มองจวนผู้สำเร็จราชการที่กว้างใหญ่ ชิงหยวนจุนที่ติดต่อกับมารดาเสร็จแล้วยืนอยู่บนตึกศาลาและมองไปรอบๆ ที่นี่ก็คือสิ่งที่หนิวโหย่วเต๋อสร้างขึ้นมากับมือ เขารู้สึกได้รางๆ ว่าคำพูดของมารดามีความหมายแฝง ราวกับว่าระหว่างนางกับหนิวโหย่วเต๋อมีความลับอะไรที่บอกใครไม่ได้
เพียงแต่การเอ่ยปากขอหนิวโหย่วเต๋อทำให้เขาเสียหน้านิดหน่อย ในปีก่อนๆ แม้หนิวโหย่วเต๋อจะแอบสนับสนุนทรัพยากรเขามาตลอด แต่ครั้งก่อนเขาก็เคยตำหนิพฤติกรรมของหนิวโหย่วเต๋อที่นอกจวนท่านอ๋อง…
ส่วนเหมียวอี้ในตอนนี้ก็กำลังจ้องไปทางจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล หลายคนกำลังรวมตัวปรึกษาหารือกันอยู่ในห้องหนังสือ ปรึกษาว่าจะจับตัวใครดี
ฝั่งพระปีศาจชักช้าไม่ตอบกลับมาเสียที เรื่องช่วยมารดาเฟยหงเลื่อนเวลาไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว จำเป็นต้องเริ่มพิจารณาว่าจะจับใครไปเป็นตัวประกัน
“จับคนที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเหรอ?” เหมียวอี้ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวโน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย จ้องหยางชิ่งพลางขมวดคิ้วถาม “เจ้าคงไม่ได้คิดจะจับชิงหยวนจุนหรอกใช่มั้ย เจ้าบอกว่าต้องผูกมิตรไว้ไม่ใช่เหรอ?”
หยางชิ่งเองก็จนใจเช่นกัน ในมุมมองของเขานั้น ไม่จำเป็นต้องวุ่นวายเพื่อช่วยเฟยหงเลย แต่เหมียวอี้ดึงดันจะทำอย่างนี้ให้ได้ ทั้งยังดึงเขามาปรึกษาด้วย เขาเองก็ทำได้เพียงช่วยวางแผน ส่ายหน้าบอกว่า “ไม่ใช่ชิงหยวนจุน แต่เป็นหวังติ้งเฉา ผู้ช่วยของชิงหยวนจุน!”
“หวังติ้งเฉา?” เหมียวอี้พึมพำ หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย ก็กล่าวอย่างลังเล “แม้ตำแหน่งของหวังติ้งเฉาจะไม่ต่ำต้อย แต่ก็ไม่นับว่าสูง อาจจะไม่ทำให้วังสวรรค์ประนีประนอม”
“ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ก็ไม่ต้องเอาเขามาพิจารณาหรอก แต่ช่วงนี้ได้ข่าวมา ว่าประมุขชิงประทานกระบี่เก้าเตาที่ตัวเองเคยใช้บุกยึดใต้หล้าในปีนั้นให้หวังติ้งเฉา ว่ากันว่าเคล็ดวิชาฝึกตนของหวังติ้งเฉาก็เป็นประมุขชิงประทานให้เช่นกัน พอมาดูตอนนี้แล้ว ในปีนั้นที่ประมุขชิงย้ายหวังติ้งเฉาไปเป็นผู้บังคับบัญชาของชิงหยวนจุนก็เพราะมีจุดประสงค์ ตอนนี้ย้ายหวังติ้งเฉาไปเป็นผู้ช่วยชิงหยวนจุนอีก จะเห็นได้ว่าตั้งใจจะชุบเลี้ยงหวังติ้งเฉาคนนี้” หยางชิ่งกล่าว
เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ ขณะครุ่นคิด เข้าใจความหมายของหยางชิ่งแล้ว จุดสำคัญก็คือหวังติ้งเฉาคือคนที่ได้รับกระบี่เก้าเตาจากประมุขชิง
