เมื่อผ่านไปนานแล้วไม่เห็นเหมียวอี้ตอบกลับอีก เหยียนซิวก็ทำได้เพียงโน้มน้าวว่า : ท่านอ๋อง ล้อมพวกเขาไว้หมดแล้ว คุณชายรองกลายเป็นตัวประกันในมืออีกฝ่ายแล้ว ทำยังไงดี?
เหมียวอี้ : เหยียนซิว…อย่าให้พวกเขาพาศีลแปดไป เข้าใจใช่ไหม?
เหยียนซิวเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบว่า : ท่านอ๋อง ข้าเข้าใจ!
เหมียวอี้ : พระปีศาจไม่ได้สืบอะไรจากศีลแปดใช่ไหม?
เหยียนซิว : น่าจะไม่ได้สืบอะไรขอรับ คุณชายรองเพิ่งตกอยู่ในมือของพวกเขา ยังไม่ทันได้ทำอะไร
เหมียวอี้ : ครั้งนี้คงรั้งพระปีศาจไว้ไม่ได้แล้ว
เหยียนซิวเข้าใจความหมายของเขา เพื่อแลกกับชีวิตของคุณชายรอง ท่านอ๋องอาจจะต้องปล่อยพระปีศาจไป
เหมียวอี้ : ดังนั้นอย่าให้พระปีศาจรู้อะไรจากศีลแปด ถ้าพระปีศาจเริ่มสืบความลับจากศีลแปดเมื่อไหร่ เมื่อถึงเวลาจำเป็น ก็ยอมแลกทุกอย่างได้ เข้าใจหรือเปล่า?
เหยียนซิวย่อมเข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร ขอเพียงพระปีศาจไม่ได้สืบความลับจากศีลแปด ก็ยังมีความเป็นไปได้ว่าจะทำข้อแลกเปลี่ยนกับท่านอ๋อง แต่ถ้าได้รู้ความลับไปแล้ว ไม่ว่าอย่างไรท่านอ๋องก็ไม่อาจปล่อยให้พระปีศาจหนีไปได้ แบบนั้นหมายความว่าไม่มีความเป็นไปได้ที่จะทำข้อตกลงกันแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่อีกฝ่ายจะปล่อยศีลแปดไปเฉยๆ เช่นกัน แต่ที่ท่านอ๋องบอกว่ายอมแลกทุกอย่างก็ย่อมรวมศีลแปดเอาไว้ในนั้นด้วย
มาถึงขั้นนี้แล้ว เรื่องบางเรื่องก็มีแต่ต้องทำเท่านั้น จะรอให้ท่านอ๋องมาทำไม่ได้ เมื่อท่านอ๋องมาถึงที่นี่เมื่อไหร่ ต่อให้รู้ว่าพระปีศาจสืบความลับจากศีลแปดได้แล้ว แต่เจ้าจะให้ท่านอ๋องมองดูน้องชายตัวเองไปตายโดยไม่ทำอะไรเลยได้อย่างไร? พระปีศาจจะปล่อยหรือไม่ปล่อยดีล่ะ? ถ้าปล่อยเมื่อไหร่ ข่าวลือบางอย่างก็จะปกปิดไว้ไม่ได้แล้ว ถ้าทัพใต้ล่มสลาย คนที่จงรักภักดีทำงานรับใช้ท่านอ๋องจะต้องบ้านแตกสาแหรกขาดอีกกี่ราย? ถ้าไม่ปล่อยไป ชื่อเสียงที่ฆ่าพี่น้องตัวเอง ท่านอ๋องก็รับไม่ไหว จะให้ท่านอ๋องเลือกอย่างไรล่ะ?
เหยียนซิวตอบว่า : เข้าใจแล้ว
เหมียวอี้ : ถ้ารอข้าไปถึงได้ ก็รอข้า ถ้ารอไม่ไหว เจ้าก็จัดการเองตามเห็นสมควร
เหยียนซิว : ขอรับ!
