อาศัยแค่สองคนนี้อยู่ในจุดที่มีกำลังทหารของเหมียวอี้รวมตัวกันอยู่ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะคุ้มครองอะไรอยู่แล้ว เป้าหมายที่แท้จริงก็คือจะเตือน ว่าถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรขึ้นมา ว่าอาศัยพลังของทั้งสองคน การจะกำจัดพวกเขาอย่างเงียบเชียบไร้เสียงนั้นเป็นไปไม่ได้
เหมียวอี้ก็หันกลับมามองแวบหนึ่งเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อมาถึงในตำหนักใต้ดิน คนกลุ่มนี้ก็หยุดอยู่ตรงหน้าประตูโลหะทางเข้า เห็นได้ชัดว่าเว่ยซูรู้สึกได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่อยู่บนประตูโลหะ
พอเหมียวอี้โบกมือ บนประตูโลหะก็กะพริบแสง ประตูเปิดออก โพรงที่มีแสงประหลาดหมุนวนซ่อนอยู่ปรากฏขึ้น
เหมียวอี้ยื่นมือ “เชิญ!”
เว่ยซูกลับหยุดฝีเท้าไม่ก้าวไปข้างหน้าต่อ สายตามองสำรวจเข้าไปในโพรงทางเข้านั้น แล้วขมวดคิ้ว “สิ่งนี้คือของวิเศษ ท่านอ๋องให้ข้าเข้าไปในของวิเศษ หมายความว่ายังไง?”
เหมียวอี้ตอบว่า “นี่คือคลังเก็บสมบติของข้า คนทั่วไปไม่มีโอกาสได้เห็นหรอก อย่าบอกนะว่าท่านบุรุษเว่ยกลัวข้าวางแผนสังหาร?”
เว่ยซูป้องกันเรื่องนี้จริงๆ แต่ก็รู้สึกอีกว่าเหมียวอี้ไม่น่าจะทำไม่ได้ นอกเสียจากเหมียวอี้จะเป็นคนโง่เท่านั้น ไม่อย่างนั้นก็ควรจะรู้ผลที่ตามมาหากเลยกำหนดเวลาแล้วตนยังไม่ติดต่อภายนอก แต่เขาก็ยังระมัดระวัง “ข้าก็แค่รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ นึกไม่ถึงว่าท่านอ๋องจะให้ข้าเข้าไปดูคลังสมบัติที่คนนอกยากจะได้เห็น แทนที่จะนำของออกมาให้ดูล่ะ กลับเผยความลับเรื่องคลังสมบัติให้รู้”
เหมียวอี้ชำเลืองผู้ติดตามที่อยู่ข้างหลังเขา แล้วจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นถ่ายทอดเสียง “สิ่งที่เรียกว่าคลังเก็บสมบติก็ไม่ได้มีสมบัติอะไรมากหรอก มีของอยู่สิ่งเดียว ที่สร้างคลังสมบัติขึ้นมา ก็เพื่อปกป้องของสิ่งนั้น ของที่ท่านต้องการไม่ใช่ของธรรมดา ท่านเองก็รู้กลอุบายของพระปีศาจ เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด ข้าส่งของสิ่งนั้นให้เผ่ามังกรเฝ้าไว้ เผ่ามังกรกับตระกูลเซี่ยโห้วล้วนไม่อยากเห็นพระปีศาจฟื้นชีพ เพราะข้ากับเผ่ามังกรตกลงกันไว้แล้ว ต่อให้เป็นข้าก็ไม่อาจนำของสิ่งนั้นออกมาได้ง่ายๆ”
เว่ยซูงุนงง ถ่ายทอดเสียงถามว่า “เจ้ากำลังพูดถึงเผ่ามังกรเหรอ?” เขานึกว่าตัวเองฟังผิดไป
เหมียวอี้เหล่ตาถาม “ท่านคิดว่าตอนเฉาหม่านมาหาข้าครั้งก่อน ข้าจงใจปฏิเสธงั้นเหรอ? เช่นนั้นพวกท่านก็คิดมากไปแล้ว ตอนนี้ข้าจำเป็นต้องเป็นศัตรูกับพวกท่านด้วยเหรอ? ไม่ปิดบังความจริง หลังจากเฉาหม่านมาที่นี่ ข้าก็ตั้งใจนำของกลับมาจากแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว”
เห็นได้ชัดว่าเว่ยซูรู้สึกผิดคาด “แดนมรณะดึกดำบรรพ์ยังมีเผ่ามังกรอยู่อีกเหรอ?” เขารู้ว่าหลังจากเหมียวอี้สมคบกับฮ่าวเต๋อฟางแล้ว ก็สามารถเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์ได้สะดวก ตอนนี้อีกฝ่ายคุมอาณาเขตทัพใต้ จะเข้าออกก็ย่อมสะดวกกว่าเดิม แต่สถานการณ์ของเผ่ามังกรเป็นอย่างไรล่ะ?