หยางชิ่งพูดต่อว่า “ยังมีอีกจุดหนึ่ง จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเดิมทีมีคนของท่านอ๋อง สืบหาทิศทางความเคลื่อนไหวของหวังติ้งเฉาได้ง่าย ทำให้ท่านอ๋องลงมือได้สะดวก ถ้าลงมือกับคนอื่นที่ยศสูงเกินไปก็อันตรายเกิน กอปรกับแดนรัตติกาลกับที่นี่เป็นเพื่อนบ้านกัน ลงมือได้สะดวก”
“ได้! จับหวังติ้งเฉาแล้วกัน!” เหมียวอี้ตบโต๊ะเบาๆ กำหนดเป้าหมายได้แล้ว
แต่ยังไม่ทันปรึกษารายละเอียด เหมียวอี้ก็อึ้งไปครู่หนึ่ง หยิบระฆังดาราอันหนึ่งออกมา แล้วกล่าวกลั้วหัวเราะ “ชิงหยวนจุนส่งข่าวมา เมื่อครู่ยังพูดถึงเขาอยู่เลย ทนความคิดถึงไม่ไหวจริงๆ”
หยางชิ่งกับหยางเจาชิงสบตากันแวบหนึ่ง
หลังจากติดต่อกับชิงหยวนจุนแล้ว เหมียวอี้ก็เก็บระฆังดารา แล้วพูดหยอกล้อกับทั้งสอง “พอเอ่ยปากก็มาขอเงินเลย กระเพาะไม่เล็กซะด้วย” เขายิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ยกมือขึ้นเขียนจำนวน
หยางชิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เขาคนเดียวใช้เงินไม่เยอะขนาดนั้นหรอก ทางตำหนักสวรรค์คงไม่จ่ายค่าจ้างกำลังพลฝั่งเขาน้อยเช่นกัน เป็นไปไม่ได้ที่ประมุขชิงจะดูแลกำลังพลกองทัพองครักษ์ที่ปรับใหม่ไม่ดี สวัสดิการไม่น่าจะแย่ขนาดนั้น นี่เพิ่งไม่นานเท่าไร…ดูท่าแล้วคงไม่ต้องให้พวกเราไปหว่านเมล็ดก่อน เจ้าเด็กนี่ทนเหงาไม่ไหวแล้ว”
เขาเดาไม่ผิด ที่ชิงหยวนจุนระบายทุกข์กับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่นั้นเกินจริงไปหน่อย พูดจาน่าสงสารขนาดนั้น จริงๆ แล้วก็ยังหวังให้ทางมารดาช่วยอีกสักหน่อย
“จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลมีท่านอ๋องเป็นตัวอย่างให้เห็นแลว เกรงว่าเขาคงอยากสร้างผลงานมาก” หยางเจาชิงยิ้ม
“เขาไม่เพียงแค่ต้องการเงิน ทั้งยังหยั่งเชิงข้าด้วย ฟังจากที่เขาพูด เขาอยากให้ข้าหาช่องทางรายได้ให้เขาสักทาง! หึ ในปีนั้นเจ้าเด็กนี่เอาของข้าไปจนชินแล้ว ไม่รู้จักพอ ข้าไม่ได้ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้รับปาก แค่บอกว่าจะรวบรวมให้สักหน่อย ให้เขารอฟังข่าว พวกเจ้าคิดว่ายังไง?” เหมียวอี้ถาม
หยางเจาชิงบอกว่า “ในด้านการเงิน ขอเพียงไม่มากเกินไป ก็ให้เขาได้ ส่วนช่องทางรายได้ ปล่อยให้เขาอยากไปก่อน ยังไม่ถึงเวลาที่จะให้เขา ถ้าให้เขาตอนนี้ ฝั่งประมุขชิงจะต้องสังเกตเห็นแน่นอน รอให้ฝั่งท่านอ๋องเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วค่อยให้เขาจะเหมาะสมกว่า จะได้ผลแบบราดน้ำมันบนกองไฟ!”
