หวาดกลัวก็ส่วนหวาดกลัว สิ่งนี้กลับทำให้เหมียวอี้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายส่วนเช่นกัน ถ้าปานเยว่กงมีพลังที่สามารถจัดการนักพรตบงกชรุ้งได้ นั่นต่างหากที่น่ากลัวของจริง วิธีการสร้างภาพลวงตาแบบนี้ไม่เพียงพอให้เขากลุ้มใจ
เมื่อเห็นรอบข้างไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เหมียวอี้ก็ทำตัวเปิดเผยเสียเลย ขณะที่เหาะเสาะหาอยู่ทั่วป่า ก็ร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนไปตรงๆ เลยว่า “ปานเยว่กง…ปานเยว่กง…ปานเยว่กง…” ไม่ว่าจะไปถึงตรงไหน เสียงของเขาก็จะดังก้องไม่หยุด
พอทำแบบนี้ ไม่นานก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบแล้ว ในป่ามีเสียงดังแว่วมา “ใครกัน?”
ไม่รู้ว่าเสียงนี้มาจากไหน เหมียวอี้เหยียบลงบนพื้นแล้วตอบว่า “คนของตำหนักสวรรค์”
หลังจากฝ่ายตรงข้ามเงียบไปพักหนึ่ง ก็ถามว่า “ข้าไม่ได้คบค้ากับคนของตำหนักสวรรค์ มีธุระอะไรกับข้า?”
มาหาถูกคนแล้ว! เหมียวอี้ตอบว่า “มีเรื่องจะเจรจากับเจ้า”
อีกฝ่ายปฏิเสธ “ข้าว่าไม่ต้องหรอกมั้ง ข้าไม่เคยมีเรื่องกับคนของตำหนักสวรรค์เลย”
“ไม่เคยมีเรื่องจริงเหรอ?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม “เจ้าอย่าบอกเชียวนะว่าที่หลบหน้าไม่ยอมมาพบข้า เป็นเพราะเจ้าไม่รู้เรื่องในอดีตของฮูหยินตัวเอง”
ครั้งนี้อีกฝ่ายเงียบแล้วจริงๆ ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย
เหมียวอี้เชื่อว่าอีกฝ่ายเข้าใจความหมายที่ตัวเองสื่อ จึงบอกอีกว่า “ถ้าเป็นโชคก็ไม่ใช่หายนะ ถ้าเป็นหายนะก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องบางเรื่องก็เป็นสิ่งที่ต้องเผชิญหน้าแก้ไขในไม่ช้าก็เร็ว ข้ามาเพื่อให้โอกาสเจ้าสักครั้ง หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงด้วยดี”
“จบลงด้วยดี?” เสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง แต่กลับเจือด้วยความรู้สึกเหน็บแนมหลายส่วน “พวกเจ้ามาหาข้าถึงที่แล้ว ยังจะเจรจาต่อรองกันได้เชียวเหรอ?”
“ถ้าไม่อยากคุยกันดีๆ ข้าคงไม่มาหาเจ้าด้วยวิธีนี้ ข้ามาแค่คนเดียว แบบนี้ยังแสดงความจริงใจไม่ได้อีกเหรอ?” เหมียวอี้ยกมือขึ้นเช็ดตรงหว่างคิ้ว เช็ดโคลนซ่อนจิตออกไปแล้ว เผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งของตัวเอง แล้วหันหน้าไปรอบๆ “นี่ก็คือความจริงใจของข้า จะต้องการหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า ถ้าเจ้าไม่เต็มใจ ข้าก็จะไปทันที จะไม่เปลืองคำพูดอีก!” คำพูดนี้กลับมีความหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ เจ้ารับผลที่ตามมาเองแล้วกัน!
หลังจากในป่าเงียบไปพักหนึ่งอีกครั้ง เสียงของอีกฝ่ายก็ดังขึ้น “พาเขามา!”
มีเสียงต้นไม้ขยับ ต้นไม้โบราณที่อยู่ห่างออกไปหลายจั้งเขย่ากิ่งใบ แล้วกะพริบแสงสีขาวกลายเป็นชายชราคนหนึ่ง เดินเข้ามากุมหมัดคารวะด้วยความเคารพ “ขุนนางสวรรค์ เชิญตามข้ามา!”
