“…” เหมียวอี้มองนางอย่างตะลึงงัน ราวกับเห็นลวดลายอะไรบนใบหน้านาง
นึกออกแล้ว นึกออกแล้วจริงๆ เหตุการณ์คืนนั้นยากจะลืมเลือน ตอนนั้นเขาเพิ่งมาที่พิภพใหญ่ได้ไม่นาน เห็นกับตาว่าโลกมนุษย์เกิดไฟสงคราม แตกต่างกับพิภพเล็กโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะฉากที่หมาป่าหิวโหยไล่กัดคนก็ยิ่งทำให้เขาจดจำฝังใจ เขาราวกับได้ย้อนกลับไปในคืนนั้นอีกครั้ง นี่คือเสียงขลุ่ยที่ทำให้เขาทอดสายตามองดาวบนท้องฟ้าคืนนั้น
อวิ๋นจือชิวมาปรากฏตัวอยู่บนสะพานทางเดินตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ด้านนอกฝนตกแล้ว ไม่สะดวกจะเดินเล่นอีก พอกลับมาแล้วเห็นผู้หญิงสวยคนหนึ่งเดินเล่นอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ทั้งยังเป็นคนที่ตนไม่รู้จักด้วย ก็อดไม่ได้ที่จะมาดูสักหน่อย ค่อยๆ เดินมายืนอยู่ตรงจุดที่ไม่ไกลจากทั้งสอง ได้ยินสิ่งที่ผู่หลันพูดเมื่อครู่นี้ชัดเจนแล้วเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะอมยิ้มในใจ ในปีนั้นหนิวเอ้อร์เป็นคนเลือดร้อนที่ทำเรื่องแบบนั้นจริงๆ ต่อให้เป็นตอนนี้ก็ตาม ถ้าไม่มีเงื่อนไขอื่นควบคุมไว้ ก็ไม่มีทางเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วยเหลือ นี่ก็คือหนิวเอ้อร์
“นี่…ท่านคือฮูหยินน้อยคนนั้นเหรอ?” ในดวงตาเหมียวอี้เต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ สาวงามตรงหน้าไม่เหมือนสตรีวัยกลางคนที่สกปรกมอมแมมคนนั้นเลย
ผู่หลันยิ้มอย่างสดใส “หนีพ้นความทุกข์ยากมาได้ ทหารก่อความวุ่นวายไม่หยุด ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงมากมายเท่าไหร่ที่ประสบหายนะเพราะทหาร ถ้าไม่ทำตัวเองให้ดูสกปรกเสียหน่อย เกรงว่าคงไม่รอดมาถึงทุกวันนี้ ท่านอ๋องจำไม่ได้ก็ไม่แปลก” สายตานั่งมองไปทางอวิ๋นจือชิวที่เดินเข้ามาข้างหลังเหมียวอี้
เพี้ยะ! เหมียวอี้ยกมือตบหน้าผาก “พอพูดแบบนี้ ข้าก็ติดหนี้น้ำใจพระชายาเหลียงจริงๆ ไม่รู้ว่าพระชายาเหลียงยังอยู่หรือเปล่า?” จะเห็นได้ว่าจำได้แล้วจริงๆ
“ตัวเองจำไม่ได้ ยังมีหน้ามาพูดอีก” อวิ๋นจือชิวเดินมายืนข้างกายเหมียวอี้กล่าว ขณะเดียวกันก็พยักหน้าทักทายผู่หลัน
ผู่หลันมองหนังศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านนี้คงจะเป็นหวังเฟยเหนียงเหนียงสินะ”
“อืม…” เหมียวอี้แนะนำทั้งสองให้รู้จักกันทันที
จากนั้นผู่หลันก็บอกว่า “พระชายาเหลียงจากโลกนี้ไปนานแล้ว แต่ท่านอ๋องไม่ต้องห่วง น้ำใจส่วนนั้น อาตมาตอบแทนคืนให้แล้ว ช่วยให้เหลียงซื่อได้เป็นประมุขของแคว้นต้าเยี่ยนแล้ว”
“พอพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าท่านช่วยเหลือตัวท่านเอง ไม่ได้ติดค้างอะไรข้า” เหมียวอี้ยิ้มแห้ง
ผู่หลันส่ายหน้า “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋องช่วยชีวิต อาตมากับลูกชายก็อยู่ในท้องหมาป่าไปนานแล้ว ถ้าไม่ใช่ท่านอ๋องแนะนำช่องทางให้ไปหาพระชายาเหลียง อาตมากับลูกชายจะยืนหยัดอยู่ท่ามกลางสงครามอันวุ่นวายได้ยังไง?”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ สำหรับเขาแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ประเด็นคือได้คลายปริศนาเรื่องนี้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็เคลือบแคลงใจมาโดยตลอดว่าทำไมตอนนั้นนางถึงช่วยเขา
อวิ๋นจือชิวพูดต่อว่า “เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แล้วตอนหลังฆราวาสกลายมาเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของพุทธะจิ้งฮวาได้ยังไงคะ?”
