พูดจาโอ่อ่าสง่าผ่าเผยขนาดนี้ อวิ๋นจือชิวนับถือก็ส่วนนับถือ ไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะด่าเขาว่าอะไรดี ในมุมมองของผู้หญิง นางไม่ชอบการกระทำอย่างนี้ นางเพียงอยากถามสักคำว่า หยางชิ่งทำอย่างนี้จะให้ฉินซีทนความรู้สึกได้อย่างไร? แม้ผู้ชายในโลกนี้จะมีภรรยาเยอะเป็นเรื่องปกติ แต่หยางชิ่งมองข้ามการมีอยู่ของฉินซี พูดจาอย่างมั่นอกมั่นใจและทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้ซูอวิ้น พฤติกรรมลำพองใจแบบนี้ทำให้นางไม่ชอบ
ยังไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น สมมุติว่าเหมียวอี้กล้าทำอย่างนี้ อวิ๋นจือชิวจะต้องสู้ตายกับเหมียวอี้แน่นอน ก็ใช่! อนุภรรยาในจวนท่านอ๋องมีเป็นโขยงนั้นไม่ผิด แต่นั่นเป็นเพราะอีกเหตุผลหนึ่ง นางเผชิญหน้ากับสังคมนี้ก็เลยยอมรับแล้ว แต่ถ้าเหมียวอี้กล้าทำอย่างเปิดเผยเหมือนหยางชิ่ง นางก็ยอมรับไม่ได้เด็ดขาด!
ค่านิยมในสังคมก็เป็นเช่นนี้จริงๆ ในสายตาของเหมียวอี้ การที่หยางชิ่งทำอย่างนี้ก็ไม่มีอะไรผิด เมื่อเทียบกับเขาแล้ว หยางชิ่งค่อนข้างควบคุมตัวเองได้ดีในด้านผู้หญิง ดังนั้นจึงคิดเสียว่าได้เห็นละครตลกฉากหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ยังไม่คิดจะให้หยางชิ่งกลับไปที่แดนอเวจีตอนนี้ เพราะยืมมือหยางชิ่งปรับปรุงกำลังพลแดนอเวจีไปพอสมควรแล้ว เหมียวอี้ไม่อยากให้หยางชิ่งควบคุมต่อไป จะได้ไม่อำนาจเยอะแล้วควบคุมยาก
ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ เขาไม่อยากให้อำนาจทางทหารที่แดนอเวจีตกอยู่ในมือหยางชิ่ง ก่อนที่จะกลับมาจากแดนอเวจี เขาก็ปรึกษากับบุคคลระดับสูงของหกลัทธิอย่างเป็นทางการ แบ่งอำนาจมหาศาลในแดนอเวจีออกเป็นส่วนๆ การเข้าร่วมงานแต่งงานของอวิ๋นรั่วซวงเป็นเพียงจุดเปลี่ยนแปลงเท่านั้น เท่ากับปล้นอำนาจของหยางชิ่งที่หกลัทธิไปจนหมดแล้วเช่นกัน
ตอนที่เขากลับมาก็พาชิงจวี๋ออกจากแดนอเวจีด้วยเช่นกัน ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องที่ไม่ให้หยางชิ่งกลับไปอีก หยางชิ่งเองก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องที่แดนอเวจีอีกเช่นกัน
เหมียวอี้ไม่รู้ว่าหยางชิ่งตระหนักได้ถึงจุดนี้แล้วหรือเปล่า ควบคุมดูแลงานที่แดนอเวจีมาหลายปีขนาดนั้น หลังจากเหมียวอี้กลับมาจากแดนอเวจีแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เอ่ยถึงเรื่องที่แดนอเวจีกับหยางชิ่งแม้แต่น้อยเลย ถามก็ไม่ถามอะไรด้วย ราวกับเรื่องที่แดนอเวจีไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับหยางชิ่งเลยสักนิด ทำท่าเหมือนกระตือรือร้นอยากจะเอาชนะซูอวิ้นให้ได้ ทำตัวเหมือนเอาสมาธิทั้งหมดไปลงกับเรื่องความรัก
เหมียวอี้ไม่สนว่าหยางชิ่งรู้แล้วหรือเปล่าหรือว่ามีความคิดอะไร แต่ท่าทีที่หยางชิ่งให้ความร่วมมือทำให้เขาดีใจมาก ตราบใดที่หยางชิ่งให้ความร่วมมือแต่โดยดี ทุกอย่างก็คุยง่าย อย่าว่าแต่ซูอวิ้นคนเดียวเลย ขอเพียงเหมียวอี้หามาให้ได้ ต่อให้เป็นซูอวิ้นพันคนหมื่นคน ขอเพียงหยางชิ่งต้องการเขาก็ให้ได้!