เหมียวอี้พยักหน้าเข้าไปข้างใน “หลังจากเข้าไปดูแล้วก็ย่อมเข้าใจเอง ถ้าไม่ใช่เพื่อทำลายความเคลือบแคลงของพวกท่าน ก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกท่านดูเลย”
“เข้าไปดูหลายๆ คน!” เว่ยซูหันกลับมาสั่งคนที่อยู่ข้างหลัง
“ช้าก่อน!” เหมียวอี้ห้ามไว้
“หรือว่าท่านอ๋องไม่มั่นใจ?” เว่ยซูถามอย่างระวังตัวทันที
เหมียวอี้แอบด่าว่าตาแก่นี่ช่างระมัดระวังตัวเสียจริง รับมือยากกว่าเซี่ยโห้วลิ่งเยอะมาก
เขากล่าวเสียงเย็นว่า “ข้าแค่อยากจะเตือนท่านบุรุษเว่ยสักหน่อย พวกท่านจะเข้าไปดูก็ได้ แต่หลังจากกลับออกมาแล้วต้องคุมปากตัวเองให้ดี ห้ามเปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างใน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าพระปีศาจจะทำอะไร ถ้าเกิดเหตุไม่คาดคิดจริงๆ ก็อย่าโทษว่าข้าผิดสัญญาแล้วกัน!”
“เรื่องนี้จะวางใจได้ ปากพวกเขาเชื่อถือได้แน่นอน ถ้าไม่ได้รับอนุญาต แม้แต่ครึ่งคำก็ไม่ให้หลุดออกไปข้างนอก” เว่ยซูกล่าว
เหมียวอี้เอียงหน้าบอกหยางเจาชิง “ในเมื่อท่านบุรุษเว่ยวางใจแล้ว เจ้าก็พาพวกเขาเข้าไปดูก่อน”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงกุมหมัดเอ่ยรับ จากนั้นก็ถลันตัวเข้าไปในช่องว่างที่มีแสงสลัวหมุนวน
เว่ยซูโบกมือดึงคนออกมาสองคน “พวกเจ้าเข้าไปดูก่อน”
สองคนนั้นถลันตัวเข้าไปทันที พอผ่านความดำมืด ตรงหน้าก็ปรากฏแสงสว่างอย่างรวดเร็ว อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันเลิกลั่ก พบว่าจู่ๆ ก็มาอยู่ในโลกอีกใบหนึ่ง มีภูเขามีแม่น้ำ
หยางเจาชิงที่ลอยอยู่ไม่ไกลตะโกนบอกทั้งสองว่า “มองมาทางนี้” เขาชี้ไปที่ภูเขาลูกหนึ่ง
ทั้งสองใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป ในดวงตาฉายแววตกตะลึง พบว่าบนยอดเขามีมังกรใหญ่ตัวหนึ่งนอนขดอยู่บนนั้น เป็นมังกรตัวใหญ่สีดำกำลังนอนหลับสนิทอยู่บนยอดเขา
“ตามข้ามา” หยางเจาชิงเรียก
สองคนนั้นเหาะตามเขาไป ไปลอยอยู่ตรงหน้ายอดเขาแห่งหนึ่ง มังกรยักษ์ที่มีเกล็ดดำวาวเหมือนจะสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ พลันลืมตาสีแดงฉานขึ้นมา จมูกพ่นลมหายใจแรง จู่ๆ ก็กระพือให้ฝุ่นดินพุ่งขึ้นฟ้า สะบัดร่างยาวเหาะวนบนฟ้า บินวนทั้งสามคน จ้องด้วยสายตาดุร้าย เหมือนมีเจตนาเป็นศัตรู ดูดุร้ายมีพลัง
“รับบัญชาจากท่านอ๋อง ให้มาตรวจสอบสภาพของ” หยางเจาชิงกุมหมัดคารวะ