เหมียวอี้ที่วางระฆังดาราแล้วเผยสีหน้าห่อเหี่ยว เต็มไปด้วยความรู้สึกและความสามารถ หลังจากถ่ายทอดคำสั่งให้เหยียนซิว เขาเองก็เหม่อลอยแล้วเช่นกัน ช่วงไม่นานก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะต้องลงมือกับศีลแปด ไม่มีทางเชื่อเลยว่าตัวเองจะถ่ายทอดคำสั่งแบบนี้ได้
บนใบหน้าเริ่มเผยรอยยิ้มอันน่าเวทนา เขายังหัวเราะเยาะอยู่เลยที่พวกก่วงลิ่งกงส่งลูกสาวของตัวเองไปนั่นไปนี่เหมือนเป็นสินค้า เมื่อเทียบกับพวกเขาแล้ว ที่จริงแล้วตัวเองดีกว่ากันสักเท่าไหร่ล่ะ?
ในตอนนี้ เขานับว่าเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงสิ่งที่พวกก่วงลิ่งกงทำแล้ว ก่วงเม่ยเอ๋อร์จะไม่ใช่ไข่มุกล้ำค่าในฝ่ามือที่ก่วงลิ่งกงรักที่สุดเชียวหรือ ก็เหมือนกับความรู้สึกที่เขามีต่อศีลแปด
เหยียนซิวที่เก็บระฆังดาราไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ และไม่ได้ถ่ายทอดคำสั่งใดๆ ด้วย สายตากวาดมองกลุ่มคนที่ถูกล้อม อยากจะเห็นว่าคนไหนคือพระปีศาจหนานโป แต่จนใจที่คนพวกนี้ล้วนสวมหน้ากาก มองไม่ออกเลย
เมื่อเห็นว่าถูกล้อมไว้แน่นหนา แอบถ่ายมนต์คร่าชีวิตก็ไม่มีประโยชน์ หนานโปรู้ว่าต่อให้วันนี้มีปีกก็หนีไปไม่ได้ ความรู้สึกอัดอั้นตันใจยากจะบรรยายออกมาได้ สิ่งที่เรียกว่าเรือล่มในคลองแคบคืออะไรล่ะ? วันนี้นับว่าเข้าใจแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าตัวเองจะถูกจับเพราะไล่ตามจับเจ้าสองคนนั้น นี่ไม่ใช่กับดักอะไร กับดักทำอะไรเขาไม่ได้ แต่กลับปล่อยให้สิ่งที่ไม่คาดฝันจัดการเขาแล้ว คนคํานวณมิสู้ฟ้าลิขิตโดยแท้ แล้วจะให้เขาไปเรียกร้องความยุติธรรมที่ไหน!
แต่เขาไม่ยอม สายตาไปหยุดอยู่บนตัวไต้ซือศีลเจ็ด หัวเราะเสียงดังแล้วกล่าวว่า “พระมหา ตอนจากกันในหุบเขา นึกไม่ถึงว่าจะได้เจอกันอีกแล้วขนาดนี้ อยากจะช่วยพระน้อยหรือเปล่าล่ะ? ถ้าอยากช่วยก็ให้พวกเขาหลีกไป!”
สายตาของพวกเหยียนซิวรวมอยู่บนตัวเขาทันที เดาออกแล้วว่าเขาคือหนานโป
ไต้ซือศีลเจ็ดประนมมือ “อามิตตาพุทธ หนานโป อย่าก่อกรรมทำเข็ญอีกเลย ปล่อยพวกเขาเถอะ!”
