พอได้ยินแบบนี้ หยางชิ่งก็มุมปากกระตุกเล็กน้อย โชคดีที่ใส่หน้ากากไว้จึงเห็นไม่ชัดเจน
บางเรื่องแม้จะเป็นเรื่องจริง แต่เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติก็ไม่มีทางประกาศต่อภายนอก เพราะจะทำลายชื่อเสียงบารมีเหมียวอี้ หยางชิ่งเองก็ไม่เคยโอ้อวดกับใครว่าเป็นผลงานของตัวเอง ตอนนี้อวิ๋นจือชิวพูดออกมาแล้ว เห็นได้ชัดว่ากำลังอวดเขา ช่วยเป็นคนกลางให้อย่างเต็มความสามารถจริงๆ ทำให้หยางชิ่งซาบซึ้งอยู่ในใจ
ในจุดนี้หยางชิ่งจะไม่ยอมรับก็ไม่ได้ ว่าอวิ๋นจือชิวซื้อใจคนเก่งจริงๆ เขาสังเกตเห็นมาตั้งนานแล้ว ขอเพียงได้คลุกคลีกับอวิ๋นจือชิวมานาน ต่อที่เดิมทีจะเป็นคนของเหมียวอี้ แต่สุดท้ายถ้ามองจากบางมุมก็ถือว่ากลายเป็นคนของอวิ๋นจือชิวแล้ว ล้วนนับถือยำเกรงอวิ๋นจือชิวอย่างสุดจิตสุดใจ ถ้ามองจากบางมุมก็ถือว่ารักษาสถานะนายหญิงของอวิ๋นจือชิวไว้ได้อย่างมั่นคง คาดว่าในจวนท่านอ๋องถ้ามีใครอยากแทนที่อวิ๋นจือชิว คนข้างกายเหมียวอี้ก็จะไม่มีใครยอมรับด้วยสักคน
พอคำนึงถึงฉินเวยเวยลูกสาวตัวเอง สำหรับหยางชิ่งแล้ว สิ่งนี้คือความกังวลที่ซ่อนอยู่ในใจ
สำหรับอวิ๋นจือชิว ซูอวิ้เป็นใครกันล่ะ เคยเป็นผู้หญิงของฮ่าวเต๋อฟางมาแล้ว มีหรือที่ชอบผู้ชายคนไหนก็ได้ ย่อมต้องพิสูจน์ว่าหยางชิ่งเก่งกว่าฮ่าวเต๋อฟาง ถ้ามองจากบางมุม การที่อวิ๋นจือชิวสนับสนุนมากขนาดนี้ ก็ถือว่ากำลังแลกกับผลงานของหยางชิ่งเช่นกัน
วิธีการนี้ของอวิ๋นจือชิวได้ผลจริงๆ ชั่วพริบตานี้ ซูอวิ้นถูกทำให้ตะลึงค้างแล้ว หันขวับไปจ้องประเมินหยางชิ่งศีรษะจดเท้าอีกครั้ง คิดมาตลอดว่าอุบายห่วงสัมพันธ์ที่ใช้กับท่านอ๋องเป็นฝีมือของหนิวโหย่วเต๋อ นึกไม่ถึงว่าผลงานที่สูงส่งลำเลิศขนาดนี้จะเป็นฝีมือเขา ไม่น่าเชื่อว่าคนผู้นี้จะมองข้ามหัววีรบุรุษในใต้หล้า! นึกไม่ถึงว่าข้างกายหนิวโหย่วเต๋อจะมีเสนาธิการคนนี้อยู่ เมื่อก่อนจวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวไม่รู้เรื่องนี้เลยสักนิด ซ่อนเร้นได้ล้ำลึกมากทีเดียว!
นางแน่ใจได้เลยว่าอวิ๋นจือชิวไม่พูดโกหก เรื่องแบบนี้พูดซี้ซั้วได้ที่ไหนกัน ตอนนี้นางเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างแรงกล้า อยากจะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงภายใต้หน้ากากนั้น จะดูว่าเป็นคนอย่างไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเล่นกับวีรบุรุษในใต้หล้าด้วยฝ่ามือเดียว!