เหมียวอี้พยักหน้า แล้วตามเขาไปทันที เหาะเข้าไปในป่าด้วยกัน ระหว่างทางเหมียวอี้ก็อยากจะจดจำเส้นทาง แต่จนใจที่หมอกหนาในป่าเหมือนจะมีคนควบคุม มันเปลี่ยนเป็นหนาแน่นขึ้นเรื่อยๆ มองเห็นได้ไม่ไกลเลย ไม่สามารถแยกแยะสภาพพื้นที่รอบๆ ได้
ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองก็มาเหยียบลงใต้ต้นไม้โบราณ โพรงใหญ่ใต้ต้นไม้เปิดออก เผยเส้นทางใต้ดินเส้นทางหนึ่ง เหมียวอี้เดินตามเข้าไป หลังจากเดินลงบันไดไปได้ไม่กี่ก้าว ก็พบว่าข้างในขาดแสงสว่าง พอหันกลับมามองข้างหลัง ก็พบว่าปากโพรงไม้เมื่อครู่นี้ปิดสนิทแล้ว
ในใจเกิดความระมัดระวังตัวอย่างสูง แต่จังหวะการก้าวเท้ากลับยังไม่ช้าลง มองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ งามสง่าผ่าเผย ก้าวยาวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
ใต้ดินราวกับเป็นเขาวงกต บนทางเดินจะเห็นเถาวัลย์อยู่เป็นระยะ เห็นได้ชัดเจนว่าถูกควบคุมโดยผู้ที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุดิน เส้นทางข้างหลังถูกปิดสมานเป็นระยะ ชั้นดินที่อยู่ข้างหน้าก็ละลายอยู่เป็นระยะเช่นกัน สังเกตเห็นได้ว่าลงมาถึงชั้นใต้ดินที่ลึกมากแล้ว
พอเดินไปได้พักใหญ่ ข้างหน้าก็ปรากฏแสงสว่าง สวนป่าใต้ดินแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น ดอกไม้ใบหญ้าประหลาดนานาชนิดที่งอกอยู่ใต้ดินส่งกลิ่นหอม มีพืชเรืองแสงปะปนอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง ทำให้ที่นี่มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่ด้อยไปกว่าทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิบนพื้นดินเลยจริงๆ
เงียบเชียบไร้เสียง! ไม่รู้ว่าเดิมทีสวนป่าใต้ดินเงียบเชียบไร้เสียงอยู่แล้ว หรือว่าเงียบเชียบหลังจากที่เหมียวอี้เข้ามา
เหมียวอี้มองไปรอบๆ ด้วยสายตาเย็นเยียบ สายตาไปหยุดอยู่บนแท่นบันไดของโถงหลักตรงหน้า เป็นชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีขาวที่ผอมสูงคนหนึ่ง ที่ยืนอยู่ข้างกันคือสตรีรูปร่างเย้ายวนใจที่สวมชุดกระโปรงเขียว ผิวขาวบริสุทธิ์เป็นพิเศษ หน้าตาสวยสดใสมาก
หลังจากสมุนปีศาจพาคนมาถึง ชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นก็เอียงศีรษะเล็กน้อย สมุนปีศาจจึงพยักหน้าแล้วถอยไป
เหมียวอี้ก้าวขึ้นไปโดยไม่ต้องเชิญ เดินขึ้นบันไดไปโดยตรง มุ่งเข้าไปหาสองคนที่อยู่บนบันได ลักษณะท่าทางเหมือนพร้อมจะเกลี้ยกล่อม
สองคนที่อยู่บนบันไดสบตากันแวบหนึ่ง ความรู้สึกค่อนข้างหนักอึ้ง เหมียวอี้สร้างความกดดันให้พวกเขาไม่น้อย เป็นเพราะในหลายปีมานี้ยังไม่เคยมีใครบุกเข้ามาในป่าลืมทุกข์แล้วไม่ติดกับดัก แต่คนคนนี้กลับเหมือนไม่เป็นอะไรเลย เดินเพ่นพ่านไปทั่วป่าลืมทุกข์ได้เหมือนเดิม มีวรยุทธ์แค่บงกชทองขั้นหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าเข้ามาเสี่ยงอันตรายคนเดียว ถ้าไม่ใจกล้าก็แสดงว่าต้องมีที่พึ่ง!
ทั้งสองหลีกซ้ายหลีกขวา แล้วชายหนุ่มก็ยื่นมือเชิญ “เชิญ!”