เข้าใจทุกอย่างโดยไม่ต้องพูด เหมียวอี้ไม่ได้รู้สึกขัดใจหรือเซ็งเหมือนอวิ๋นจือชิว เพียงยิ้มเรียบๆ พลางกำชับว่า “แม้หญิงงามจะดี แต่ก็อย่าให้เป็นอุปสรรคต่อการทำงานจะดีกว่า!”
“รับทราบ!” หยางชิ่งกุมหมัดเอ่ยรับ
แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ตรงจุดที่มีรอยแยกไม่หยุดหย่อน เหมียวอี้ถลันตัวออกมาเหยียบลงพื้น เดินสังเกตการณ์บริเวณรอบๆ แล้วโบกมือปล่อยเฮยทั่นออกมา
มาฝึกวิชาที่นี่ก็ย่อมต้องพาเฮยทั่นกลับมาฝึกด้วยกัน ตอนนี้เฮยทั่นสามารถเหาะที่นี่ได้แล้ว ทั้งยังเป็นพลังเท้าให้เขาได้ด้วย
เมื่อเห็นแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีกครั้ง เฮยทั่นที่ปรากฏตัวที่นี่ก็ตื่นเต้นดีใจมาก ร่างกายยืดยาวขึ้น กลายเป็นมังกรดำตัวใหญ่ทะยานขึ้นไปบินวนบนท้องฟ้า เงยหน้าคำรามลากเสียงยาวประกาศว่าตัวเองกลับมาแล้ว
ตอนที่อยู่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ เขาคิดแต่จะออกไปเที่ยวข้างนอก ตอนอยู่ที่จวนท่านอ๋องเขาก็คิดอยากกลับมาเจอเทพสตรีเผ่าหงส์บ่อยๆ เป็นเพราะตอนอยู่ข้างนอกเหมียวอี้ควบคุมเข้มงวดเกินไป เหมียวอี้อยู่ในตำแหน่งนั้นแล้วก็ต้องทำตัวเป็นตัวอย่างที่ดี ไม่มีทางส่งเสริมให้ลูกน้องคนสนิททำตัวเหลวไหลจนสร้างผลกระทบที่ไม่ดี ถามหน่อยว่าถ้าเป็นแบบนี้ เฮยทั่นอยู่ที่จวนท่านอ๋องแล้วยังจะมีความหมายอะไร?
เมื่ออยู่ที่นี่เขาสามารถกระโดดโลดเต้นไปทั่วได้ สามารถหลับหูหลับตาเล่นสนุกได้เต็มที่ เมื่อเทียบกันแล้วมีอิสระยิ่งกว่า ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีเทพสตรีเผ่าหงส์ที่เขาชอบด้วย
หลังจากเหาะระบำอยู่บนฟ้าอย่างตื่นเต้นดีใจพักหนึ่ง ก็เห็นเหมียวอี้พลันกระโดดขึ้นมา เฮยทั่นรีบพุ่งลงไปเอาหัวช้อน แบบเหมียวอี้เหาะไปยังหุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ…
เพียงชั่วดีดนิ้ว ผ่านไปแล้วสามพันปี!
หุบเขาฟ้าไม่ดับสูญ ตรงตีนเขาริมทะเลสาบหินหนืด หมอกพลังจิตวิญญาณที่กระเพื่อมหายไปเร็วมาก หินก้อนหนึ่งริมทะเลสาบหินหนืดเริ่มปรากฏให้เห็น เผยร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิของเหมียวอี้ หมอกพลังจิตวิญญาณดูดกลับเข้าในร่างกายเหมียวอี้อย่างรวดเร็ว ส่วนตรงหว่างคิ้วของเหมียวอี้ก็มีสัญลักษณ์พลังเปลวเพลิงสีทองปรากฏให้เห็น แวววาวสะดุดตา อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้ก็มองเห็นได้ และรอบกายเหมียวอี้ก็เกิดคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ในขอบเขตที่ใหญ่มาก เป็นคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่ไร้ความเสถียร
สองมือของเหมียวอี้ใช้วิชาดัชนีไม่หยุด พยายามควบคุมพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมซัดสาดอยู่ในร่างกายอย่างสุดชีวิต จะต้องควบคุมไม่ได้ เสียการควบคุมไม่ได้เด็ดขาด!
