“ดาวดวงเล็กระยิบระยับนั่นใช่ที่ที่พวกเราอยู่หรือเปล่า!” มู่น่าส่งเสียงตื่นตะลึง ดวงตาโตเปล่งประกายมองไปรอบๆ แปลกใจกับทุกสิ่งทุกอย่าง เหมือนกับเด็กที่เพิ่งเกิดใหม่
ศีลแปดจูงมือนาง หัวเราะเอิ๊กอ๊าก คอยชี้อธิบายตลอดทางว่าหมอกดาวที่เหมือนภาพมายาตรงไหนที่เข้าใกล้ได้ ตรงไหนที่อาจมีอันตรายต้องหลบเลี่ยง ให้มู่น่าเข้าใจว่าต่อให้วรยุทธ์สูงกว่านี้ แต่ยามเผชิญหน้ากับความแปลกประหลาดยากคาดเดาในดาราจักรอันกว้างใหญ่ วรยุทธ์แค่นี้ก็เล็กน้อยจนไม่มีค่าพอให้เอ่ยถึงเลย เมื่อเทียบกับจักรวาล พลังของนักพรตเล็กน้อยมากจริงๆ
มู่น่าอุทานอย่างตื่นตะลึงเป็นระยะ บางครั้งก็หัวเราะ นางมีความสุขมาก ราวกับปีศาจเอลฟ์น้อยตนหนึ่งที่โบยบินอย่างมีความสุขอยู่ในจักรวาล
ทว่าท่ามกลางความลึกลับเหมือนจะมีมือยักษ์ล่องหนที่ควบคุมทุกสิ่ง มองข้ามเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาของทุกคน มองข้ามอารมณ์ความรู้สึกทุกข์สุขของทุกคน
การพบเจอที่ไม่คาดฝันมาเยือนอย่างนี้แล้ว
“ข้างหลังพวกเราเหมือนจะมีคน” มู่น่าที่มองไปรอบๆ พลันร้องอย่างตกใจ
“มีคนเหรอ?” ศีลแปดรีบหันกลับไปมองแวบหนึ่ง มีเงาคนรางๆ กลุ่มหนึ่งกำลังเหาะมาทางนี้จริงๆ อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เพราะนี่คือทางลับ จะมีคนได้อย่างไร? เขาตระหนักได้ถึงเรื่องบางอย่างทันที พี่ใหญ่ก็เข้าร่วมงานบุญแดนสุขาวดี อย่าบอกนะว่าพี่ใหญ่มาแล้ว?
พอนึกถึงตรงนี้ ศีลแปดก็ตกใจทันที แอบร้องว่าคงไม่โชคร้ายขนาดนี้กระมัง ถ้าโดนพี่ใหญ่จับได้จะไม่แย่หรอกหรือ?
“เร็วเข้า พาข้าเหาะไปทางนั้น พวกเราหลบหน่อยดีกว่า!” ศีลแปดถ่ายทอดเสียงบอกมู่น่า ไม่มีทางเลือก วรยุทธ์ของเขาไม่มีความก้าวหน้าอะไร ส่วนมู่น่าก็ได้รับทรัพยากรฝึกตนจากคนทั้งเผ่าปีศาจ ได้เคล็ดวิชาฝึกตนที่ดีที่สุดในเผ่าปีศาจเช่นกัน วรยุทธ์ถึงระดับบงกชกลายแล้ว เหนือกว่าศีลแปดไกลมาก ถ้าไม่ใช่เพราะหลายปีมานี้มู่น่าถูกศีลแปดที่ไม่ยอมสงบใจฝึกตนหลอกไปเที่ยวเล่น วรยุทธ์อาจจะสูงกว่านี้อีก
มู่น่าเชื่อฟังเขาทันที จูงมือเขาไว้ แล้วรีบเปลี่ยนวิถีเหาะ เหาะเบี่ยงทิศทางไปแล้ว เตรียมรอให้คนพวกนี้ไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ถ้าศีลแปดรู้จักจั่วเอ๋อร์ ก็อาจจะจำได้ว่าคนข้างหลังคือใคร เพราะคนที่อยู่ข้างหลังก็คือพวกจั่วเอ๋อร์ แต่ต่อให้ศีลแปดรู้จัก แต่ก็มีความเป็นไปได้ต่ำมากที่เขาจะจำจั่วเอ๋อร์ได้ เพราะตอนนี้จั่วเอ๋อร์ปลอมตัวแล้ว
ด้วยวรยุทธ์ของจั่วเอ๋อร์ ก็ย่อมพบแล้วว่าข้างหน้ามีคน ทว่านางไม่เคยเจอศีลแปดเลย ไม่รู้ด้วยว่าศีลแปดคือใคร เพียงแปลกใจเล็กน้อยว่าเส้นทางลับนี้มีคนได้อย่างไร พระปีศาจบอกว่าไม่มีใครรู้ไม่ใช่เหรอ?