เหมียวอี้มองทางข้างหน้าโดยไม่ละสายตา เกราะรบสีทองบนตัวมีความน่าเกรงขามและมีสง่าราศี
พอเข้ามาในโถงหลัก เจ้าบ้านและแขกนั่งลง ปีศาจลูกสมุนก็นำน้ำชามาวาง เหมียวอี้เหลือบตาขึ้นมองสตรีที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งนายหญิง แล้วถามเสียงเรียบว่า “เจ้าคือซูลู่เอ๋อร์เหรอ?”
สตรีชุดเขียวพยักหน้าเบาๆ “เป็นข้า! ซูลู่เอ๋อร์คืออดีตไปแล้ว เรื่องในอดีตย้อนกลับมาไม่ได้ ตอนนี้เป็นชิงเหมย” สายตาที่มองเหมียวอี้กลับแฝงไปด้วยความกังวลอย่างที่ยากจะปิดบังได้
“ปานเยว่กง?” สายตาเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนตัวชายที่เป็นเจ้าบ้าน
ปานเยว่กงเพียงขานรับคำเดียว เขาไม่อยากพูดอะไรมากกับเหมียวอี้ จึงถามตรงๆ เลยว่า เจ้ามีวิธีจะจบเรื่องนี้ดีๆ ยังไง?”
สายตาเหมียวอี้ไปหยุดอยู่บนตัวชิงเหมย “หัวหน้าภาคคนหนึ่งของตำหนักสวรรค์คืออดีตสามีเจ้า เจ้าโลภสมบัติจึงฆ่าเขาใช่มั้ย?”
ชิงเหมยตอบกลับอย่างใจเย็นว่า “ข้าฆ่าเจ้าจริงๆ แต่ไม่ได้ฆ่าเพื่อปล้นสมบัติ ในตอนแรกที่ข้ามอบร่างกายให้เขา เดิมทีคิดว่าจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า แต่ใครจะคิดว่าเขาหน้าคนใจสัตว์ เพื่อที่จะเอาใจขุนนางระดับบน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะสั่งให้ข้าไปปรนนิบัติบนเตียงให้พวกนั้น ถึงข้าจะเป็นปีศาจ แต่ก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน จะให้ทนรับความอัปยศนี้ได้อย่างไร ภายใต้ความปวดร้าวเศร้าใจ ข้าเลยฉวยโอกาสสังหารตอนที่เขาไม่ระวังตัว ตอนหลังจึงหลบหนีออกมา แต่ตอนที่ข้าหนีมา ข้าไม่ได้แตะต้องสมบัติของเขาเลยสักส่วน ถ้าเจ้าไม่เชื่อข้าก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน”
คำพูดนี้ควรจะพูดให้มู่หรงซิงหัวฟังสักหน่อยนะ เหมียวอี้พึมพำในใจ แล้วบอกว่า “ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง งั้นข้าก็เห็นใจเจ้ามาก ถ้าจะโทษก็ต้องโทษตัวเจ้าเองที่ตาถั่วไปเจอคนไม่ดี ส่วนคำพูดของเจ้าจะจริงหรือเท็จนั้นไม่สำคัญ ข้าจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่สำคัญเหมือนกัน ที่สำคัญคือเจ้าฆ่าเขาไปแล้ว ขุนนางที่รับคำสั่งจากตำหนักสวรรค์ จะยอมให้เจ้าบุ่มบ่ามตั้งศาลเตี้ยลงโทษเสียเองได้อย่างไร! ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ครั้งนี้เจ้าอยู่ในรายชื่อจับกุมแล้ว ตำหนักสวรรค์เปิดฉากสะสางคดีค้างแล้ว ครั้งนี้ต้องพาเจ้ากลับไปปิดคดีให้ได้!”
ชิงเหมยเงียบไป นางเองก็เข้าใจเช่นกัน สิ่งที่นางเจอคือความโชคร้ายของนางคนเดียว อย่างมากคนนอกก็แค่เห็นใจ แต่กลับไม่สนใจความเป็นความตายของนาง สำหรับตำหนักสวรรค์ นางก็เป็นแค่มดตัวหนึ่ง มดที่โชคร้ายในโลกนี้มีเยอะเกินไป ใส่ใจได้ไม่ทั่วถึง สิ่งที่ตำหนักสวรรค์สนใจก็คือนางได้ทำผิดกฎสวรรค์หรือเปล่า!