ในสระเพลิงมังกรบนภูเขา เปลวเพลิงเดือดที่เหมือนมังกรเลื้อยพลันกลายเป็นหัวมังกรเพลิงที่ดุร้ายเปี่ยมพลังอำนาจตัวหนึ่ง ดวงตาเพลิงกำลังจ้องแสงระยิบระยับนอกปากถ้ำ
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วยาม ลำแสงก็เริ่มหายไปทีละนิด คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่วุ่นวายก็เริ่มสงบลงแล้วเช่นกัน หัวมังกรเพลิงพลันสลายไปอีก กลับมาเป็นเปลวเพลิงที่เหมือนมังกรเลื้อยอีกครั้ง
เหมียวอี้ทีนั่งขัดสมาธิอยู่บนหินริมทะเลสาบหินหนืด ใช้ฝ่ามือของข้างกดช้าช้าๆ ตรงหน้าอกลงไปถึงจุดตันเถียน ลำแสงตรงกว่างคิ้วหายไปหมดสิ้น สัญลักษณ์พลังเปลวเพลิงสีทองที่เป็นเหมือนเงาแนบติดตรงหว่างคิ้วเหมือนเป็นของจริง เป็นลายเปลวเพลิงสีทองจางๆ!
เหมียวอี้พลันลืมตา ดวงตาทั้งคู่คมกริบ พลังอิทธิฤทธิ์หมุนวน สองเขนพลันระเบิดออก ทั้งตัวแยกเป็นสิบร่าง เหมียวอี้เก้าคนที่หน้าตาเหมือนกันเด้งออกมาจากร่างเดิมที่กำลังนั่งสมาธิ มาตกลงที่ตีนเขาด้านหลัง ยืนในระดับความสูงที่ต่างกัน จ้องเงาหลังเหมียวอี้ที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ริมทะเลสาบพร้อมกัน กำลังมองประเมินกันและกัน
เหมียวอี้ที่พ่นลมหายใจออกมาช้าๆ หลับตาลงอีกครั้ง
เหมียวอี้อีกเก้าคนพลันต่างคนต่างวิ่งออกไป วิ่งไปทั่วสารทิศอย่างอิสระบนภูเขาสูง
ร่างเดิมนั่งขัดสมาธิไม่ขยับไปไหน กำลังสัมผัสความรู้สึกที่เป็นหนึ่งเดียวระหว่างทั้งสิบคน ใจเชื่อมถึงกันอย่างแท้จริง สิ่งที่ทั้งสิบคนได้ยินและได้เห็นล้วนอยู่ในการรับรู้ของกันและกัน ความรู้สึกแบบนี้อัศจรรย์มากจริงๆ
เหมียวอี้เริ่มสัมผัสได้ถึงข้อเสียเช่นกัน พลังอิทธิฤทธิ์ของร่างทิพย์ไม่อาจใช้อย่างต่อเนื่องได้ เหมือนพลังที่มีอยู่เต็มกำลังถูกใช้ให้หมดเปลืองไปอย่างช้าๆ ไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีก นอกเสียจากร่างทิพย์จะฝึกวิชาเอาเอง แต่ผลที่ตามมาทำให้เหมียวอี้ไม่กล้าทดลอง ถ้าทำอย่างนั้นจริงๆ เมื่อร่างทิพย์ฝึกตนเองได้จนทำลายความสมดุล สำนึกได้ว่าตัวเองแยกตัวเป็นอิสระได้ ก็มีความเป็นไปได้สูงว่าอาจจะกลายไปเป็นอีกคนหนึ่ง ไม่กลับมารวมเป็นหนึ่งเดียวอีก!
และการนำพลังอิทธิฤทธิ์ของคนคนเดียวไปให้คนใช้สิบคน พลังอิทธิฤทธิ์ก็จะสิ้นเปลืองจนน่าตกใจมาก!
