ชิงเหมยได้ยินแล้วร่างงามสั่นด้วยความกลัว ใบหน้าซีดเผือก
“หึ! ขุนนางสุนัข อย่ามาพูดจาเหลวไหล!” ปานเยว่กงร้องอุทาน เขามองออกว่าเหมียวอี้กำลังปลุกปั่นเมียตัวเอง จึงพยายามออกแรงผลักชิงเหมย ต้องการจฆ่าเหมียวอี้ทิ้ง
“อย่านะ!” ชิงเหมยร้องอุทานเช่นกัน ตอนนี้กึ่งนั่งกอดขาข้างหนึ่งของปานเยว่กงเอาไว้อย่างสุดชีวิตแล้ว นางพูดกับเหมียวอี้อย่างเศร้าโศกว่า “เจ้าไปเถอะ เจ้ารีบไป เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขา!”
เมื่อเห็นปานเยว่กงเริ่มบ้าระห่ำ ในใจเหมียวอี้ก็ระมัดระวังตัวสูงมาก แต่ภายนอกกลับยังสุขุมใจเย็น ยืนพูดอย่างไม่สะทกสะท้านอยู่อย่างนั้น “ข้าไปแล้ว เรื่องนี้ยังแก้ไขไม่ได้ ถึงข้าจะจับเจ้าไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนอื่นจะมาจับเจ้าอีกอยู่ดี ข้างนอกยังมีกำลังพลคนอื่นรออยู่ ถึงตอนนั้นถ้าสามีเจ้ายังต่อต้านอีก ก็ยังต้องตายสถานเดียวอยู่ดี!”
ปานเยว่กงถลึงตาจ้องเหมียวอี้ ราวกับได้มองเห็นปีศาจมารร้าย พลางตะคอกด่าว่า “ขุนนางสุนัข!”
เขาสะบัดขา อาศัยวรยุทธ์อย่างเขา ประเดี๋ยวเดียวก็สลัดชิงเหมยหลุดแล้ว
ใครจะคิดว่าชิงเหมยที่โดนสลัดหลุดจะใช้มืออีกข้างคว้าข้อเท้าเขาไว้ไม่ยอมปล่อย ดึงเท้าเขาลงพื้นอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็นำมีดสั้นออกมาจ่อหน้าอกตัวเอง แล้วถามอย่างเศร้าโศกว่า “ปานเยว่กง เจ้าอยากจะกดดันให้เจ้าตายต่อหน้าข้าใช่มั้ย?”
“ชิงเหมย!” ปานเยว่กงหันกลับมาเห็นแล้วตกใจ ขณะกำลังจะหันตัวเข้าไปประคอง ชิงเหมยกลับลอยไปยืนข้างหลัง นางหลบเลี่ยงเขาแล้ว ตอนนี้กำลังร้องไห้ฟูมฟาย “ท่านสามี การได้พบเจ้าในชาตินี้คือวาสนาของข้า เจ้าดีกับเขา ข้าจะไม่มีวันลืมตลอดไป ถ้าไม่ได้พบเจ้า ชิงเหมยคงตายไปนานแล้ว เขาพูดไม่ผิดหรอก ต่อให้หนีรอดไปได้ครั้งหนึ่ง แต่ยากที่จะหนีรอดไปทั้งชีวิต ก็เหมือนกับวันนี้ไง ต้องถูกหาพบในไม่ช้าก็เร็ว ข้าไม่อยากทำให้เจ้าลำบากไปด้วย เจ้าปล่อยให้ข้าไปกับเขาเถอะ!”
จากนั้นก็บอกเหมียวอี้พร้อมเสียงสะอื้นว่า “ข้าจะไปกับเจ้า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาทั้งนั้น!”
ปานเยว่กงกล่าวอย่างหุนหันพลันแล่น “ชิงเหมย เจ้าโง่หรือเปล่า? มีใครก็ไม่รู้มาหา ใช้เวลาแค่ชั่วพบหน้ากัน พวกเราถึงขั้นไม่รู้ชื่อแซ่ของเขาด้วยซ้ำ แค่พูดจาส่งเดชสองสามคำ เจ้ากับข้าก็จะโดนความตายพรากจากกันแล้วเหรอ เจ้าเลอะเลือนหรือเปล่า? ขุนนางสุนัขนี่มันกำลังปลุกปั่นเจ้าชัดๆ ไปตกหลุมพรางง่ายๆ ได้ยังไง!”