ซ่อนตัวมาหลายปีขนาดนี้แล้ว เดิมทีนางนึกว่าเรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว ก่อนหน้านี้นางก็ได้ยินข่าวว่าตำหนักสวรรค์จะจับตัวนักโทษหลบหนีเหมือนกัน แต่ไม่ได้คิดว่าจะสาวมาถึงตัวนางได้ เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะถามด้วยสีหน้ากังวล “คนชั่วที่ทำความผิดร้ายแรงในใต้หล้ามีตั้งเยอะ ทำไมต้องคอยจ้องตัวละครเล็กๆ ที่ไม่สำคัญอย่างข้าไม่ยอมปล่อย?”
เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบว่า “สำหรับตำหนักสวรรค์ เจ้าเป็นตัวละครที่ไม่สำคัญจริงๆ ตอนที่ไม่มีใครถามถึง เจ้าก็เป็นแค่ตัวละครเล็กๆ ถึงขั้นไม่มีใครนึกถึงเจ้าด้วยซ้ำ แต่พอมีคนถามถึงขึ้นมา เจ้าก็คือคนหนึ่งที่อยู่บนรายชื่อของนักโทษหลบหนี เหตุผลนี้คงไม่ต้องให้ข้าพูดมากหรอกนะ”
“พวกเราสองสามีภรรยาไม่ได้มาฟังเจ้าอธิบายเหตุผล เจ้าว่ามาเถอะ ต้องทำอย่างไรถึงจะจบเรื่องนี้แบบดีๆ ได้?” ปานเยว่กงถาม
เหมียวอี้ตอบอย่างใจเย็น “ส่งตัวนางมา ให้ข้าพานางกลับไปจบเรื่องนี้ ข้ารับรองว่าเรื่องของฮูหยินจะไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนไปด้วย เจ้าคิดว่าอย่างไร เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
ปั้ง! ปานเยว่กงตบโต๊ะยืนขึ้น และตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “จบลงด้วยดีบ้าอะไรล่ะ! เจ้ากล้ามาล้อเล่นกับข้า อย่านึกว่าเจ้าเป็นคนของตำหนักสวรรค์แล้วข้าจะกลัวเจ้านะ วรยุทธ์แค่บงกชทองแต่กล้ามาทำเหิมเกริมที่นี่ ข้าว่าเจ้าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วล่ะมั้ง!”
คุยกันไม่ถูกคอ ครึ่งคำก็มากเกิน เขาจะลงมือภายใต้ความเดือดดาล แต่กลับโดนหยินชิงเหมยดึงแขนไว้
นางชำเลืองเหมียวอี้ที่นั่งดื่มน้ำชาด้วยสีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่ง แล้วโน้มน้าวสามีอย่างขื่นขมใจ “ท่านสามี ในเมื่อเขามาแล้ว ก็คุยเรื่องนี้ให้ชัดเจนกันไปเลย”
ใช่ว่านางจะไม่เคยคลุกคลีกับคนของตำหนักสวรรค์มาก่อน ที่จริงในปีนั้นที่นางเป็นอนุภรรยาของหัวหน้าภาค นางก็เคยคลุกคลีมาไม่น้อย แต่คนที่มีลักษณะการทำงานแบบเหมียวอี้ นางยังไม่เคยเจอมาก่อน โดยเฉพาะคนวรยุทธ์บงกชทองขั้นหนึ่งที่กล้าบุกเข้ามาในป่าลืมทุกข์ ทั้งยังบุกเดี่ยวโดยไม่ตื่นตกใจก็ยิ่งพบได้น้อย จู่ๆ นางก็รู้สึกกดดันว่าจะรอดพ้นหายนะครั้งนี้ไปได้ยาก!
ปานเยว่กงจับเขนนาง แล้วกล่าวด้วยอารมณ์ที่ฮึกเหิมผิดปกติ “การส่งเจ้าไปตาย คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด เจ้าหลีกไป ข้าจะเอาชีวิตขุนนางสุนัขตัวนี้!”
เหมียวอี้เหล่ตามองปฏิกิริยาของชิงเหมย พร้อมครุ่นคิดในใจว่า สงสัยจุดเปลี่ยนแปลงจะอยู่บนตัวของผู้หญิง จึงกล่าวเสียงเรียบว่า “สังหารข้าอาจจะง่าย แต่ผลของการสังหารข้ากลับไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะรับไหว ถ้าข้าไม่กลับไปตามกำหนดเวลา ตำหนักสวรรค์ก็จะส่งกำลังพลมาล้อมที่นี่ทันที!”