“เหนียงเหนียงชมเกินไปแล้ว มิบังอาจรับไว้ วางแผนการรบบนกระดาษ มิสู้ความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญของท่านอ๋อง!” หยางชิ่งกุมหมัดด้วยสีหน้าเขินอาย
“เจ้ารับไหว เจ้ารับได้!” อวิ๋นจือชิวกล่าวด้วยรอยยิ้ม:
ซูอวิ้นกลับชำเลืองหยางชิ่ง “เหตุใดท่านบุรุษหยางจึงสวมหน้ากากไว้ตลอด อย่าบอกนะว่าอับอายไม่กล้าพบหน้าคน?” ในน้ำเสียงแฝงการเหน็บแนม
แววตาที่ลึกล้ำของหยางชิ่งสบประสานกับดวงตางามซูอวิ้นแล้ว ตอบเสียงเรียบว่า “ไม่ใช่ว่าอับอาย แต่แต่ข้าสาบานเอาไว้!”
“ไม่ทราบว่ามีคำสาบานอะไรควบคุมไว้?” ซูอวิ้นถาม
หยางชิ่งตอบว่า “สาบานเอาไว้ตอนสวมหน้ากากนี้ ว่าถ้าพบคนที่ข้าอยากแต่งงานด้วย แล้วนางเป็นผู้หญิงที่ดีจะแต่งงานกับข้า ขอเพียงนางให้ข้าถอด ข้าก็จะถอดให้นางดู!”
“…” ซูอวิ้นพูดไม่ออก เจอประโยคนี้เข้าไปก็ไม่มีความสามารถที่จะโต้ตอบ นึกไม่ถึงว่าจะมีคำสาบานประเภทนี้อยู่ด้วย ถ้าตัวเองอยากให้ฝ่ายถอดหน้ากาก แบบนี้จะไม่…ทำเอารู้สึกเขินอายทันที ไม่กล้าสบตากับหยางชิ่ง เรากับทนรับสายตาแบบนั้นของหยางชิ่งไม่ไหว เอียงหน้าหนีโดยไม่รู้ตัว แก้มแดงเรื่อ เขินอายนิดหน่อย พบว่าตัวเองไม่ควรถามคำถามนี้ ดูเหมือนตัวเองเสียมารยาทแล้ว
ต่อให้นางนอนฝันก็คงนึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะวางกับดักนางเพราะรักและชื่นชมนาง โดนวางกับดักแล้วยังนึกว่าตัวเองพูดจาไม่เกรงใจ เป็นฝ่ายเสียมารยาทก่อน
อวิ๋นจือชิวกลับตกตะลึงกับคำพูดของหยางชิ่ง นางแทบจะกลอกตามองบน พูดคำโกหกออกมาได้อย่างสบายปากจริงๆ วางกับดักให้ซูอวิ้นเดินเข้าไปเอง คำสาบานบ้าบออะไรกัน เคยเห็นคนไร้ยางอายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายขนาดนี้ นี่คือการพูดจาแทะโลมอย่างเปิดเผย นางนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าคนที่สุขุมอย่างหยางชิ่งจะพูดอะไรแบบนี้ออกมาได้ นางพบว่าผู้ชายคุณภาพเดียวกันหมด ไร้ยางอาย!
แต่นางก็ต้องยอมรับ ว่าหยางชิ่งลงมือได้โหดมากทีเดียว ต่อจากนี้ซูอวิ้นยังจะกล้ามองเขาตรงๆ อีกหรือ? ถ้าเจอหยางชิ่งแล้วหันหน้าหลบ จะกลัวคนเข้าใจผิดหรือเปล่า? ช้าเร็วก็ต้องทำให้ซูอวิ้นอึดอัด ความอึดอัดนี้จะต้องทำให้เกิดปัญหาแน่
“ข้ายังมีธุระอีกนิดหน่อย…” อวิ๋นจือชิวพูดทิ้งท้ายแล้วเดินออกไปก่อน ขนาดตามจีบผู้หญิงยังทำเหมือนประลองกับยอดฝีมือ รับไม่ไหวจริงๆ นางเริ่มสงสัยนิดว่าซูอวิ้นอาจจะหนีไม่พ้นเงื้อมมือมารของหยางชิ่งแล้ว ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหยางชิ่งเลย! พอเจอกันก็ถูกหยางชิ่งพาเข้ากับดักแล้ว
วันนี้มีความคืบหน้ามากพอแล้ว หยางชิ่งควบคุมระดับได้ดีสุดๆ พูดเพียงเท่านี้ กุมหมัดคารวะซูอวิ้น “ขอตัว!”