จั่วเอ๋อร์ให้ทุกคนผ่อนความเร็ว ไม่กล้าประมาทเช่นกัน เชิญพระปีศาจที่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ออกมา แล้วรายงานสถานการณ์ให้ฟัง
“มีคนเหรอ?” หนานโปรู้สึกแปลกใจเช่นกัน ใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป เหมือนจะเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ผู้ชายเหมือนจะเป็นพระรูปหนึ่ง
“ผู้อาวุโส ดูจากเส้นทางการเหาะ น่าจะไม่ได้หลงข้ามา แต่รู้เรื่องเส้นทางลับนี้แล้ว เหมือนจะสังเกตเห็นพวกเราแล้วก็เลยเปลี่ยนเส้นทาง เหมือนจงใจหลบพวกเรา” จั่วเอ๋อร์กล่าว
หนานโปถามเสียงต่ำ “พวกเขาจำพวกเราได้เหรอ?” เขาไม่อยากให้ข่าวที่ตัวเองเข้ามาซ่อนตัวในแดนสุขาวดีเล็ดรอดสู่ภายนอก
“พวกเราปลอมตัวแล้ว น่าจะไม่มีใครจำได้ง่ายๆ” จั่วเอ๋อร์ตอบ
หนานโปเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “ข่าวที่พวกเรามาที่นี่จะเล็ดรอดไม่ได้ ตามไปดูว่าเรื่องเป็นยังไงกันแน่ ดูว่าเป็นใครไปสืบให้ข้าว่าข่าวหลุดหรือยัง”
ไม่ต้องบอกเลย ไม่ว่าสองคนข้างหน้าจะปล่อยข่าวหรือเปล่า แต่ถ้าตกอยู่ในมือของเขาแล้ว เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้สองคนนี้รอดออกไปได้
“ตาม!” จั่วเอ๋อร์โบกมือสั่ง กำลังพลที่อยู่ฝั่งนี้เร่งความเร็วสุดขีดมุ่งหน้าไปทันที ไล่ตามไปอย่างรวดเร็ว
อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขา มู่น่ากับศีลแปดเทียบความเร็วไม่ติดเลย ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็ว
“พวกเขาเหาะเร็วมาก เปลี่ยนทิศทางแล้ว เหมือนกำลังไล่ตามพวกเราอยู่เลยนะ” มู่น่าแปลกใจ ไม่รู้จักความอันตรายชั่วร้ายในสังคม ไม่ได้ตระหนักถึงอันตรายที่มาเยือนเลยสักนิด
“หา!” ศีลแปดที่กำลังฉุกละหุกเปลี่ยนโฉมปลอมตัวหันกลับไปมองแวบหนึ่ง แอบร้องขื่นขมทันที ไม่ว่าจะใช่พี่ใหญ่หรือไม่ แต่เขาก็ไม่อยากตกอยู่ในมืออีกฝ่าย เขากวาดสายตามองซ้ายมองขวา ชี้บนดาวเคราะห์รกร้างที่อยู่ใกล้ๆ พวกเราไปหลบที่ดาวเคราะห์ดวงนั้นกันเถอะ
มู่น่ารีบพาเขาเหาะไป อ้อมไปที่ด้านหลังของดาวเคราะห์รกร้างดวงนั้น ทั้งสองหนีหายเข้าไปเร็วมาก เข้าไปหาถ้ำหลบมั่วๆ
แทบจะเป็นชั่วพริบตาเดียวที่พวกเขาเพิ่งซ่อนตัว พวกจั่วเอ๋อร์อ้อมมาถึงอีกฝั่งของดาวเคราะห์ดวงนี้แล้ว พอทอดสายตามองไปก็ไม่เห็นใคร และไม่เห็นใครอยู่ในดาราจักรด้วย
จั่วเอ๋อร์บอกกับพระปีศาจที่อยู่ข้างๆ ว่า “ผู้อาวุโส พวกเขาหลบแล้ว ดาวเคราะห์ใหญ่ขนาดนี้ ถ้าจะตามหาก็ต้องใช้เวลาอยู่บ้าง”
“ลงไป!” หนานโปออกคำสั่ง หลังจากทุกคนถลันตัวลงไปเหยียบบนยอดเขาแห่งหนึ่งแล้ว หนานโปก็กล่าวเสียงเรียบอีกว่า “ให้ทุกคนปิดประสาทสัมผัสทั้งหก!”