ร่างทิพย์เก้าร่างไปถึงบนยอดเขาแล้ววิ่งตะบึงลงมา ทยอยกันวิ่งไปหาร่างที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ริมทะเลสาบ หลอมรวมเข้าไปในร่างหลักทีละคน
เหมียวอี้ค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง อมยิ้มเล็กน้อย บรรลุวรยุทธ์ระดับระดับสำแดงฤทธิ์อย่างเป็นทางการ…
วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร โพ่จวินมาถึงแล้ว เดินก้าวยาวตรงเข้ามา ในตำนักนอกจากประมุขชิงแล้ว ยังมีซ่างกวนชิงกับซือหม่าเวิ่นเทียนอยู่ด้วย ประมุขชิงไม่ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งตัวเอง กำลังยืนสุมหัวพึมพำบางอย่างกับอีกสองคนอยู่กลางตำหนัก
โพ่จวินก้าวขึ้นมาทำความเคารพประมุขชิง “ฝ่าบาท!”
ประมุขชิงขานรับ แล้วพยักหน้าให้ซือหม่าเวิ่นเทียน “เจ้าบอกสถานการณ์ให้เขารู้สักหน่อย”
ซือหม่าเวิ่นเทียนมองโพ่จวินแล้วกระแอมหนึ่งที โพ่จวินชำเลืองเขาอย่างเย็นเยียบ ไม่รู้ว่าเขากำลังจะพูดอะไร
ซือหม่าเวิ่นเทียนตอบแทนด้วยใบหน้ายิ้ม “คืออย่างนี้นะ หนิวโหย่วเต๋อมีความคิดไม่ซื่อมาตั้งแต่แรกแล้ว หน่วยตรวจการซ้ายจับตาดูและรายงานฝ่าบาทมาตลอด ตอนนี้ยืนยันได้แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อใช้เวลาส่วนใหญ่ฝึกตนอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์”
โพ่จวินกล่าวเสียงเรียบว่า “ตอนนี้ยังต้องยืนยันอีกเหรอ? แดนมรณะดึกดำบรรพ์เหมาะสมกับการฝึกตนของหนิวโหย่วเต๋อ ทางเข้าก็มีทหารเฝ้าแน่นหนา เสริมการป้องกันยิ่งกว่าเดิม ต่อให้ใช้ก้นคิดก็รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อเข้าไปฝึกตนในแดนมรณะดึกดำบรรพ์บ่อยแน่นอน ยังต้องจับตาดูอีกเหรอ?”
แค่ประโยคเดียวก็ทำให้ผลงานของหน่วยตรวจการซ้ายไร้ราคาทันที ประมุขชิงเผยสีหน้าแปลกๆ
พูดแบบนี้ต่อหน้าฝ่าบาท ซือหม่าเวิ่นเทียนยิ้มไม่ออกทันที “จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะจับตาดู เจ้าจะรู้เหรอว่าเมื่อไหร่ที่เขาอยู่ข้างนอกเมื่อไหร่ที่เขาอยู่ข้างใน?”
ที่เขาพูดอย่างนี้ก็ไม่ผิด หลายปีมานี้ก็ใช่ว่าเหมียวอี้จะอยู่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ตลอดโดยไม่ได้ออกมา ข้างนอกมีเรื่องที่ต้องให้เขาออกหน้าจัดการด้วยตัวเองอยู่แล้ว เขาเองก็ต้องออกมาเช่นกัน ไปกลับระหว่างข้างนอกและข้างในจนเป็นเรื่องปกติแล้ว
“ข้าจำเป็นต้องสนใจเรื่องนี้ด้วยเหรอ?” โพ่จวินถามอย่างเย็นชา
“…” ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดไม่ออก รีบมองประมุขชิง เหมือนกำลังบอกว่า ถ้าเขาทำอย่างนี้ เรื่องนี้ก็ไม่มีทางคุยกันต่อได้แล้ว
“แค่กๆ!” ประมุขชิงส่งเสียงประนีประนอม “พูดคุยเรื่องสำคัญ”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพยักหน้าเบาๆ แล้วพูดกับโพ่จวินต่อไปว่า “ในบรรดากำลังพลไม่กี่สาย แม้หนิวโหย่วเต๋อจะผงาดขึ้นมาทีหลังสุด แต่กลับมีความได้เปรียบของการมาทีหลัง การปรับปรุงกำลังพลทัพใต้ทำได้ดีกว่ากำลังพลสายอื่น กอปรกับหนิวโหย่วเต๋อมีจิตใจเป็นขุนนางทรราช ตามความเห็นของข้า ควรหาโอกาสกำจัดทิ้ง!”