“ส่งตรงนี้!” ซูอวิ้นกุมหมัดคารวะเช่นกัน มองคล้อยหลังหยางชิ่งหันตัวเดินไป จ้องเงาหลังหยางชิ่งที่เดินออกไปอยู่ตลอด หลังจากได้ฟังคำพูดของอวิ๋นจือชิววันนี้ จะไม่ให้นางอยากเห็นใบหน้าที่อยู่ใต้หน้ากากนั้นได้อย่างไร อยากจะเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงกับตา แต่พอนึกถึงคำพูดของหยางชิ่ง ใบหน้าก็รู้สึกร้อนผ่าวอย่างควบคุมไม่อยู่ พยายามหลีกเลี่ยงไม่เอ่ยให้อีกฝ่ายถอดหน้ากากอีก ถูกทำให้อดทนทรมานนิดหน่อย…
ตอนกลางคืน นอกเรือนระดับหนึ่งหลังหนึ่ง บนวงกบประตูเปลี่ยนชื่อเป็น ‘หวนจู’ แล้ว เหมียวอี้เดินเข้ามาข้างใน ทหารอารักขาเฝ้าอยู่ข้างนอก
ท่านอ๋องมาเยือน บ่าวไพร่ที่อยู่ในเรือนรีบรายงานไปบอกเจ้านาย ไม่รอให้เหมียวอี้เดินลึกเข้าไป หมิงจูก็รีบเดินมาต้อนรับแล้ว “คำนับท่านอ๋องค่ะ!”
เหมียวอี้บอกใบ้ว่าไม่ต้องมากพิธี เงยหน้ามองสีของท้องฟ้า แล้วบอกว่า “คืนนี้ข้าจะค้างที่นี่!”
ที่มาวันนี้เพราะมีเจตนาจะกู้หน้ากลับคืนมาด้วย อยากจะให้ทุกคนเห็นว่าข้าไม่กลัวหวังเฟยเสียหน่อย ก็ยังจะมาเหมือนเดิม
หมิงจูได้รับผลกระทบจากเรื่องคราวก่อน ยังอกสั่นขวัญแขวนนิดหน่อย แต่ก็ไม่สะดวกจะปฏิเสธ ทำได้เพียงเอ่ยรับเสียงอ่อนปวกเปียก “ค่ะ!”
จากนั้นก็เดินเล่นอยู่ในเขตลานบ้านเคียงข้างเหมียวอี้ ไม่เห็นว่าสภาพแวดล้อมของเรือนพักค่อนข้างดี เหมียวอี้ก็ถามไปเรื่อยเปื่อยประมาณว่าอยู่ที่นี่ชินแล้วหรือยัง
ส่วนสาวใช้ก็รีบไปเก็บกวาดเตรียมตัวแล้ว…
วันต่อมา หมิงไป่พาลูกชายสองคนมาถึงจวนท่านอ๋อง มาคำนับอวิ๋นจือชิว หลังจากได้รับแจ้งจากลูกสาว หมิงไป่ก็ไม่กล้าชักช้า เรียกได้ว่าออกเดินทางทันที
ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าลูกสาวถูกหยามหมิ่น หมิงไป่ก็ทั้งอกสั่นขวัญแขวนทั้งโมโหจนด่าว่าคนในจวนท่านอ๋องรังแกกันเกินไปแล้ว ตอนหลังพอได้ยินว่าลูกสาวมีโชคมาเยือน ได้ย้ายเข้าเรือนระดับหนึ่งของจวนท่านอ๋อง ก็เลยถามรายละเอียด ลูกสาวไม่รู้ความ แต่หมิงไป่กลับฟังออกว่าเรื่องนั้นอาจจะเป็นการแสดงละคร ทำให้คนอื่นเห็นเฉยๆ ลูกสาวอาจจะโชคดีบนความโชคร้าย ระหว่างทางที่มาได้ยินสาวใช้ของลูกสาวรายงานว่าท่านอ๋องมาค้างแรมกับลูกสาวอีก หมิงไป่ก็ดีใจมาก คิดว่าลูกสาวได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องแล้ว
ก่อนหน้านี้ยังกังวล ตอนหลังก็คิดว่าสมเหตุสมผลแล้ว คนเป็นพ่อเป็นแม่ล้วนรู้สึกว่าลูกสาวตัวเองดีอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นลูกสาวของเขาก็หน้าตาไม่ธรรมดาจริงๆ
สรุปก็คือไม่ว่าจะเป็นอย่างไร สำหรับตระกูลหมิงแล้ว หากลูกสาวได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋อง ก็รอวันที่ตระกูลหมิงจะกลับมามีอำนาจอีกครั้งได้เลย บางทีอาจจะมีอำนาจมากกว่าตอนแรกด้วยซ้ำ!