เมื่อหันกลับมามองเหมียวอี้ กลับเห็นเหมียวอี้นั่งลงไปอีกแล้ว ยังนั่งดื่มน้ำชาอย่างสุขุมใจเย็นอยู่ตรงนั้น ไม่แยแสการจากลาชั่วนิรันดร์ที่อยู่ตรงหน้า ปานเยว่กงเรียกได้ว่าโมโหจนตาแทบถลน “ขุนนางสุนัข…”
“หยุดนะ!” ชิงเหมยรีบตะคอกห้าม มีดสั้นในมือแทงจนตรงหน้าอกมีเลือดไหลออกมาแล้ว นางเตือนด้วยเสียงสะอื้น “ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องเขา ข้าก็จะตายตรงหน้าเจ้าเดี๋ยวนี้ เรื่องที่ข้าก่อไว้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง!”
“ชิงเหมย เจ้า…” ปานเยว่กงชี้นางพร้อมพูดเสียงสั่น “เจ้าเลอะเลือน! เจ้าวางมีดลงก่อน ข้ารับปากว่าข้าจะไม่แตะต้องเขา”
เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี มีหรือที่ชิงเหมยจะไม่รู้จักนิสัยเขา ถ้านางวางมีดลง เขาจะต้องควบคุมนางได้ทันที จากนั้นก็จะลงมือกับขุนนางสวรรค์คนนั้น นางจึงส่ายหน้าบอกว่า “เจ้าถอยไปก่อน ให้ข้าไปกับเขาก่อน!”
“เจ้า…” ปานเยว่กงโมโหจนแยกเขี้ยวยิงฟัน
“พวกเจ้าสองสามีภรรยานี่ยังไงกันแน่ ยังพูดได้ไม่กี่คำก็ร้องไห้คร่ำครวญแล้ว ข้าบอกว่าข้ามาที่นี่เพื่อทำให้เรื่องนี้จบลงด้วยดี ไม่ได้มาเอาชีวิตคนเสียหน่อย” เหมียวอี้วางถ้วยน้ำชาลงแล้วยืนขึ้น “ปานเยว่กง ข้าบอกว่าจะพาฮูหยินของเจ้ากลับไปจบเรื่องนี้ ไม่ได้บอกว่าจะเอาชีวิตนางเสียหน่อย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรนางด้วย แต่จะพานางกลับไปจบเรื่องในอดีตจริงๆ จะคืนอิสระให้กับนาง ตั้งแต่นี้ไปไม่ต้องหลบอยู่ใต้ดินกับเจ้า ไม่ต้องหลบหน้าไม่กล้าออกไปเจอผู้คน”
เมื่อเหมียวอี้กล่าวมาแบบนี้ ไม่ว่าจะเป็นปานเยว่กงที่กำลังโกรธหน้าเขียว หรือว่าจะเป็นชิงเหมยที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญ ทั้งคู่ต่างก็ตะลึงค้าง มองเขาอย่างงุนงง
เหมียวอี้เดินไปถึงข้างกายปานเยว่กงอย่างห้าวหาญ และไม่กลัวอันตรายด้วย เขาทำท่ากดมือพร้อมบอกชิงเหมยว่า “ชิงเหมย มีอะไรก็คุยกันดีๆ ถ้าต้องใช้มีดจริงๆ ข้าคงไม่ถ่อมาคนเดียวหรอก เจ้าไม่รักชีวิตตัวเอง แต่ข้ารักชีวิตตัวเองมากนะ เลือดไหลแล้วนะ วางมีดลงเถอะ มีอะไรก็ค่อยๆ นั่งคุยกัน ข้าเป็นคนมีเหตุผลมาตลอด เรื่องแย่งเมียคนอื่น ข้าทำไม่ลงหรอก”
สำหรับเขา คำพูดที่ยั่วยุแบบนี้มีไว้เพื่อกระตุ้นท่าทีของทั้งสอง ไม่อย่างนั้นถ้าอาศัยข้อมูลโง่เง่าที่ฮวาหูเตี๋ยให้มา เขาก็ไม่มีทางลงมือได้เลย ตอนนี้ได้เข้าใจท่าทีของทั้งสอง เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา ไม่ต้องกังวลอีกแล้วว่าตัวเองจะมีอันตรายถึงชีวิต
“คืนอิสระให้นาง?” ปานเยว่กงสีหน้าบิดเบี้ยว เป็นปฏิกิริยายามคิดตามเรื่องราวที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันไม่ทัน จึงซักไซ้ถามว่า “พูดจริงหรือเปล่า!”