หนานโปตอบว่า “หึหึ! พระมหากำลังพูดล้อเล่นอยู่หรือเปล่า? ฝึกบำเพ็ญวิชาพุทธมาหลายปีขนาดนี้ อย่าบอกนะว่ากลืนลงท้องหมาหมดแล้ว? ถ้าข้าปล่อยพวกเขา เจ้าบอกให้พวกเขาปล่อยพวกเราได้หรือเปล่าล่ะ? กลัวก็แต่ถ้าข้าปล่อยคนในมือไป กำลังพลที่อยู่ข้างกายข้าก็จะตายโดยไร้หลุมศพทันที จิตใจเปี่ยมเมตตาธรรมของพระมหาไปไหนหมดแล้ว? ถ้าจะให้ปล่อยคนก็ได้ แต่ต้องทำตามที่ข้าบอก ให้พวกเขาถอยไป รอให้ข้าไปถึงสถานที่ปลอดภัยแล้ว ก็ย่อมปล่อยพวกเขาเอง”
ไต้ซือศีลเจ็ดมองไปที่เหยียนซิว แต่กลับเห็นพวกเหยียนซิวมีสีหน้าเรียบเฉย นึกขึ้นได้ว่าคนพวกนี้ล้วนปิดประสาทสัมผัสทั้งหกหมดแล้ว ไม่รู้เลยว่าพวกเขากำลังสื่อสารอะไรกัน จึงหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที เหมียวอี้พูดปัดความรับผิดชอบ ไม่รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างนอก อำนาจทั้งหมดที่อยู่ตรงนั้นมอบให้เหยียนซิวรับผิดชอบแล้ว
ไต้ซือศีลเจ็ดทำได้เพียงหยิบแผ่นหยกแผ่นหนึ่งส่งให้เหยียนซิว ให้เขาดู
หลังจากเหยียนซิวอ่านแล้ว ต่อให้จะเคารพนับถือเขา แต่ตอนนี้สายตาที่มองเขาก็เหมือนกับมองคนปัญญาอ่อนคนหนึ่ง ไม่ได้อธิบายอะไรกับศีลเจ็ด ร่ายอิทธิฤทธิ์กล่าวว่า “ถ้าไม่เชื่อใจเขา ขอเพียงไต้ซือสามารถเกลี้ยกล่อมให้เขาปล่อยคนก่อนได้ ข้าก็จะปล่อยพวกเขา”
ต้องรอให้เขาสมองป่วยเท่านั้นถึงจะยอมปล่อยคนก่อน
ไต้ซือศีลเจ็ดจนใจทันที อธิบายเหตุผลกับหนานโปต่อไป
ศีลแปดที่ได้เห็นฉากนี้กับตาตัวเองก็รู้สึกเมาเช่นกัน ในใจแอบด่าว่าตาแก่โล้นจะเข้ามาประสมโรงทำไม ถ้าเจ้าเถียงชนะได้จริง ในปีนั้นก็คงไม่กราบพระปีศาจเป็นอาจารย์หรอ ไม่เห็นหรือว่ากำลังพลที่อยู่ข้างกายเจ้ากำลังรอให้พี่ใหญ่มาถึง?
แต่จนใจที่ใช้พลังอิทธิฤทธิ์ไม่ได้ พูดอะไรตรงนี้อีกฝ่ายก็ไม่ได้ยิน ทำได้เพียงถลึงตาใส่ศีลเจ็ด ภายใต้สถานการณ์อย่างตอนนี้ เขากลับสงบนิ่งลงแล้ว ขอเพียงให้คนของพี่ใหญ่คุมสถานการณ์ได้ เขาเชื่อว่าพี่ใหญ่จะต้องมีหนทางช่วยเขาได้แน่ ทั้งยังเผยรอยยิ้มให้มู่น่าที่กำลังขวัญเสียเป็นระยะ พยายามปลอบใจนาง
ขณะที่หนานโปกำลังพูดไร้สาระกับไต้ซือศีลเจ็ด ข้างหูก็มีเสียงของจั่วเอ๋อร์ดังมา “ผู้อาวุโส เหมือนสองคนนี้จะสำคัญกับฝั่งหนิวโหย่วเต๋อมาก ใช่ว่าพวกเราจะไม่เหลือทางรอดแล้ว!”
หนานโปชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็มองไปรอบๆ เห็นเพียงทัพใหญ่พี่กำลังรอพวกเขาเล็งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์เตรียมไว้ตลอด เพียงรออยู่อย่างนี้ ไม่มีใครลงมือ
ผู้ล้อมและผู้ถูกล้อมคงสภาพอยู่ในสถานการณ์คุมเชิงที่ประหลาดแบบนี้ หนานโปถึงได้รู้ตัว ใช่แล้ว จับพวกเขาไว้ในมือได้แล้ว ตามหลักแล้วก็ไม่น่าจะปล่อยเขาไปสิ แต่อีกฝ่ายชักช้าไม่ลงมือโดยไร้เหตุผล สาเหตุก็มีแค่ตัวประกันสองคนในมือนี้แล้ว
หนานโปมองประเมินศีลแปดศีรษะจดเท้าอย่างเป็นทางการ แม้เขาจะรู้ว่าศีลแปดกับเหมียวอี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดา แต่ก็นึกว่าเป็นแค่ชื่อเรียกเท่านั้น มองไม่ออกว่ามีความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่คิดเลยว่าศีลแปดจะเทียบได้กับการจับตัวเขา ตอนนี้เขาเริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้ว
จากปฏิกิริยาของอีกฝ่าย ศีลแปดตระหนักได้ถึงปัญหายุ่งยากแล้ว พอหนานโปกวักมือ คนที่คุมตัวศีลแปดก็ส่งศีลแปดมาตรงหน้าเขาทันที
เห็นเพียงหนานโปแกว่งแขนข้างเดียว วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นแสงทองวิบวับหลุดออกมาจากแขน กำลังจะกดลงบนศีรษะศีลแปด สืบดูความสัมพันธ์ระหว่างศีลแปดกับเหมียวอี้
เหยียนซิวที่จับตาดูพลันหรี่ตา นึกไม่ถึงว่าเขายังต้องเลือกทางที่ยากลำบาก พลันตะโกนเสียงดังว่า “พระปีศาจ ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าแตะต้องเขา ไม่ว่าเรื่องอะไรก็รอให้ท่านอ๋องมาก่อนแล้วค่อยเจรจากันอีกที ไม่อย่างนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
หนานโปเผยรอยยิ้มพร้อมพูดหยั่งเชิง “งั้นเหรอ? เขาอยู่ในมือข้า ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเจ้าจะกล้าลงมือ!” มือเขากดลงบนศีรษะของศีลแปดต่อไป
ชั่วขณะนี้ ศีลแปดตระหนักได้ว่าเกิดปัญหาใหญ่แล้ว รู้ว่าพระปีศาจคิดจะทำอะไร ตระหนักได้แล้วว่าตัวเองกำลังจะสร้างปัญหาที่ใหญ่โตมากให้พี่ใหญ่
แม้เหยียนซิวจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังพูดอะไร แต่ก็พอจะเดาออกแล้ว “งั้นเจ้าลองดูก็ได้!” เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมา
ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ที่อยู่โดยรอบมีลำแสงไหลเวียนทันที ง้างสายธนูเล็งไปที่พวกพระปีศาจแล้ว แสดงพลังอำนาจกลัวอันเข้มแข็งออกมา
เห็นได้ชัดเจนมาก ขอเพียงเหยียนซิวปล่อยฝ่ามือข้างนั้นลง ทุกอย่างก็จะจบแล้ว
พอสัมผัสได้ถึงแววตาอันเยียบเย็นของเหยียนซิว มือของหนานโปก็ค้างอยู่กลางอากาศ ไม่กล้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว
พวกจั่วเอ๋อร์ก็เครียดแล้วเช่นกัน พูดขอร้องเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโส ยังไม่ถึงท้ายที่สุด พวกเรายังมีความหวัง…”
“อย่านะ! อย่าทำอย่างนั้น! คนที่ยกมือคนนั้นเป็นใคร เจ้าเป็นใคร? เจ้าเคยถามพี่ใหญ่ของข้าแล้วหรือยัง ได้ถามพี่ใหญ่ของข้าหรือเปล่า? เคยถามท่านอ๋องของพวกเจ้าหรือเปล่า! ท่านอาจารย์ ท่านรีบห้ามเขา อย่าให้เขาทำซี้ซั้ว…” เมื่อเห็นลูกธนูง้างอยู่บนสาย ทำท่าเหมือนจะยิงตลอดเวลา อานุภาพของการโดนยิงอย่างต่อเนื่องอันน่ากลัวนั้นยังติดอยู่ในความทรงจำของศีลแปดเหมือนยังเกิดขึ้นใหม่ รู้อย่างลึกซึ้งว่าถ้ายิงธนูออกมา เขากับมู่น่าก็ไม่รอดแน่ จึงรีบตะโกนร้องโวยวาย ไม่ว่าใครก็ไม่ได้ยินว่าเขากำลังพูดอะไร เหยียนซิวสวมใส่หน้ากาก เขาจำหน้าไม่ได้เช่นกัน