“อืม!” เหมียวอี้ไตร่ตรองแล้วพยักหน้า สื่อว่าเห็นด้วย แล้วบอกหยางเจาชิงว่า “สมบัติที่ได้มาจากฝั่งเซี่ยโห้วท่า นำออกมาส่วนหนึ่ง เพื่อแสดงความจริงใจ ข้าไม่ตระหนี่ที่จะให้เขามากขึ้น ให้เขาอีกเท่าหนึ่ง!”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ
หยางชิ่งกลับหัวเราะ “ในเมื่อท่านอ๋องใจกว้างจะให้เขาอีกเท่าหนึ่ง ก็ติดต่อกับราชินีสวรรค์ก่อนสักหน่อยก็ได้ ครึ่งหนึ่งเพื่อไว้หน้าองค์ชาย อีกครึ่งหนึ่งก็เพื่อไว้หน้าราชินีสวรรค์ จะได้ทำให้เหนียงเหนียงเบิกบานใจหน่อย”
“ฮ่าๆ!” เหมียวอี้หัวเราะลั่นพลางตบโต๊ะ พอพูดว่าจะทำก็ทำเลย หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเซี่ยโห้วเฉิงอวี่โดยตรง
ในตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังครุ่นคิดเรื่องลูกชาย จู่ๆ ก็ได้รับการติดต่อจากเหมียวอี้ก่อน นางพอจะเดาเหตุผลที่เหมียวอี้ติดต่อมาหานางได้แล้ว นางอับอายนิดหน่อย ไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับหรือไม่ ราชินีสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐานเป็นฝ่ายขอเงินคนอื่นก่อน ทำแบบนี้ค่อนข้างเสียหน้า
แต่พอพิจารณาถึงว่ามีคนที่ฆ่าได้แม้กระทั่งพี่น้องตัวเองเพื่อจะขึ้นสู่ตำแหน่ง คิดถึงอนาคตของตัวเองและลูกชาย นางก็พบว่าเสียหน้านิดหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จึงแข่งใจตอบกลับไปว่า : ท่านอ๋องมีเวลาว่างติดต่อข้าได้เหรอ!
เหมียวอี้กล่าวทักทายตามมารยาท จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ชิงหยวนจุนติดต่อมาหาตนให้ฟัง สุดท้ายก็ถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่า : เหนียงเหนียงทราบเรื่องนี้หรือเปล่าขอรับ?
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ยังคงรักษาหน้าตาตัวเอง โดยเฉพาะจำนวนเงินที่ลูกชายตัวเองเอ่ยปากขอ แม้แต่นางก็ยังรู้สึกอายแล้ว พูดปิดบังว่า : ก็เคยได้ยินเรื่องที่เขาบอกว่าขัดสนเงินทองเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าจะไปหาท่านอ๋องแล้ว ช่างไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ ข้าจะต้องสั่งสอนเขาสักหน่อย ให้เขาสำรวมเสียบ้าง!
เหมียวอี้ : เหตุใดเหนียงเหนียงกล่าวเช่นนี้ล่ะ? ในเมื่อองค์ชายลำบาก อ๋องผู้นี้ก็มิอาจผลักหน้าที่ให้ผู้อื่น เหนียงเหนียงควรจะบอกข้าให้เร็วกว่านี้สิ! เหนียงเหนียงวางใจเถอะ ในเมื่อเหนียงเหนียงทราบเรื่องนี้แล้ว ข้าก็ไม่อาจนิ่งดูดาย ต่อให้ต้องทุบหม้อขายเหล็ก
แต่ก็ไม่อ่านปฏิบัติต่อองค์ชายไม่ดี เหนียงเหนียงโปรดบอกให้องค์ชายทราบ ว่าอ๋องผู้นี้จะหาทางรวบรวมเงินให้องค์ชายเป็นสองเท่า!