ชิงเหมยที่บนใบหน้ามีน้ำตาหยดใหม่ก็คิดตามไม่ทันเช่นกัน นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อครู่นี้ตัวเองมุทะลุเกินไปความคิดจึงไม่ค่อยไหลลื่น หรือเป็นเพราะตัวเองฟังคำพูดของอีกฝ่ายไม่เข้าใจ
สรุปว่าเหมียวอี้เดินเข้ามาข้างกายนางด้วยสีหน้าสบายใจ มีท่าทีผ่อนคลายไม่ตึงเครียด คว้าข้อมือที่กำลังถือมีดสั้นของนางย้ายออกจากหน้าอก แกะมีดที่นางจับออกมาจากมือนาง แล้วโยนไปให้ปานเยว่กงรับไว้
หลังจากใช้การกระทำจริงของตัวเองทำให้ปานเยว่กงวางใจ เขาถึงได้พยักหน้าตอบว่า “ย่อมพูดจริงอยู่แล้ว ถ้ามาถึงที่นี่เพื่อพูดจาเหลวไหล แสดงว่าสมองข้าคงมีปัญหาแล้วล่ะ”
“จะคืนอิสระให้นางยัง?” ปานเยว่กงรีบถาม
เหมียวอี้ยักไหล่สองข้าง “เป็นปัญหาที่ไม่ซับซ้อนเลย ขอเพียงลบล้างข้อหาให้ฮูหยินของเจ้า พิสูจน์ว่าฮูหยินของเจ้าไม่ได้ฆ่าหัวหน้าภาคคนนั้น นางก็ย่อมไม่มีความผิดแล้ว ย่อมเป็นอิสระด้วยเช่นกัน ตั้งแต่นี้ไปโลกนี้จะกว้างใหญ่ นางสามารถเดินทางไปได้ทั่วทุกที่ ไม่ต้องมุดอยู่ใต้ดินจนไม่เห็นเดือนเห็นตะวันแบบนี้”
ปานเยว่กงได้ยินแล้วรู้สึกฮึกเหิม แต่ก็หน้าบึ้งในทันที “นี่เจ้ากำลังหลอกข้าเหรอ! หรือคิดจะหลอกพาฮูหยินไปให้พ้นจากมือข้าโดยสวัสดิภาพ เจ้าเป็นแค่ผู้บัญชาการเล็กๆ คนหนึ่ง จะมีความสามารถพลิกคดีการตายของหัวหน้าภาคได้ยังไง?”
เหมียวอี้เอาสองมือไขว้หลัง เงยหน้ายืดอก แล้วประกาศอย่างเป็นทางการว่า “ข้าน้อยหนิวโหย่วเต๋อ เป็นผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออกของดาวเทียนหยวน” ขณะที่พูดก็โยนแผ่นหยกแต่งตั้งตำแหน่งให้เขาดู
“ที่แท้ก็เป็นผู้บัญชาการที่รายได้มั่งคั่ง ขออภัยจริงๆ ที่เสียมารยาท!” หลังจากได้อ่านแล้ว ปานเยว่กงก็กอดแผ่นหยกพร้อมกุมหมัดคารวะด้วยสีหน้าเหยียดหยาม ขณะเดียวกันก็กล่าวเหน็บแนมว่า “เหมือนสิ่งนี้จะยังไม่มากพอให้พิสูจน์นะ ว่าเจ้าสามารถพลิกคดีของหัวหน้าภาคได้!”