มีอวิ๋นจือชิวช่วยพูดให้ เหมียวอี้ก็ไม่ค่อยคัดค้านเท่าไหร่ ตอนนี้ยังคืนตำแหน่งเดิมให้หมิงไป่ไม่ได้ แต่กลับแบ่งให้ไปอยู่บนอาณาเขตของสวีถังหรานแล้ว ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือให้หลงซิ่นดูแล ตอนนี้ช่วยหมิงไป่รับหน้าที่ทำงานเบ็ดเตล็ดไปก่อน ส่วนลูกชายทั้งสองของหมิงไป่ก็มีตำแหน่งว่างให้แล้ว แม้จะไม่ใช่ตำแหน่งหลักอะไร แต่ก็ถือว่ากลับมาสภาพเดิมแล้วแล้ว
แต่เหมียวอี้ก็ยังเตือนต่อหน้าสามพ่อลูกตระกูลหมิง ว่าเขาไม่อยากให้ทัพใต้กลายเป็นทัพใต้แบบเมื่อก่อน สามารถให้โอกาสพวกเขาได้ แต่ถ้ารักษาไว้ไม่ได้ก็อย่าหาว่าเขาไม่เกรงใจ
พอบอกลาท่านอ๋องกับหวังเฟยแล้ว สามพ่อลูกก็ไปเจอหมิงจูที่สวนหวนจูอีก
หมิงจูที่อารมณ์ค้างจากเมื่อคืนยังคงแก้มแดง คิดไปคิดมาก็เหมือนฝันจริงๆ พอบิดากับพี่ชายมาแล้วนางถึงได้สติกลับมา
เมื่อครอบครัวพบหน้ากัน แม้หมิงจูจะปฏิบัติต่อพวกเขาในฐานะบิดาและพี่ชาย แต่ท่าทีของบิดาและพี่ชายก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่กล่าวสั่งสอนลูกสาวและน้องสาวตามอำเภอใจอีก ทั้งพี่ชายและบิดาล้วนเคารพนางมาก สิ่งที่นางพูดไม่ว่าจะมีเหตุผลหรือไม่มีเหตุผล บิดาและพี่ชายก็ล้วนทำท่าตั้งใจฟัง สิ่งนี้ทำให้นางรู้สึกอึดอัดมาก
แต่ก็ทำให้นางตระหนักได้แล้วจริงๆ วันหลังจากได้เป็นสามีภรรยากับผู้ชายคนนั้นแล้ว สถานะของนางก็เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อนอย่างฉับพลัน ก่อนหน้านี้ตอนท่านอ๋องล้างหน้าแปรงฟันออกไปแล้ว นางก็สังเกตได้ว่าบ่าวไพร่เปลี่ยนท่าทีเป็นเคารพนางมากขึ้น สาวใช้สองคนของนางกล้าเชิดหน้าเรียกใช้บ่าวไพร่พวกนั้นแล้ว บ่าวใครที่ก่อนหน้านี้ยังต้องคอยเกรงใจสีหน้าของหวังเฟย ตอนนี้สงบเสงี่ยมโดยสิ้นเชิงแล้ว
คนที่พักอยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนเป็นสมาชิกครอบครัวผู้หญิง พ่อลูกตระกูลหมิงไม่สะดวกจะอยู่ที่นี่นาน ก่อนจะกล่าวอำลา สาวใช้ของหมิงจูก็ได้รับรางวัลจากหมิงไป่อย่างที่คาดไว้จริงๆ หมิงไป่กำชับให้ทั้งสองดูแลหมิงจูให้ดี ถ้าต้องการอะไรก็ติดต่อเขาให้ทันเวลา
สาวใช้ทั้งสองไม่ได้พอใจแค่เท่านี้ มีพื้นเพมาจากตระกูลใหญ่ รู้ว่าจะสร้างอำนาจให้เจ้านายตัวเองอย่างไร ระหว่างทางกลับหลังจากไปส่งพ่อลูกตระกูลหมิง พวกนางก็จงใจเปิดเผยข่าวดีนี้ให้สาวใช้ของเรือนอื่นรู้
ใช้เวลาไม่นาน หมิงจูก็ได้เข้าพักในเรือนระดับหนึ่ง ท่านอ๋องไปค้างแรมกับหมิงจู พอลูกตระกูลหมิงหวนคืนสู่ตำแหน่ง ข่าวนี้แพร่ไปยังบรรดาอนุภรรยาที่เข้ามาใหม่เร็วมาก