“ทำไมมีคนแปลกหน้าโผล่มาสองคน?” มังกรดำถามด้วยเสียงทุ้มก้อง
“เป็นประสงค์ของท่านอ๋อง เจ้าน่าจะรู้นะ ว่าถ้าท่านอ๋องไม่อนุญาต พวกเราก็เข้ามาไม่ได้อยู่ดี” หยางเจาชิงกล่าว
มังกรดำที่สั่นหัวส่ายหางหยุดเหาะ มองไปที่ทั้งสามคน แล้วจู่ๆ ก็อ้าปากสีแดงเหมือนอ่างเลือดที่มีฟันแหลมคม แลบลิ้นที่ม้วนอยู่ในปากออกมา เห็นแสงระยิบระยับทันที
ดอกบัวขนาดใหญ่ที่มีทั้งใบทั้งต้น ใบบัว ก้าน กลีบดอกเป็นสีแดงสวยราวกับทับทิม ฝักบัวที่อยู่ตตรงใจกลางไม่มีเม็ดบัว และส่วนรากที่เชื่อมติดกันก็เป็นสีขาวดุจหยก แตกต่างกับด้านบนโดยสิ้นเชิง แสงระยิบระยับนั้นเปล่งออกมาจากรากบัว แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าของสิ่งนี้ไม่ธรรมดา
มังกรดำก็แสดงของสิ่งนี้ให้เห็นเล็กน้อยเช่นกัน จากนั้นก็ม้วนลิ้นกลับเข้ามาในปากอีก “เห็นแล้วใช่มั้ย ของยังอยู่ดี ไสหัวไปได้แล้ว”
หยางเจาชิงบอกกับสองคนที่อยู่ข้างกาย “เป็นยังไง? กลับไปรายงานได้แล้วหรือยัง!”
ทั้งสองพยักหน้า แล้วเหาะตามหยางเจาชิงขึ้นฟ้าไป เหาะไปในรูโหว่บนท้องฟ้า ขณะเดียวกันก็ไม่ลืมที่มองประเมินไปรอบๆ
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสามก็ทยอยกันออกมา ประตูโลหะปิดสนิทเสียงดังครืน
เว่ยซูมองทั้งสองที่เพิ่งเข้าไปด้วยสายตาสอบถาม แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “เป็นยังไงบ้าง?”
“ข้างในเหมือนมีวิมานอีกแห่ง…” ทั้งสองรายงานสถานการณ์ข้างใน
เว่ยซูได้ยินแล้วตาลุกวาวไม่หยุด ไม่น่าเชื่อว่าในมือหนิวโหย่วเต๋อจะมีของวิเศษที่สร้างโลกขึ้นมาอีกแห่งได้ ทั้งยังมีเผ่ามังกรอยู่ด้วยจริงๆ สงสัยบนตัวหนิวโหย่วเต๋อจะมีไพ่ลับซ่อนอยู่ไม่น้อย
“เป็นยังไง ไม่ได้หลอกท่านใช่มั้ย?” เหมียวอี้ถามเสียงเรียบ
เว่ยซูจ้องประตูโลหะ “ของวิเศษนี้หายาก นึกไม่ถึงว่าเว่ยซูจะประสบการณ์น้อยไม่เคยเห็น สงสัยจะมีของดีซ่อนอยู่จริงๆ”
เหมียวอี้ไม่แปลกใจกับสิ่งนี้เลยสักนิด ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนอยู่พิภพเล็ก เขาก็อาจจะคิดว่าของที่พิภพใหญ่ที่ดีสุด คาดว่านักพรตที่พิภพเล็กก็คงคิดเหมือนกัน กระทั่งหลังจากเขารู้จักพิภพใหญ่ดีแล้ว ถึงได้พบว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย พิภพเล็กก็มีข้อดีของพิภพเล็กเหมือนกัน อย่าไปมองว่าพิภพเล็กมีขนาดเล็ก เพราะความจริงเมื่อเทียบกับพิภพใหญ่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาฝึกตนหรือว่าอะไร ก็เรียกได้ว่ามีแต่สิ่งสุดยอดมารวมตัวกัน