ผู่หลันถอนหายใจ “สำหรับท่านอ๋องในตอนนั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ง่ายมากจริงๆ แต่สำหรับอาตมากับลูกชาย นั่นคือบุญคุณการช่วยชีวิตยามตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ความรู้สึกทุกข์ยากภายใต้สถานการณ์แบบนั้น คุณนอกยากจะเข้าใจได้ ส่วนเรื่องว่ากลายเป็นศิษย์คนสุดท้ายได้ยังไง คงเป็นเพราะความบังเอิญเท่านั้น พระอาจารย์แสงทองที่อยู่ข้างกายเหลียงอ๋องเป็นคนของแดนพุทธ ตอนที่อาตมาติดตามอยู่ข้างกายพระชายาเหลียง พระอาจารย์แสงทองเห็นว่าอาตมากับลูกชายมีพรสวรรค์ด้านการฝึกตน จึงแนะนำให้อาตมากับลูกชายเป็นลูกศิษย์ของพุทธะจิ้งฮวา”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า
ทั้งสามเดินอยู่ระหว่างตึกศาลาพักหนึ่ง ผู่หลันไม่อยากอยู่ที่นี่นาน ยังต้องไปแจกบัตรเชิญให้ฝ่ายอื่นอีก แต่ก่อนจะไปก็ยังเตือนว่า “แดนสุขาวดีสามารถดูการต่อสู้ของทัพใต้ฝั่งตำหนักสวรรค์เฉยๆได้ ทว่าการต่อสู้ของทัพใต้ส่งผลกระทบต่อการเก็บรวบรวมความปรารถนาร้ายไม่น้อย ท่านอ๋องต้องรีบชดเชยโดยเร็ว ถ้าสิ่งนี้ได้รับผลกระทบไปด้วย เกรงว่าประมุขพุทธะคงไม่นิ่งดูดาย ถ้าประมุขพุทธะกับประมุขชิงร่วมมือกันกดดันขึ้นมา เกรงว่าสถานการณ์คงจะไม่ดีต่อท่านอ๋อง”
เรื่องนี้เหมียวอี้ย่อมรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ยังอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ประมุขชิงช่วยเขาหลิงซานเก็บรวบรวมความปรารถนาร้ายมากขนาดนั้นไปทำอะไรกันแน่?”