ทุกคนรีบร่ายอิทธิฤทธิ์ปิดประสาทสัมผัสทั้งหกของตัวเอง
หนานโปประนมมือสองข้าง ขยับปากพึมพำเล็กน้อย “มีมานีโอม…”
มนต์คร่าชีวิต? ศีลแปดที่หลบอยู่ในถ้ำตัวสั่น ในหัวมีเสียงเสียงสวดมนต์ดังก้อง รีบรวบรวมสมาธิต้านไว้ เขาคุ้นเคยกับความเคลื่อนไหวนี้ดีที่สุด ตระหนักได้ทันทีว่าตัวเองเจอกับใคร เรียกได้ว่าแอบร้องคร่ำครวญซ้ำๆ คงไม่ซวยขนาดนี้หรอกใช่มั้ย โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอกับพระปีศาจหนานโปแล้ว?
เขาไม่มีทางจินตนาการได้ว่าถ้าตกอยู่ในมือพระปีศาจหนานโปแล้วผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร นึกถึงตอนแรกที่ควบคุมพระปีศาจไว้หลายปีขนาดนั้น ถูกเขาทรมานอย่างทารุณ ปีศาจเฒ่านั่นจะไม่เอาคืนสิบเท่าร้อยเท่าหรอกเหรอ รับไม่ไหวหรอก!
สิ่งที่ทำให้เขากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือ ข้างกายเขาพามู่น่ามาด้วย อีกทั้งมู่น่ายังอุ้มท้องลูกของเขา อย่างมากเขาก็โดดเดี่ยวอยู่คนเดียว ก่อเรื่องคนเดียวรับผิดชอบคนเดียว แต่ปีศาจเฒ่าคงไม่คิดอย่างนี้แน่ ถ้าให้มู่น่าตกอยู่ในมือพระปีศาจจริงๆ แล้วเขาควรจะทำอย่างไรดี!
แบบนั้นเขาไม่กล้าคิดถึงผลที่ตามมาเลยจริงๆ ทั้งชีวิตนี้ไม่เคยหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน เขาแค้นตัวเองที่ในเวลานี้ทำไมไม่ตั้งใจฝึกตน ทำไมไม่เชื่อฟังพี่ใหญ่แล้วฝึกตนอย่างจริงจัง ไม่อย่างนั้นต่อให้โจมตีไม่ชนะแต่ก็หนีออกมาได้!
มู่น่าที่อยู่ข้างกายตัวสั่นสะท้าน ศีลแปดรีบหันกลับไปมอง เห็นเพียงมู่น่าตกอยู่ในสภาพเหม่อลอย กำลังเดินโซเซไปข้างนอก
ศีลแปดอกสั่นขวัญแขวน รีบใช้วิชาดัชนีจิ้มเป็นกากบาทบนศีรษะมู่น่า แสดงสีหน้าผุดผ่องไร้ราคี ปากท่องว่า “มิใช่มารมิใช่เคราะห์ ไม่ยึดติดไม่เพ้อฝัน ไร้ฝุ่นไร้ราคี ไม่สัมผัสไม่คล้อยตาม อย่ารักอย่าโกรธ ยากจะหาจุดเริ่มต้น ยากจะหาจุดจบ หยิบยื่นบุปผา เป็นเพียงฝันฉากหนึ่ง…” จนกระทั่งรู้สึกว่ามู่น่าได้สติกลับมาแล้ว ก็รีบกำชับว่า “มู่น่า อย่ารับอิทธิพลจากสิ่งภายนอก เจ้าจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ ขอเพียงรวบรวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียว มารปีศาจยากรุกราน นั่งลง! รวบรวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียว อย่ามีความคิดฟุ้งว่าน!”