“ในเมื่อรู้ว่าเป็นตำแหน่งที่มั่งคั่ง งั้นก็ควรจะรู้เอาไว้นะ เจ้าเคยเห็นคนไม่มีภูมิหลังสักกี่คนที่สามารถนั่งตำแหน่งผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ได้?” เหมียวอี้ถาม
ปานเยว่กงอึ้งไปชั่วขณะ สายตาชำเลืองไปที่ชิงเหมย ชิงเหมยที่เอามือปาดน้ำตาหยักหน้าเบาๆ เหมือนกำลังบอกว่าเป็นแบบนี้จริงๆ เป็นเรื่องยากมากที่คนไร้ภูมิหลังจะนั่งในตำแหน่งผู้บัญชาการของตลาดสวรรค์ได้
ปานเยว่กงถามหยั่งเชิงว่า “เจ้ากำลังบอกว่า ภูมิหลังของเจ้าสามารถช่วยพลิกคดีให้ฮูหยินของข้าได้เหรอ? คดีของหัวหน้าภาค เกรงว่าจะไม่ได้พลิกง่ายขนาดนั้นมั้ง ถึงอย่างไรก็เป็นการตายของนักพรตระดับบงกชรุ้ง!”
เหมียวอี้พยักหน้าช้าๆ “ข้าคือคนของตระกูลอ๋องสวรรค์โค่ว ผู้บัญชาการใหญ่ที่เป็นหัวหน้าของข้าก็คือหลานชายแท้ๆ ของอ๋องสวรรค์โค่ว ถ้าเจ้าไม่เชื่อก็ดูตราแต่งตั้งที่อยู่บนคำสั่งแต่งตั้งได้!”
ปานเยว่กงหยิบขึ้นมาดูทันที ขณะที่กำลังดูอย่างละเอียด ก็พึมพำว่า “โค่วเหวินหลาน…”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “หลานชายของอ๋องสวรรค์ผู้น่าเกรงขามจะพลิกคดีของหัวหน้าภาคสักคน เจ้าคิดว่าเป็นเรื่องยากมากเหรอ? อย่าว่าแต่หัวหน้าภาคคนเดียวเลย ต่อให้เป็นคดีของท่านโหวสักคน ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย”
สองสามีภรรยามองหน้ากันเลิกลั่ก บอกไม่ถูกเลยว่าตกใจหรือดีใจ
ถึงแม้จะพิสูจน์ฐานะของเหมียวอี้ได้แล้ว แต่ฐานะนี้จะจริงหรือปลอมก็ยังไม่แน่ใจ เพราะปานเยว่กงไม่เคยเห็นตราประทับของหลานชายอ๋องสวรรค์ ไม่กล้าเชื่อง่ายๆ ยังคงถามหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง “เจ้าถ่อมาถึงที่นี่ แค่เพราะจะพลิกคดีให้ฮูหยินของข้าเหรอ? จิตใจดีขนดนี้เลยเหรอ?”
“ข้าไม่ได้ใจดีอยู่แล้ว ข้าไม่ใช่ญาติสนิทมิตรสหายของพวกเจ้าสองสามีภรรยา ทำไมต้องช่วยเหลือพวกเจ้าด้วยล่ะ?” ขณะที่พูด เหมียวอี้ก็ก้าวขึ้นมาข้างหน้าสองสามก้าว ยื่นมือไปหยิบแผ่นหยกกลับมาจากมือปานเยว่กง แล้วบอกว่า “มีเงื่อนไข มีข้อแลกเปลี่ยน ก็ต้องดูว่าพวกเจ้าสองสามีภรรยาเต็มใจหรือไม่เต็มใจ”
สองสามีภรรยาสบตากันอีกครั้ง ชิงเหมยที่มีรอยเลือดบนหน้าอกกุมหมัดขอคำชี้แนะ “ไม่ทราบว่ามีเงื่อนไขอะไร?”