อวี่เหวินหรูอวี้กับกงหนีฉางเข้าพักที่เรือนระดับหนึ่งได้ก็เพราะพื้นเพชาติกำเนิด แต่การที่หมิงจูได้ใช้ชีวิตมีหน้ามีตาอย่างนี้ ก็เป็นเพราะได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องอย่างแท้จริง โชคชะตาของหมิงจูไม่ใช่แค่ทำให้ได้โอ้อวดความรวยของตัวเองเท่านั้น ทั้งยังได้แสดงความกตัญญูกับคนในครอบครัวด้วย นับว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตตำหนักหลังในจวนท่านอ๋อง ทำให้ทุกคนรับรู้พลังของการปรนนิบัติท่านอ๋อง ไม่รู้ว่ามีผู้หญิงตั้งมากมายเท่าไหร่ก็อิจฉา
ความอิจฉามักจะแฝงความหมายริษยาไว้ด้วย ทุกคนล้วนเข้ามาจวนท่านอ๋องด้วยสถานการณ์เดียวกัน หมิงจูมีสิทธิ์อะไรได้รับเกียรติอย่างนี้ พื้นเพของหมิงจูนับว่าอยู่ระดับต่ำสุดในบรรดาคนที่เข้ามาใหม่ ย่อมต้องมีคนอิจฉาอยู่แล้ว โดยเฉพาะคนที่มีพื้นเพชาติกำเนิดดีกว่าหมิงจู บางคนจะแอบพูดนินทาลับหลังบ้างก็เลี่ยงไม่ได้ แต่ต่อให้ในใจรู้สึกไม่ยอมแพ้ไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกฝ่ายอยู่สูงกว่าเจ้าหนึ่งระดับแล้ว เวลาออกเดินทางก็มีบ่าวไพร่ติดตามเยอะกว่าเจ้า อีกฝ่ายสามารถพูดกับท่านอ๋องได้โดยตรง ถ้าฟ้องเรื่องไม่ดีของเจ้าให้ท่านอ๋องรู้ขึ้นมา เจ้าจะรับโทษไหวเหรอ? ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าบิดาและพี่ชายของนางหวนคืนสู่อำนาจแล้ว สามารถไปหาเรื่องครอบครัวเจ้าได้เลย ดังนั้นเวลาบังเอิญเจอกันบนทางเดินเจ้าก็ต้องทำตัวสงบเสงี่ยม เคารพและยิ้มสู้
หลังจากนั้นไม่กี่วัน เป็นเพราะฝั่งนี้ก็เรื่องขึ้นนิดหน่อย สาวใช้ของหมิงจูบังเอิญได้ยินสาวใช้ของคนอื่นพูดลับหลังหมิงจูในทางที่ไม่ดี สาวใช้ของหมิงจูโผล่หน้ามาทันที พวกเราไม่เกรงใจเลย เข้าไปตบสองสามฉาด ทะนงตนเต็มที่ สาวใช้ของคนอื่นโดนตบแต่ไม่กล้าโต้ตอบ สาวใช้ที่เหลือที่ร่วมนินทาด้วยได้แต่ก้มหน้า ไม่กล้ามาช่วยพวกนาง
เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นในจวนท่านอ๋อง มีหรือที่จะผ่านหูผ่านตาอวิ๋นจือชิวไปได้ สำหรับเรื่องนี้อวิ๋นจือชิวรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่กลับคอยดูอยู่เฉยๆ ไม่ได้สนใจอะไร เวลาคนน้อยก็มีวิธีควบคุมอีกแบบ เวลาคนมากก็มีวิธีควบคุมอีกแบบ นางจงใจจะสร้างธรรมเนียมความแตกต่างของระดับ
ส่วนข่าวเรื่องที่เซี่ยโห้วลิ่งป่วยตาย ข่าวตำแหน่งหัวหน้าตระกูลตกอยู่ในมือเฉาหม่าน ในที่สุดก็ปะทุแล้ว สั่นสะเทือนทั้งใต้หล้า ผู้คนพากันกล่าวถึง!
“นายท่าน เจอต้นตอของข่าวแล้ว เป็นคนของโถงชุมนุมอัจฉริยะที่ปล่อยข่าว”
ในเขตลานบ้านที่ร่มรื่น ชีเจวี๋ยรายงานต่อเฉาหม่าน เฉาหม่านสีหน้าพยับเมฆ แค้นจนกัดฟันกรอด
…………………