“รายละเอียดอาตมาไม่รู้ชัดเจน ได้ยินว่าประมุขปีศาจที่อยู่ในเจดีย์สยบปีศาจยังมีชีวิตอยู่ เหมือนจะนำมาใช้ควบคุมประมุขปีศาจ” ผู่หลันตอบ
อวิ๋นจือชิวประหลาดใจ “ใช้ความปรารถนาร้ายมาควบคุมประมุขปีศาจเหรอ? ประมุขปีศาจแค่คนเดียวจำเป็นต้องใช้ความปรารถนาร้ายจากทางใต้หล้ามาควบคุมเลยเหรอ? ทำไมข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มันผิดปกติล่ะ” นางเคยถามเรื่องนี้กับซูอวิ้นเหมือนกัน แต่ซูอวิ้นก็ไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของประมุขชิงกับประมุขพุทธะเหมือนกัน คำตอบที่ได้ไม่ค่อยต่างจากผู่หลัน
ผู่หลันส่ายหน้า “สถานการณ์โดยละเอียด อาตมาก็ไม่รู้จริงๆ แม้แต่อาจารย์พุทธะจิ้งฮวาก็ยังไม่รู้ชัดเจน เรื่องจริงโดยละเอียด คงมีเพียงผู้ริเริ่มอย่างประมุขชิงกับประมุขพุทธะที่รู้อยู่แก่ใจ”
เหมียวอี้ขมวดคิ้วโดยไม่พูดอะไร
หลังจากผู่หลันกล่าวอำลาจากไปแล้ว เหมียวอี้ก็ยังคุณคิดเรื่องนี้อยู่ คิดไปคิดมาก็ยังให้หยางเจาชิงออกคำสั่งลงไป ว่าให้รีบเก็บรวบรวมความปรารถนาร้าย
หลังจากผู่หลันออกไปได้สามวัน เว่ยซูก็มาแล้ว
เป็นอย่างที่สั่งมีค่าตัวไว้ เฉาหม่านไม่มาด้วยตัวเองอีก แล้วไม่ได้ทำตามกำหนดเวลาสองวันที่บอกไว้ด้วย ฝั่งนี้ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะมาเมื่อไหร่
ละอองฝนที่โปรยลงมาเป็นพักๆ ทำให้ชายคามีเสียงน้ำหยด แสงแดดที่หักเหอยู่ในหยดน้ำฝนใสดุจอัญมณีส่องสะท้อนโลกที่อยู่โดยรอบ เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังพิงระเบียงของตึกศาลา สีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ เหยียนซิวยืนเงียบอยู่ข้างๆ
หยางเจาชิงสีหน้าตึงเครียด ท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“มากันกี่คน?” เหมียวอี้มองละอองฝนขมุกขมัวด้านนอกพลางเอ่ยถาม
“ข้างกายมีคนมาด้วยสิบคน ตอนนี้ยังถูกกักค้นตัวอยู่นอกประตูดวงดาว ยังไม่ทราบรายละเอียดมากันกี่คน คาดว่าคนที่มาที่นี่โดยตรงคงมีไม่เยอะ แต่ด้านนอกต้องมีกำลังพลคอยสนับสนุนแน่ ภายในของพวกเราก็คงมีสายลับของตระกูลเซี่ยโห้วเช่นกัน ถ้าเลยกำหนดเวลาแล้วเว่ยซูไม่ตอบกลับ หรือมีการต่อสู้ดังเกินไป ตระกูลเซี่ยโห้วคงไหวตัวทันทีแน่นอน ท่านอ๋องโปรดไตร่ตรองอีกที!” หยางเจาชิงกล่าว
“ฝั่งพวกเราเตรียมตัวพร้อมแล้วหรือยัง?” เหมียวอี้เอ่ยถามอย่างใจเย็น
หยางเจาชิงแอบถอนหายใจ สงสัยท่านอ๋องจะตัดสินใจแน่วแน่แล้วจริงๆ พยักหน้าตอบว่า “อาศัยการระดมพลช่วงนี้ แอบซ่อนกำลังพลไว้สิบล้านแล้ว ควบคุมการติดต่อกับภายนอกเอาไว้ทั้งหมด เตรียมพร้อมทุกเมื่อ กำลังพลส่วนหนึ่งมาถึงจุดที่กำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว สามารถลงมือได้ทุกเมื่อ!”
เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่นครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ “เชิญ!”
หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับอย่างลำบากใจ “ขอรับ!” แล้วหันตัวเดินออกไป
เหมียวอี้ค่อยๆ เอียงหน้ามองเหยียนซิวที่อยู่ด้านข้าง แล้วพยักหน้าเบาๆ
เหยียนซิวพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เรือนชั้นใน ในสวนของผังเสี้ยวเสี้ยว ในห้องที่กว้างใหญ่สบาย อวิ๋นจือชิว เฟยหง หลินผิงผิง เสวี่ยหลิงหลงและพวกกงหนีฉางกำลังพูดคุยหัวเราะอยู่ด้วยกัน
จู่ๆ ก็มีกำลังพลกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวเงียบๆ ควบคุมในสวนเอาไว้ สวีถังหรานนำกำลังพลมาด้วยตัวเอง
สวีถังหรานนำกำลังพลกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาในห้องนอนของผังเสี้ยวเสี้ยว ล้อมคนที่อยู่ในห้องนอนเอาไว้อย่างรวดเร็ว
กลุ่มคนที่อยู่ในห้องตกใจ ทยอยกันลุกขึ้น อวิ๋นจือชิวก็ยิ่งถลึงดวงตางามถามว่า “สวีถังหราน เจ้าไปกินน้ำดีหมีมาหรือไง? คิดจะทำอะไร?”