และเจดีย์งามวิจิตรที่อยู่ข้างหน้านี้ก็เป็นสิ่งที่เยารั่วเซียนปรับปรุงพัฒนาอีกครั้ง ที่จริงทั้งสำนักงามวิจิตรกลายเป็นกลุ่มหลอมสมบัติส่วนตัวของเขาไปแล้ว มอบของวิเศษชั้นดีที่สอดคล้องกับความหน้าหน้าทางวรยุทธ์ของเขามาตลอด กอปรกับกำลังทรัพย์ที่มหาศาลของเขาในตอนนี้ ขอเพียงเหมียวอี้บรรลุวรยุทธ์ที่สูงกว่านี้ ก็จะมีของวิเศษที่สอดคล้องกันมาเปลี่ยนทันที
“ท่านบุรุษเว่ย ของก็ยืนยันได้แล้ว ตอนนี้สงบใจแล้วสินะ” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญไปทางนอกตำหนักใต้ดิน สื่อว่าพวกเราสามารถออกไปได้แล้ว
“ในเมื่อมาแล้ว ท่านอ๋องไม่ต้องสนใจแล้วใช้มั้ยถ้าข้าจะเห็นกับข้าตัวเอง?” เว่ยซูถามกลั้วหัวเราะ
“คิดว่าลูกน้องเจ้าจะหลอกเจ้าหรือไง?” เหมียวอี้รู้สึกทนรำคาญไม่ไหวนิดหน่อย
เว่ยซูบอกว่า “พวกลูกน้องตาไม่มีแวว ถ้าได้เห็นกับตาตัวเองจะวางใจมากกว่า ถึงยังไงข้าก็ต้องรายงานกับหัวหน้าตระกูลด้วยตัวเอง ถ้าอธิบายไม่ชัดเจนแล้วเกิดความเข้าใจผิดก็จะไม่ดีแล้ว ท่านอ๋อง ท่านคิดว่ายังไง?” ที่จริงเขาอยากจะเข้าไปสำรวจสภาพภายในของเจดีย์งามวิจิตร
เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ รู้อยู่แล้วว่าเจ้าเวรนี้ต้องอยากเข้าไปข้างในแน่นอน แต่ภายนอกยังเตือนว่า “ข้าแนะนำว่าท่านอย่าเล่นตุกติกอะไรดีกว่า ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าแปรพักตร์!”
“ท่านอ๋องกล่าวเกินไปแล้ว ข้าจะกล้าเล่นตุกติกอะไรบนอาณาเขตของท่าน แบบนั้นไม่ถือว่ารนหาที่ตายหรอกหรือ?” เว่ยซูกุมหมัดคารวะ
เหมียวอี้ส่งสายตาสื่อว่า ‘นับว่าเจ้ารู้กาลเทศะ’ ให้เขา แล้วโบกมือเปิดประตูโลหะอีกครั้ง ครั้งนี้เหมียวอี้ถลันตัวนำเข้าไปก่อนแล้ว
เว่ยซูโบกมือเรียกลูกน้องห้าคนตามเข้าไป ด้านนอกมีเหลือไว้เตรียมป้องกันสามคน
แต่หลังจากพวกเว่ยซูเข้าไปแล้ว ประตูโลหะก็ปิดทันที สามคนที่เฝ้าระวังอยู่ด้านนอกสบตากันแวบหนึ่ง หนึ่งในนั้นรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเว่ยซู คอยบอกสถานการณ์ให้รู้
พอเข้ามาในเจดีย์งามวิจิตรแล้ว เว่ยซูที่ถือระฆังดาราในมือก็ชะงักไป หันกลับมามองบนฟ้า พบว่าทางเข้าปิดแล้ว จึงชี้ไปด้านบนและถามเหมียวอี้ทันที “ท่านอ๋อง ทำไมต้องปิดทางเข้าออก?”