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วดีใจมาก จำนวนเงินมากขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะให้เป็นสองเท่างั้นเหรอ? น่าจะเพียงพอให้ลูกชายผ่อนคลายสถานการณ์ลำบากในตอนนี้ ชั่วพริบตานั้นนางก็กระปรี้กระเป่าทันที อารมณ์ดีแล้ว ตอบกลับไปว่า : ท่านอ๋องใส่ใจแล้ว! ในเมื่อเป็นความหวังดีจากท่านอ๋อง ข้าก็ขอบคุณแทนหยวนจุนแล้วกัน! ท่านอ๋องเป็นบุคคลที่มีอำนาจอิทธิพล ทั้งยังเป็นเพื่อนบ้านกับหยวนจุน เมื่อไหร่ที่ควรจะชี้แนะ ก็ต้องชี้แนะเขาให้มากๆ หน่อย
ตอนนี้นางเชื่อคำพูดของอวิ๋นจือชิวไปแล้วเก้าส่วน ยอมรับแล้วว่าตอนแรกเหมียวอี้มีความลำบากใจจริงๆ ไม่อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้ทรัพยากรที่มหาศาลขนาดนี้ ตอนนี้ราชินีสวรรค์อย่างนางช่วยอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ไม่มีมูลค่าให้ใช้ประโยชน์ ส่วนอีกหนึ่งส่วนที่ไม่เชื่อ ก็เป็นเพราะรู้สึกว่าก่อนหน้านี้ตัวเองเหมือนเสียเปรียบให้เหมียวอี้ ยังต้องดูผลที่ตามมาในภายหลังอีกว่าเหมียวอี้จะสนับสนุนพวกนางสองแม่ลูกต่อไปหรือเปล่า
เหมียวอี้ : ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าน้อยควรทำ เพียงแต่เรื่องนี้เหนียงเหนียงควรบอกให้องค์ชายเก็บเป็นความลับ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าฝ่าบาทจะถือข้อห้ามนี้
ปากก็พูดแบบนี้ แต่ในใจกลับเข้าใจชัดเจน ว่างเมื่อไหร่ที่ชิงหยวนจุนเริ่มใช้เงินฟุ่มเฟือย ประมุขชิงไม่สังเกตเห็นก็แปลกแล้ว
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ควรทำยังไง ใช่แล้ว เหมือนช่วงนี้ท่านอ๋องจะส่งสนมมาให้ฝ่าบาทไม่ใช่เหรอ? ท่านอ๋องไม่ต้องห่วง ในเมื่อเป็นคนของท่านอ๋อง ข้าจะดูแลแทนเอง!
นางทำแบบนี้เพื่อแสดงไมตรี ได้ทรัพยากรก้อนใหญ่มาจากอีกฝ่ายแล้ว จึงแสดงไมตรีให้ก่อน
เหมียวอี้ปาดเหงื่อทันที เจ้าไม่ดูแลก็ดีอยู่แล้ว พอเจ้าดูแลก็จะเผยพิรุธทันที ตอนนี้ประมุขชิงกำลังคิดกำจัดเขา มีหรือที่จะเปิดโปงความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายเร็วขนาดนี้ได้ ตอนนี้เขากำลังคิดหาทางแก้ปัญหาเรื่องนี้ ถึงรีบห้ามว่า : เหนียงเหนียง! สนมพวกนั้น ท่านปล่อยพวกนางไปเถอะ เหนียงเหนียงอย่าดูแลเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทจะสังเกตเห็น!
ในใจพึมพำคำว่า ตราบใดที่เจ้าไม่ไปหาเรื่องพวกนาง ก็เท่ากับเป็นการดูแลที่ดีที่สุดสำหรับพวกนางแล้ว
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ : ได้ ข้าเข้าใจแล้ว!
หลังจากทั้งสองฝ่ายติดต่อกันจบ นางก็ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม สงสัยตัวเองจะไม่มีประโยชน์ต่ออีกฝ่ายแม้แต่น้อยเลยจริงๆ ขนาดเป็นฝ่ายเสนอตัวช่วยเหลือก่อนก็ยังช่วยไม่ได้ จะไม่รู้สึกกลัดกลุ้มได้อย่างไร
แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี นางติดต่อลูกชายตัวเองทันที บอกว่าเหมียวอี้จะให้เงินเขาเป็นสองเท่า!
แต่ในใจเขาก็ยิ่งเกิดความสงสัย ว่าทำไมเพราะเรื่องนี้ไปถึงมารดาแล้วถึงกลายเป็นสองเท่าได้? อดไม่ได้ที่จะซักไซ้ : เสด็จแม่ ระหว่างท่านกับหนิวโหย่วเต๋อมีความลับอะไรกันแน่?