สวีถังหรานกุมหมัดขออภัย กล่าวด้วยรอยยิ้มขื่นขมว่า “เหนียงเหนียง! นี่คือประสงค์ของท่านอ๋อง ให้พวกเรามาคุ้มครองเหนียงเหนียงกับอนุภรรยา ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุไม่คาดคิด นอกจากนี้ คนที่อยู่ในส่วนนี้นอกจากหวังเฟยแล้ว คนอื่นก็ห้ามติดต่อกับโลกภายนอก ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกควบคุมเอาไว้ขอรับ”
เสวี่ยหลิงหลงมองสีหน้าอวิ๋นจือชิวแวบหนึ่ง แล้วแกล้งพูดเหมือนโมโห “สวีถังหราน นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
สวีถังหรานถอนหายใจ “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร ก็แค่ดำเนินการตามคำสั่งท่านอ๋อง ท่านอ๋องบอกไว้แล้ว ว่าถ้ามีช่องโหว่อะไร ข้าก็จะโดนตัดหัว รบกวนทุกท่านช่วยให้ความร่วมมือด้วย”
อวิ๋นจือชิวที่สีหน้าเย็นเยียบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที ยังติดต่อได้อยู่ แต่กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรที่เป็นประโยชน์จากเหมียวอี้เลย เหมียวอี้บอกประโยคเดียวว่า ให้นางอยู่ที่นั่นแต่โดยดี ตอนนี้อย่าเพิ่งถามอะไรมาก หลังจากจบเรื่องแล้วจะอธิบายให้ฟังอีกที
อวิ๋นจือชิวรู้ทันทีว่ากำลังจะเกิดเรื่องแล้ว จึงเปลี่ยนระฆังดาราติดต่อไปถามคนอื่น ในขณะนี้เอง ทหารหลายคนที่สวมเกราะรบยื่นอาวุธออกมาพร้อมกัน มาจ่ออยู่ตรงหน้าอวิ๋นจือชิว
พวกผู้หญิงตกใจมาก ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าใช้อาวุธกับหวังเฟย อวิ๋นจือชิวตวาดว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร? คิดจะก่อกบฏเหรอ?”
สวีถังหรานประสานมือโค้งกายด้วยรอยยิ้มเจื่อนอีกครั้ง “เหนียงเหนียงอย่าโทษข้าน้อยเลย ท่านอ๋องบอกไว้แล้ว ว่าครั้งแรกที่เหนียงเหนียงติดต่อกับข้างนอกนั้นไม่ต้องห้าม แต่จากนั้นห้ามให้ติดต่อกับใครที่อยู่ภายนอกอีก…เหนียงเหนียง คำสั่งทหารของท่านอ๋องไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ท่านอย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย ไม่อย่างนั้นพวกเราจะหัวขาดกันหมด”
“ไอ้สารเลว!” อวิ๋นจือชิวได้อย่างเครียดแค้น นับว่ามองออกแล้ว ว่าเหมียวอี้ให้โอกาสนางติดต่อกับเหมียวอี้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น จะได้ทำให้นางเบาใจ นางเดาว่าเหมียวอี้จะต้องทำเรื่องบางอย่างที่นางจะห้ามแน่นอน จึงไม่ให้นางติดต่อกับใครที่อยู่ภายนอกเลยเลย ไม่ให้นางสั่งใครให้มาห้าม
