม่นาน ที่ชั้นล่างของตึกศาลา มีเสียงประจบสอพลอของเฮยทั่นดังขึ้น “ฮูหยิน ท่านกลายเป็นหวังเฟยได้ยังไงเนี่ย?”
“ทำไมล่ะ? เจ้ารู้สึกว่าข้าไม่คู่ควรเหรอ?”
“ที่ไหนกันล่ะ ข้าก็สงสัยว่าทำไมรู้สึกว่าฮูหยินสวยขึ้น ที่แท้ก็เพราะเป็นหวังเฟยแล้วนี่เอง”
อวิ๋นจือชิวหัวเราะคิกคักไม่หยุด “งั้นก็แปลว่า ถ้าข้าไม่ใช่หวังเฟยก็ไม่สวยน่ะสิ? ถ้าประจบไม่เป็นก็อย่าประจบเลย”
“เปล่านะๆ ฮูหยินเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในใต้หล้ามาโดยตลอด ถ้าใครกล้าบอกว่าตัวเองสวยกว่าฮูหยิน ข้าจะสับนางให้เละเป็นเนื้อทันที ไม่ได้พูดจะจบจริงๆ นะ ข้าพูดจริงทำจริง!”
“เหอะๆ!” เสียงหัวเราะของเชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ดังขึ้น
“เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ พวกเจ้าก็สวยขึ้นทุกวันเหมือนกัน นอกจากฮูหยินแล้ว ก็มีพวกเจ้าสองคนนี่แหละที่สวยที่สุด”
เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ด้านบนได้ยินชัดเจน สีหน้าบูดบึ้งเล็กน้อย คิดในใจว่าหน้าด้านยิ่งกว่าสวีถังหรานเสียอีก
หยางเจาชิงที่ออกไปส่งฝูชิงเรียบร้อยแล้วกลับมาบนตึกศาลา พอเห็นเหมียวอี้หน้าตึง ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านอ๋อง ครั้งนี้ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ เฮยทั่นโดนขังอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์หลายปีขนาดนี้ ไม่รู้เรื่องทางฝั่งนี้จริงๆ พอให้อภัยได้ขอรับ”
“ถ้ากังวลเรื่องนิสัยของเจ้าเวรนี่ เขาจะออกไปสร้างความขัดแย้งข้างนอกได้ง่ายๆ ถ้าไม่ใช่เพราะหวังเฟยขอร้องอยู่ข้างหูข้าตลอด ทางที่ดีที่สุดคือให้เขาอยู่ฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ต่อไป” เหมียวอี้พูดแล้วก็หยุด ชี้ลงไปด้านล่าง “เจ้าดูสิ เจ้าดู เขานิสัยเสียเพราะผู้หญิงพวกนี้ให้ท้ายทั้งนั้น!”
หยางเจาชิงมองลงไปข้างล่าง เห็นเพียงเฮยทั่นทำตัวเหมือนเป็นเด็กน้อยขี้สงสัย เดินเพ่นพ่านไปทั่วทั้งจวนท่านอ๋องอันกว้างใหญ่ หวังเฟยดันนำเชียนเอ๋อร์กับเสวี่ยเอ๋อร์เดินเป็นเพื่อนเขาด้วยตัวเอง พูดคุยยิ้มแย้มกันตลอดทาง เขาอดไม่ได้ที่จะใส่หน้าเช่นกัน “เหนียงเหนียงเป็นคนที่รู้จักควบคุมระดับให้พอดี ถ้าให้เฮยทั่นไปทางทิศตะวันออก เขาก็ไม่กล้าไปทางทิศตะวันตกหรอก เขาเชื่อฟังเหนียงเหนียงที่สุด เหนียงเหนียงมีวิธีการควบคุมเฮยทั่นอยู่แล้ว บางทีอาจได้ผลกว่าการใช้หมัดใช้เท้าของท่านอ๋องก็ได้ มิหนำซ้ำก็มีท่านอ๋องคอยดูอยู่ น่าจะไม่เกิดเรื่องอะไรหรอกขอรับ ขอเพียงเหนียงเหนียงมีความสุขก็พอแล้ว…เรือนว่างในจวนนี้กำลังจะมีคนเข้ามาอยู่ไม่น้อยเลย ในใจเหนียงเหนียงรู้สึกขื่นขมจริงๆ ไม่มีผู้หญิงคนไหนเต็มใจจริงๆ หรอกขอรับ กับบางเรื่องท่านอ๋องแกล้งปิดตาข้างเดียวก็พอแล้ว”
เหมียวอี้เงียบไป จ้องเงาร่างของอวิ๋นจือชิวที่กำลังสนุกสนานอยู่กับเฮยทั่นในสวน พลางถอนหายใจเบาๆ “ข้าก็หวังว่านางจะมีความสุขสำราญใจไปทั้งชีวิต เพียงแต่เมื่อเดินมาถึงวันนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องก็ทำได้เพียงปฏิบัติต่อนางอย่างไม่เป็นธรรม…”
……………