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตำหนิทันที : สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถามมาก สิ่งที่เจ้าต้องการ แม่จะพยายามหามาให้ ตั้งใจทำงานของตัวเองให้ดีก็พอ!
ที่ไม่บอกลูกชายก็เพราะนางเคยได้บทเรียนเพราะความล้มเหลวมาแล้ว ป้องกันเอาไว้สักหน่อย ลูกชายจะได้ไม่ถูกหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆ
หารู้ไม่ว่า เหมียวอี้ที่อยู่ในห้องหนังสือตอนนี้กลับนำสองแม่ลูกมาพูดคุยกับอีกสองหยางเหมือนเป็นเรื่องตลก ไม่เห็นสองแม่ลูกอยู่ในสายตาเลย นี่ก็คือขุนนางผู้มีอำนาจ!
หลังจากหัวเราะจบ เรื่องมอบทรัพยากรก้อนใหญ่ก็ให้หยางเจาชิงไปจัดการ แล้วปรึกษารายละเอียดกับหยางชิ่งเรื่องจับตัวหวังติ้งเฉาต่อ จากนั้นก็แจ้งไปหาคนของตัวเองที่อยู่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ว่าให้จับตาดูความเคลื่อนไหวของหวังติ้งเฉา รอโอกาสลงมือ!
ก่อนจะออกไปจากห้องหนังสือ หยางชิ่งเตือนไว้ว่า “ท่านอ๋อ ในเมื่อสองแม่ลูกติดเบ็ดแล้ว ทางทัพใหญ่แดนรัตติกาลก็ควรเริ่มให้ตระกูลเซี่ยโห้วแทรกซึมเข้าไปได้แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าชิงหยวนจุนไม่มีลูกน้องที่เชื่อฟังเลย ในอนาคตเกรงว่าเขาคงไม่มีความกล้าที่จะต่อต้านพ่อตัวเอง มีคนของท่านอ๋องให้ความร่วมมืออยู่ภายใน แล้วอาศัยวิธีการของตระกูลเซี่ยโห้วอีก ถ้าได้แทรกซึมเข้าไปก็น่าจะสำเร็จง่ายโดยไม่เปลืองแรง!”
เหมียวอี้ครุ่นคิดพลางพยักหน้า เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง…
ดาราจักรกว้างใหญ่ไพศาล ซุ้มประตูใหญ่อันทรงพลังน่าเกรงขามซึ่งฉลุลายจากดวงดาวขนาดใหญ่ ลอยอยู่ในอวกาศ ทหารสวรรค์วนเวียนเฝ้าอยู่ระหว่างนั้น ทหารสวมเกราะกลุ่มใหญ่กำลังลาดตระเวนอยู่โดยรอบ
ที่นี่ดูเหมือนมีเพียงอวกาศ นอกจากซุ้มประตูใหญ่ก็เหมือนจะไม่มีอย่างอื่นแล้ว แต่ที่จริงนี่คือทางออกจากวังสวรรค์ไปสู่อาณาเขตดาวภายนอก คนที่ออกมาจากฝั่งงวังสวรรค์ล้วนถูกพ่นออกมาที่อวกาศนี้ ด้วยเหตุนี้จึงมีกองทัพองครักษ์จำนวนมากเฝ้าไว้
บนดาวเคราะห์ที่รกร้างดวงหนึ่ง พระปีศาจหนานโปกับจั่วเอ๋อร์หลบอยู่ในนั้น มองดูความเคลื่อนไหวของอวกาศตรงประตูดวงดาวทางออกอยู่ไกลๆ การที่ทั้งสองเข้าใกล้จุดนี้ได้ก็ใช้ความพยายามไปไม่น้อยเช่นกัน
การที่พระปีศาจหนานโปถ่อมาถึงเขตแดนที่มีกำลังทหารหนาแน่นได้ ก็ย่อมมีเหตุผลอยู่แล้ว
ฝั่งเหมียวอี้กำลังวางแผนเรื่องช่วยมารดาของเฟยหง ฝั่งหนานโปกลับลงมือปฏิบัติจริงแล้ว หนานโปย่อมไม่บุกเข้าไปด้วยตัวเองอยู่แล้ว นอกเสียจากจะอยากรนหาที่ตาย
…………………