ไต้ซือศีลเจ็ดเริ่มเครียดแล้ว รีบประนมมือขอร้องเหยียนซิว พอนึกขึ้นได้ว่าเหยียนซิวไม่ได้ยิน ก็เขียนบนแผ่นหยกแล้วส่งให้เหยียนซิวอ่าน
เหยียนซิวเหล่ตามองแวบหนึ่ง พอจะเดาออกแล้วว่าพระเฒ่าเขียนอะไร จึงไม่แม้แต่จะอ่าน บอกใบ้กำลังพลที่อยู่ข้างกายเสียเลย ทำให้มีคนมาควบคุมศีลเจ็ดเอาไว้ แล้วเก็บเข้ากระเป๋าสัตว์โดยตรง
ทัพอารักขาของเหมียวอี้ส่วนใหญ่รู้ถึงฐานะของเหยียนซิว รู้ว่าเหยียนซิวมีฐานะอย่างไรในจวนท่านอ๋อง ถ้าพูดจากบางระดับ ท่าทีของเขาก็เป็นตัวแทนของท่านอ๋องแล้ว
เมื่อเห็นว่าแม้แต่ไต้ซือศีลเจ็ดยังถูกจับไว้ ศีลแปดก็ตกใจจนขวัญหนีดีกว่า ร่ำร้องอย่างบ้าคลั่ง
เมื่อมู่น่าที่อยู่ข้างๆ เห็นท่าทางของศีลแปด ก็หวาดกลัวแล้ว หวาดกลัวแล้วจริงๆ บอกศีลแปดว่า “ข้ากลัว!” แต่ศีลแปดไม่ได้ยิน ตอนนี้ไม่มีเวลามาสนใจนาง นางจึงกัดปากไม่พูดอะไรแล้ว
สุดท้ายหนานโปก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม พอนึกถึงการยิงโจมตีระลอกแรกก่อนหน้านี้ จะเห็นได้ว่าไม่สนใจความเป็นความตายของตัวประกันเลย อีกฝ่ายลงมือโดยทันที ภายใต้ความลังเล เขาเก็บมือกลับมาช้าๆ วางมือลงแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นฝั่งจั่วเอ๋อร์ หรือว่าฝั่งเหยียนซิว ทั้งหมดล้วนแอบถอนหายใจ เหยียนซิววางมือลงช้าๆ ลำแสงที่ไหลเวียนบนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ก็เริ่มจางลงแล้วเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายตกอยู่ในสภาพคุมเชิงกัน กำลังรอ รออยู่ตลอด
รอเป็นเวลาหนึ่งวันเต็มๆ ในที่สุดเหมียวอี้ก็มาถึงแล้ว คนที่เหยียนซิวส่งไปรออยู่บนเส้นทางพาพวกเหมียวอี้มาแล้ว
พวกชิงเยว่ที่ติดตามมาด้วยปิดประสาทสัมผัสทั้งหกตามคำสั่ง เหมียวอี้ร่ายเคล็ดวิชาอัคนีดารา มีคลื่นที่มองไม่เห็นมาครอบตัวเขาไว้แล้ว
กำลังพลที่โอบล้อมแยกทางให้เส้นทางหนึ่ง ปล่อยให้เหมียวอี้เข้ามา อ๋องสวรรค์มาถึงแล้ว สั่นสะเทือนทั้งสนาม กำลังพลทั้งหมดกลับมากระปรี้กระเป่าฮึกเหิมอีกครั้ง
เหยียนซิวรีบก้าวขึ้นมาทำความเคารพ ถ่ายทอดเสียงเล่าสถานการณ์ทางฝั่งนี้ให้ฟัง จากนั้นก็ชี้หนานโปที่กำลังโดนล้อม บอกว่าคนคนนั้นคือพระปีศาจหนานโป
เหมียวอี้ลอยมาอยู่หน้ากระบวนทัพ สบตากับหนานโป ทั้งสองล้วนส่อเจตนาสังหาร!
เหมียวอี้ย้ายไปบนตัวศีลแปด เห็นเพียงศีลแปดทำสีหน้าดีใจแทบบ้า กำลังตะโกนโหวกเหวกโวยวายมาทางเขา
เหมียวอี้ค่อยๆ ย้ายสายตาไปบนใบหน้ามู่น่า อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่คือธิดาศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าปีศาจไม่ใช่เหรอ?
เขาเองก็เคยเจอมู่น่าเช่นกัน เพราะเผ่าปีศาจเอลฟ์มีหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ ลืมไม่ได้ง่ายๆ คิดไม่ตกว่ามู่น่ามามั่วอยู่กับศีลแปดได้อย่างไร
“หนิวโหย่วเต๋อ อ๋องสวรรค์หนิว ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว!” หนานโปแสยะหัวเราะ ในใจรู้สึกแค้นจนคันฟัน
“ปล่อยคน! ปล่อยพวกเขาไป แล้วข้าจะปล่อยเจ้า!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ
………………