“ถึงแม้ผู้บัญชาการใหญ่ของข้าจะมีตำแหน่งไม่สูง แต่ข้าจะขอพูดสิ่งที่ไม่น่าฟังไว้ก่อน ในสายตาของเขา พวกเจ้าสองสามีภรรยาไม่ได้มีค่าอะไรทั้งนั้น เขาไม่จำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเจ้า เพียงแต่ครั้งนี้พวกเจ้าสองคนโชคดี ได้มาเจอกับ…” เหมียวอี้เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟังทันที หลังจากบอกเรื่องการต่อสู้แย่งชิงในตระกูลของโค่วเหวินหลานแล้ว ถึงได้บอกจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมา “การจับตัวนักโทษหลบหนีครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับฐานะในตระกูลของผู้บัญชาการใหญ่ ถ้าพวกเจ้ายินดีจะสร้างผลงานชดเชยความผิด โดยมาช่วยเหลือผู้บัญชาการใหญ่อีกแรง ในภายหลังไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ขอเพียงพวกเจ้าสองคนช่วยเหลืออย่างเต็มกำลัง เห็นแก่น้ำใจส่วนนี้ ผู้บัญชาการใหญ่ย่อมไม่นิ่งดูดายกับเรื่องของพวกเจ้าแน่ อาศัยภูมิหลังของผู้บัญชาการใหญ่ การแก้ปัญหาเรื่องพวกเจ้าสองคนเป็นเรื่องที่สบายมาก ไม่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร โอกาสมาอยู่ตรงหน้าพวกเจ้าแล้ว ตัดสินใจเองแล้วกันว่าจะเลือกอย่างไร ข้าไม่บังคับ!”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! หลังจากสองสามีภรรยาเงียบไปพักหนึ่ง ปานเยว่กงก็ถามว่า “ให้พวกเราสองสามีภรรยาปรึกษากันสักหน่อยเป็นไร?”
“เชิญตามสะดวก!” เหมียวอี้ยื่นมือเชิญ
ปานเยว่กงจึงเรียกคนมาดูแล แล้วสองสามีภรรยาก็ขอตัวก่อนชั่วคราว ไปคุยกันด้านหลัง
พอทั้งสองอ้อมไปที่โถงด้านหลัง ก็เห็นเก้าอี้ในโถงด้านหลังมีผู้หญิงวัยกลางคนที่สวยสดใสคนหนึ่งนั่งอยู่ เห็นได้ชัดว่าได้ยินบนสนทนาที่โถงด้านหน้าชัดเจนหมดแล้ว
ทั้งสองเห็นนางแล้วไม่รู้สึกแปลกใจอะไร โดยเฉพาะชิงเหมยที่เป็นฝ่ายเข้าไปจูงมือนาง แล้วพาเดินออกจากโถงด้านหลังด้วยกัน
ถ้าเหมียวอี้ได้เห็นสตรีวัยกลางคนที่สวยสดใสคนนี้ เขาจะต้องตกใจมากแน่นอน เพราะว่านางไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นฮวาหูเตี๋ย เถ้าแก่เนี้ยของโรงจำนำผีเสื้อนั่นเอง
หลังจากทั้งสามนั่งลงที่โถงหลักในลานบ้านด้านหลังด้วยกัน ปานเยว่กงก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “คนคนนี้วรยุทธ์ไม่สูง แต่กลับเก่งกาจมาก พวกเราโดนคำพูดไม่กี่ประโยคของเขาปั่นจนจะเป็นจะตาย พอมาคิดดูตอนนี้ เขากำลังจงใจคำพูดยั่วยุพวกเรา กำลังหยั่งเชิงท่าทีของพวกเราสองสามีภรรยา! ชิงเหมย เจ้าเคยอยู่กับทางการมาก่อน อย่าบอกนะว่าบุคคละระดับผู้บัญชาการของตำหนักสวรรค์เก่งกาขนาดนี้หมด? ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ ในโลกนี้ก็ไม่มีใครสู้กับตำหนักสวรรค์ได้แล้ว!”
“ก็ไม่ใช่แบบนั้นเสียทีเดียว คนที่กินดื่มไปวันๆ ก็มีเยอะ เขายังบอกเองว่าเขาเป็นคนของตระกูลโค่ว คนที่มีประวัติความเป็นมาแบบนี้ คนธรรมดาทั่วไปย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว” ชิงเหมยพูดถึงตรงนี้ พอเห็นฮวาหูเตี๋ยนั่งฟังเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร ถึงได้จับมือนางพร้อมถามว่า “พี่สาว ท่านคิดว่าเงื่อนไขของขุนนางสวรรค์คนนั้นเป็นอย่างไร จะตอบตกลงได้มั้ย?”
ฮวาหูเตี๋ยยิ้มบางๆ “เรื่องแบบนี้ข้าไม่สะดวกจะพูดอะไร จะตอบตกลงหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับท่าทีของพวกเจ้าสองสามีภรรยา พวกเจ้าปรึกษาหารือกันเองเถอะ” พูดจบก็ตบหลังมือชิงเหมยเบาๆ นางชักมือกลับมา แล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั้นทันที ให้ที่ว่างสองสามีภรรยาปรึกษาหารือกัน
…………………………