นางจินตนาการออกเลย ว่าเขาระมัดระวังตัวขนาดนี้ ถึงขนาดควบคุมพวกผู้หญิงของตัวเองไว้แล้ว ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กแน่นอน…
นอกจวนท่านอ๋อง พวกเว่ยซูมาถึงแล้ว ข้างกายมีผู้ติดตามสิบคน อีกฝ่ายรู้เช่นกันว่าต่อให้พาคนมาเยอะกว่านี้ก็เข้าจวนท่านอ๋องไม่ได้ เพียงแต่สิบคนนี้กลับตามติดไม่ห่างอยู่ข้างกายเว่ยซู
หยางเจาชิงรับคนเข้ามาทางประตูด้านข้างด้วยตัวเอง มุ่งตรงไปยังจุดสำคัญของเรือนชั้นใน
ในโถงหลัก เหมียวอี้ที่กำลังเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยหยุดฝีเท้า เอียงหน้ามองพวกเว่ยซูที่เดินเข้ามาแล้วเผยร้อยยิ้มเล็กน้อย
เว่ยซูที่เดินเข้ามาในโถงหลักดึงหน้ากากลงมา แล้วกุมหมัดคารว “คารวะท่านอ๋อง”
เหมียวอี้หันตัวมานั่งลง แล้วยื่นมือเชิญ “ท่านบุรุษเว่ยมาเยือนด้วยตัวเอง เป็นแขกที่มาไม่บ่อย วางน้ำชา!”
หยางเจาชิงกำลังจะถ่ายทอดคำสั่ง แต่เว่ยซูยกมือห้าม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “น้ำชาน่ะไม่ต้องแล้ว ท่านอ๋อง จัดการธุระสำคัญกันดีกว่า”
“ธุระสำคัญอะไร?” เหมียวอี้ถามเหมือนแปลกใจ
เว่ยซูยืนขึ้นในโถง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ทำไมท่านอ๋องต้องแกล้งโง่ เรื่องที่ครั้งก่อนหัวหน้าตระกูลมานัดกับท่านอ๋องไว้เรียบร้อยแล้ว ท่านอ๋องทำไมลืมเร็วขนาดนี้?”
“อ้อ?” เหมียวอี้เหมือนนึกขึ้นได้ ยืนขึ้นเช่นกัน พยักหน้ากล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องใหญ่ขนาดนี้จะลืมยังไง ย่อมจำได้อยู่แล้ว แต่ข้าจำได้ว่านัดกับท่านบุรุษเฉาไว้สองวันหลังจากนั้น ตอนนี้ผ่านไปนานเท่าไรแล้วล่ะ?”
เว่ยซูสีหน้าบึ้งตึงเล็กน้อย “สองวันหลังจากนั้น แต่ไม่ได้บอกละเอียดว่าเมื่อไร ตอนนี้ก็ยังอยู่ในขอบเขตสองวันหลังจากนั้นไม่ใช่เหรอ ให้เวลาท่านอ๋องมากๆ หน่อย ก็เพื่อให้ท่านอ๋องเตรียมตัวได้เต็มที่ จะได้ไม่มีข้ออ้างอีก ฟังจากคำพูดท่านอ๋องแล้ว อย่าบอกข้าเชียวนะว่าส่งของไปให้คนอื่นแล้ว หรือว่าท่านอ๋องคิดจะกับคำพูด?”
“กล่าวเกินไปแล้ว” เหมียวอี้โบกมือ แล้วถามว่า “จะดูตอนนี้เลยมั้ยล่ะ?”
เว่ยซูพยักหน้า “ได้สิ! เรื่องเล็กแค่นี้ไม่คุ้มให้ท่านอ๋องเสียเวลาหรอก”
“ตามข้ามา” เหมียวอี้เดินผ่านเขาพลางพูดทิ้งท้าย แล้วเดินก้าวยาวออกไปข้างนอก
เว่ยซูและพรรคพวกหันตัวเดินตามไปทันที
เมื่อคนกลุ่มนี้ออกจากโถงหลัก ก็เดินไปยังสถานที่ลับตาของจวนท่านอ๋อง เดินมาถึงทางเข้าตำหนักใต้ดินที่มีต้นไม้แผ่คลุมเป็นร่ม ผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังเว่ยซูหยุดเฝ้าอยู่ด้านนอกทางเข้าสองคน คอยระแวดระวังรอบๆ
……………