เหมียวอี้แสยะยิ้ม “ข้าจะควบคุมของวิเศษนี้เอง พอข้าเข้ามามันก็ต้องปิดอยู่แล้ว ถ้าต้องการจะออกไปเดี๋ยวมันก็ปิดเอง ถ้าพ่อบ้านเว่ยรู้สึกว่าไม่ปลอดภัย ตอนนี้ข้าจะเปิดให้ท่านออกไปก็ได้”
เว่ยซูหัวเราะเบาๆ “ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” เขาเขย่าระฆังดาราบอกข้างนอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แล้วกวาดสายตาควานหาไปรอบด้าน เดาะลิ้นชมว่า “ของวิเศษชิ้นนี้น่าสนใจจริงๆ เหนือกว่าชัยภูมิถ้ำสวรรค์ไม่รู้ตั้งเท่าไร”
หนึ่งก่อนที่เคยเข้ามาก่อนหน้านี้ชี้บอกอยู่ข้างกาย เว่ยซูมองตามไป เห็นมังกรดำนอนยึดครองอยู่บนยอดเขา เขาหรี่ตามอง คิดในใจว่าเป็นเผ่ามังกรจริงๆ ด้วย นึกไม่ถึงว่าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ยังมีเผ่ามังกรอยู่ ตำหนักสวรรค์ไปกวาดล้างหลายครั้งแต่ก็ไม่พบ ไม่รู้เหมือนกันว่าหนิวโหย่วเต๋อทำข้อตกลงอะไรไว้กับเผ่ามังกรกันแน่ ดูท่าตอนหลังจะต้องสำรวจให้ดีสักหน่อยแล้ว
ส่วนเหมียวอี้กับหยางเจาชิงก็ถลันตัวไปที่ยอดเขาแล้ว เหมียวอี้ลอยอยู่เหนือหัวมังกร ใต้เท้าคือมังกรดำเบิกตาแดงโพลง หัวมังกรลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ ขับให้เหมียวอี้ที่ยืนเอามือไขว้หลังดูมีพลังอำนาจไปอีกแบบ
มังกรดำอ้าปปากแลบลิ้น เผยบัวโลหิตที่เปล่งแสงระยิบระยับ
เว่ยซูตาลุกวาวทันที นำคนเหาะเข้าไปดูใกล้ๆ
ใครจะคิดว่าในขณะนี้เอง จู่ๆ มังกรดำก็กะพริบตาอย่างซุกซน กลืนของวิเศษในปากกลับเข้าไปอีก แล้วก็ปิดปากสนิทแล้ว
เหมียวอี้กำลังยืนอยู่เหนือหัวมัน สองมือที่ไขว้หลังพลันเปล่งแสง ง้างธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ในมืออย่างรวดเร็ว ลูกธนูสามดอกตั้งอยู่บนสาย ลำแสงไหวเวียน บนก้านของลูกธนูสามดอกอบอวลไปด้วยหมอกลายงู ลายเสือ ลายเหยี่ยว กระแสลมกระเพื่อมตามสายธนูที่ง้างออก
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขั้นเจ็ด? เว่ยซูตกใจมาก พวกเขารีบหยุดกะทันหัน
ชวิ้ง! เสียงดังสะเทือนฟ้าดิน ลำแสงสามสายยิงออกมาพร้อมกัน ราวกับจะทำให้ทุกอย่างพังลง
ต่อให้นอนฝันแต่เว่ยซูก็นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้จะกล้าลงมือกับเขาจริงๆ ไม่รู้เชียวเหรอว่าถ้าเขาไม่กลับออกไป ผลที่ตามมาคืออะไร?
อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่หยางเจาชิงก็อกสั่นขวัญแขวน ถ้ามีความผิดพลาดนิดเดียว จนเว่ยซูส่งข่าวออกไปข้างนอกไม่ได้ แบบนั้นก็จะยุ่งยากแล้ว เรื่องที่เกิดช่องโหว่ได้ง่ายแบบนี้มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่กล้าเสี่ยง ต้องทราบไว้ว่าไม่ใช่แค่คนที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น ถ้าเว่ยซูไม่ได้รู้สถานการณ์สมาคมอาวุโสเลย เรื่องนี้จะต้องถูกเปิดโปงแน่นอน มีความเป็นไปได้สูงว่าเว่ยซูจะไม่ได้รู้สถานการณ์ของสมาคมอาวุโส!
ทว่าท่านอ๋องตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ไม่รอให้ตระกูลเซี่ยโห้วมาบีบให้สละอำนาจ ต้องการชิงลงมือก่อนเพื่อความได้เปรียบ ทำให้คนพูดไม่ออกจริงๆ คาดว่าตระกูลเซี่ยโห้วก็คงนึกไม่ถึงเช่นกัน!
………………