ปานเยว่กงที่กำลังถูกชิงเหมยห้ามอย่างสุดชีวิตชี้เหมียวอี้พร้อมตะคอก “ขุนนางสุนัข! เจ้าอย่ามาขู่ข้าเลย อย่านึกว่าข้าไม่รู้นะ พวกเจ้าเป็นผู้บัญชาการมากันหนึ่งพันคน กระจายกันไล่จับนักโทษหนึ่งร้อยคน แค่ทหารกระจอกไม่กี่คน ยังจะกล้าบอกว่าล้อมโจมตีอีก ยังไม่รู้เลยว่าใครจะโจมตีใครกันแน่!”
มารดาเจ้าเถอะ! เหมียวอี้แอบด่าแม่ในใจ คนยังไม่ทันมาถึง แต่ข่าวหลุดออกมาเละเทะหมดแล้ว นี่ไม่ใช่การวางกับดักหรอกเหรอ
แต่เขาก็รู้ว่านี่คือเรื่องที่ไม่มีทางเลือก มีคนมาเข้าร่วมการทดสอบมากมายขนาดนั้น เมื่อมีหลายปากก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะมาข่าวหลุด
เหมียวอี้ลุกขึ้นยืน “เจ้ารู้แค่ว่าจะมีผู้บัญชาการมาหนึ่งพันคน แต่กลับไม่รู้ว่านี่เพิ่งเป็นการเปิดฉากเริ่มต้น เมื่อครู่นี้ข้าก็บอกไปแล้ว ว่าตำหนักสวรรค์เปิดฉากสะสางคดีคั่งค้างแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีการจับกุมครั้งนี้เกิดขึ้นหรอก เจ้าอาจจะรอดพ้นการจับกุมของผู้บัญชาการหนึ่งพันคน แต่ถ้ารอการกวาดล้างอย่างเป็นทางการในภายหลังขายตัว เจ้าคิดว่าจะหนีไปได้ได้ล่ะ?”
ปานเยว่กงแสยะยิ้มชั่วร้าย “ขุนนางสุนัข อย่านึกนะว่าการที่ตำหนักสวรรค์ปิดล้อมทางเข้าออกไว้แล้วจะทำอะไรได้ จักรวาลกว้างใหญ่ขนาดนั้น ถ้าฆ่าขุนนางสุนัขอย่างเจ้าไปสักคน ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าใครจะตามหาพวกเราเจอจากดาราจักรอันกว้างใหญ่นี้!” พูดจบก็หันกลับมา “ฮูหยิน ในเมื่อตำหนักสวรรค์หาเจ้าพบแล้ว งั้นก็อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้ ฆ่าเขาซะ แล้วเราก็หนีไปทันที จักรวาลกว้างใหญ่ไพศาล ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเราจะหาที่อยู่ไม่ได้”
เหมียวอี้ “จักรวาลนั้นกว้างใหญ่ ถ้าหาที่อยู่ไม่ได้ขึ้นมาก็น่าเวทนามาก ถ้าตายตอนที่กำลังร่อนเร่พเนจรก็เป็นเรื่องปกติมาก ถ้าเป็นที่ที่สามารถหาพบได้ง่ายๆ ที่จริงก็ลำบากเหมือนกันนะ เพราะถ้าเจ้าหาพบได้ง่ายๆ สักวันตำหนักสวรรค์ก็จะหาพบได้เหมือนกัน ถ้าเจ้ารอดไปได้ครั้งนี้ ก็จะต้องกลายเป็นเป้าหมายที่ตำหนักสวรรค์สนใจเป็นพิเศษแน่นอน ตำหนักสวรรค์จะไม่มีวันเลิกจับกุมเจ้าแน่ๆ จะหยุดก็ต่อเมื่อลงโทษเจ้าได้!”
เหมียวอี้มองชิงเหมยแล้วถามอีกว่า “ซูลู่เอ๋อร์ เจ้าได้ยินชื่อนี้แล้วรู้สึกอย่างไรบ้างล่ะ? เจ้าเองก็บอกว่า ว่าเรื่องในอดีตไม่มีทางย้อนกลับมาได้ รสชาติของการหลบซ่อนอย่างหวาดระแวงมันแย่มากเลยใช่มั้ย? หรือเจ้าอยากจะดึงให้สามีลิ้มลองรสชาตินี้ไปกับเจ้าด้วย? และข้ารับรองได้เลยว่าสามีเจ้าหนีไม่พ้นจากดาววิงวอนชีวิตหรอก รับรองว่าเขาจะต้องตายอย่างอนาถเพราะเจ้าแน่ๆ!” เหมียวอี้พูดประโยคสุดท้ายอย่างแน่ใจที่สุด
…………………………