มู่น่าเชื่อฟังเขามาก นั่งสมาธิตามคำสั่ง ทั้งตัวอยู่ในความสงบ ไม่ได้รับอิทธิพลจากอารมณ์ฟุ้งซ้านแล้ว
ศีลแปดที่นั่งขัดสมาธิเป็นเพื่อนนางกลับไม่กล้าประมาท ใช้วิชาดัชนีสัมผัสอยู่บนศีรษะมู่น่าตลอด ขณะเดียวกันก็หยิบระฆังดารามาติดต่อเหมียวอี้ รีบขอความข่วยเหลือจากพี่ใหญ่
มาจนป่านนี้แล้ว ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเขาก็ยังไม่เป็นไร แต่นี่เกี่ยวข้องกับชีวิตของมู่น่าและลูกในท้องมู่น่า สำหรับเขาแล้ว ชีวิตนางและลูกสำคัญกว่าชีวิตเขาเสียอีก เขาไม่ได้สนใจอะไรมากขนาดนั้น ให้พี่ใหญ่รู้ก็ให้รู้ไปเถอะ ขอเพียงปกป้องมู่น่าได้ก็พอแล้ว ถ้าไม่มีลูกแล้ว วันหลังก็ยังมีใหม่ได้ แค่ให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักที่สุดไม่เป็นอะไรไปก็พอ กลับไปแล้วพี่ใหญ่จะทำโทษอย่างไรก็ได้
มาถึงขั้นนี้แล้ว เขาทำได้เพียงขอความข่วยเหลือเร่งด่วนจากเหมียวอี้ ไม่มีทางไปหาคนอื่นได้แล้วจริงๆ ผลที่ตามมาหลังจากอวี้หลัวช่ารู้ความจริง แล้วอวี้หลัวช่าก็ไม่รู้จักเส้นทางนี้ด้วย คนที่เขารู้จักมีแค่พี่ใหญ่ที่รู้ดีที่สุด และมีเพียงพี่ใหญ่ที่ตามมาถึงที่นี่ได้ ไม่ให้ไปหาเหมียวอี้แล้วจะไปหาใคร?
ในเวลานี้ เหมียวอี้กลายเป็นเพียงความหวังเดียวของเขาแล้ว ดูจากความเร็วที่อีกฝ่ายตามมาทันก็เข้าใจ ล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งนั้น ตัวเองหนีไม่พ้นเลย ทำได้เพียงหวังว่าอำนาจมหาศาลของพี่ใหญ่จะช่วยเขาได้
ในจวนอ๋องสวรรค์หนิว เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวกำลังเดินเล่นช้าๆ อยู่ระหว่างตึกศาลา กำชับเรื่องที่อวิ๋นจือชิวต้องระวัง ก่อนที่เขาจะออกเดินทาง ก็มีเรื่องบางเรื่องที่ต้องเตรียมการไว้ก่อน
“ศีลแปดส่งข่าวมาแล้ว” เหมียวอี้หิ้วระฆังดาราออกมา ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร ยังนึกว่าศีลแปดจะมาระบายทุกข์กับตัวเองเสียอีก เตรียมตัวจะสั่งสอนศีลแปดแล้ว
อวิ๋นจือชิวเม้มปากยิ้ม ดูจากที่เหมียวอี้เลิกคิ้วก็เดาออกแล้วว่าศีลแปดกำลังจะโดนด่า น้องชายคนนั้นก็มาบ่นกับนางบ่อยๆ บอกว่าอยู่ที่นั่นอุดอู้อยู่ที่นั่นมานานเกินไป นางเองก็ทำได้เพียงใช้คำพูดดีๆ โน้มน้าว บอกประมาณว่าลำบากก็เพื่อจะอยู่เหนือคนอื่น
หารู้ไม่ ว่านี่คือวิธีการที่ศีลแปดใช้ตบตาพวกเขามาตลอด
เหมียวอี้ตอบกลับประโยคแรกว่า : เป็นอะไรอีก?
ใครจะคิดว่าศีลแปดกลับตอบว่า : พี่ใหญ่ ช่วยข้าด้วย รีบช่วยข้าด้วย ข้าเจอพระปีศาจหนานโปแล้ว!
เหมียวอี้ตกตะลึง นึกว่าพระปีศาจไปหาที่คลังซ่อนสมบัติสำนักหนานอู๋ รีบถามว่า : ตอนนี้เจ้าอยู่ตรงไหน?
อวิ๋นจือชิวเห็นปฏิกิริยาของเหมียวอี้ โดยเฉพาะสีหน้าเครียดกังวลของเหมียวอี้ที่ทำให้นางปวดใจไปด้วย ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรที่ทำให้ผู้ชายของตัวเองตอบสนองมากขนาดนี้
ศีลแปด : บนทางลับไปแดนสุขาวดีไง! พี่ใหญ่ จะมีคนตายแล้ว รีบมาช่วยข้า!
เหมียวอี้ชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถามว่า : เจ้าไม่ได้ฝึกตนอยู่ที่คลังซ่อนสมบัติเหรอ? ทำไมไปเจอเขาบนทางไปแดนสุขาวดีได้ล่ะ?
ศีลแปด : พี่ใหญ่ ทั้งหมดล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าทนเหงาไม่ไหวแอบหนีออกมาเที่ยวเล่น ใครจะคิดล่ะว่าจะซวยเจอปีศาจเฒ่านั่น! เดี๋ยวกลับไปข้าค่อยอธิบายกับท่าน ข้าซ่อนตัวได้อีกไม่นานแล้ว เขาใกล้จะเจอข้าแล้ว รีบมาช่วข้า!
“เวรตะไล!” เหมียวอี้อดไม่ไหวด่าออกมา โมโหศีลแปดจนแทบกระอักเลือด แต่ศีลแปดก็พูดไว้ไม่ผิด ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเล็กคิดน้อย เหยียนซิวก็อยู่ระหว่างทางไปที่นั่นเหมือนกัน บางทีอาจจะไปทัน เขารีบถามว่า : บอกให้ละเอียดหน่อย อยู่ตรงไหนกันแน่?
ศีลแปด : เส้นทางนี้ไม่ได้อยู่บนแผนที่ดาว ไม่มีทางอธิบายโดยละเอียดได้ ข้ารู้แค่ว่าอยู่ใกล้ๆ ช่วงกลางของเส้นทาง
เหมียวอี้ : เจ้าพยายามถ่วงเวลาไว้ กำลังพลของข้ากำลังจะไปถึงแล้ว!
ศีลแปด : พี่ใหญ่ ให้ข้าเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่านก็ได้ ท่านต้องช่วยข้านะ ข้า…
เหมียวอี้ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับเขา รีบติดต่อเหยียนซิวอีก บอกรายละเอียดให้ฟัง ให้เหยียนซิวรีบพาคนไปช่วยเหลือ
เหยียนซิว : ท่านอ๋อง ไม่มีตำแหน่งโดยละเอียดเหรอ?
เหมียวอี้เดือดดาลมาก : หาวิธีตามหาให้เจอ!
หลังจากติดต่อเสร็จแล้ว มือก็ถือระฆังดาราเดินไปเดินมา สีหน้าร้อนรนกระวนกระวาย ก่อนหน้านี้วางกับดักพระปีศาจ นึกไม่ถึงว่าจะมาประสบกับเรื่องแบบนี้ เจ้าเวรตะไลจอมก่อเรื่องอย่างศีลแปดทำให้ป้องกันไม่ชนะจริงๆ
“เป็นอะไรไป เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” อวิ๋นจือชิวถาม
“เจ้ารองบังเอิญเจอพระปีศาจหนานโปแล้ว…” เหมียวอี้รีบเล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ
อวิ๋นจือชิวโมโหจนกระทืบเท้า “เลวทรามนักเจ้ารอง กลับมาเมื่อไรข้าจะบิดหูเขาให้ขาด!”
ตอนนี้ทั้งสองยังไม่รู้ว่าศีลแปดเป็นอย่างไรกันแน่ ถ้ารู้ว่าศีลแปดทำเรื่องมั่วๆ แบบนี้ จะต้องโมโหจนตายแน่นอน
“ใช่แล้ว!” จู่ๆ อวิ๋นจือชิวก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ คว้าแขนเหมียวอี้ไว้ “เร็วเข้า! ไต้ซือศีลเจ็ดอยู่ข้างกายเหยียนซิว ให้ไต้ซือศีลเจ็ดใช้วิชาศีลตอบสนองตำแหน่งที่อยู่ของศีลแปด!”
เพี้ยะ! เหมียวอี้ยกมือตบหน้าผาก ทำไมถึงลืมเรื่องนี้ไปได้ โชคดีที่อวิ๋นจือชิวคอยเตือน เขารีบติดต่อเหยียนซิวอีกครั้ง ให้เหยียนซิวเชิญไต้ซือศีลเจ็ดให้ช่วยหาตำแหน่งโดยละเอียด
………………