เจ้ามีความกล้านี้ด้วยเหรอ? ไม่ใช่ว่าโพ่จวินดูถูกเขา เหล่ตามองประมุขชิงที่ลูบเคราเงียบๆ ถ้าให้เดาก็เดาออกว่าเป็นประสงค์ของประมุขชิง จึงถามว่า “หน่วยตรวจการซ้ายของเจ้าคุ้นเคยกับการทำเรื่องลับลวงพราง จำเป็นต้องปรึกษากับข้าด้วยเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนเริ่มเดือดดาลนิดหน่อย “ถ้าไม่มีหน่วยตรวจการซ้ายคอยแอบทำเรื่องลับลวงพราง หน่วยองครักษ์ซ้ายจะได้ทำตัวอย่างสง่าผ่าเผยได้ยังไง!”
“พอแล้ว!” เมื่อเห็นทั้งสองกำลังเริ่มจะเถียงกัน ประมุขชิงก็ออกเสียงข่มไว้ “ไม่ได้ให้พวกเจ้ามาทะเลาะกัน ข้าให้พวกเจ้าคิดหาทางกำจัดโจร คุยเรื่องสำคัญกัน!”
โพ่จวินถามประมุขชิงโดยตรงเสียเลยว่า “ฝ่าบาทอยากจะให้กองทัพองครักษ์ลอบสังหารอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้เหรอ? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าถ้าทำเรื่องนี้พลาดแล้วใต้หล้าจะวุ่นวายใหญ่โต ข้างกายหนิวโหย่วเต๋อมีกำลังทหารรายล้อมจำนวนมาก ถ้าอยากจะลอบสังหารก็ไม่มีทางสำเร็จ”
ซ่างกวนชิงยิ้มและพูดต่อว่า “ดังนั้นหน่วยตรวจการซ้ายถึงได้คิดจะลงมือที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์มาตลอดไงล่ะ ตอนหนิวโหย่วเต๋ออยู่ข้างนอกจะต้องมีกำลังพลอารักขาทั้งในที่ลับและที่แจ้งแน่นอน แต่ที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์นั้นต่างกัน ที่นั่นไม่เหมาะให้ทัพใหญ่อยู่เป็นเวลานานเลย ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่หนิวโหย่วเต๋อจะนำกำลังพลจำนวนมากเข้าไปอยู่ในนั้น นี่ก็คือโอกาสดีในการลงมือ!”
“ที่บอกว่าเป็นโอกาสนั้นไม่ผิดหรอก แต่ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์มีทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋อเฝ้าอย่างเข้มงวด เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของหนิวโหย่วเต๋อ การตรวจสอบก็เข้มงวดมากเช่นกัน กำลังพลกองทัพองครักษ์จะปะปนเข้าไปได้ยังไง?” โพ่จวินถาม
ซ่างกวนชิงพยักหน้า “ดังนั้นหลายปีมานี้หน่วยตรวจการซ้ายใช้ความพยายามไปไม่น้อย กำลังพลตรงทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์ถูกหน่วยตรวจการซ้ายซื้อตัวแล้ว ขอเพียงหาโอกาสที่เหมาะสมได้ ก็สามารถส่งมือสังหารของกองทัพองครักษ์เข้าไปได้เลย”
โพ่จวินเงียบไป ก่อนจะขมวดคิ้วบอกว่า “ทัพใหญ่ของหนิวโหย่วเต๋ออยู่ในนั้นนานไม่ได้ กองทัพองครักษ์ก็อยู่ในนั้นนานไม่ได้เช่นกัน ถ้าหลังจากหนิวโหย่วเต๋อออกมาแล้ว ไม่เข้าไปในนั้นอีกเป็นเวลานาน กำลังพลที่ส่งเข้าไปข้างในแล้วถูกปิดทางไว้ จะไม่เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งหรอกเหรอ?”
ซือหม่าเวิ่นเทียนพูดต่อว่า “ผู้บัญชาการองครักษ์ซ้ายคิดมากไปแล้ว หลายปีมานี้สายลับที่ส่งไปอยู่ฝั่งนั้นสังเกตเรื่องนี้อย่างรอบคอบมาตลอด เดาจังหวะการเข้าออกของหนิวโหย่วเต๋อได้แล้ว เมื่อเชื่อมโยงกับข่าวทางด้านอื่นๆ ก็สามารถตัดสินได้ ว่าหนิวโหย่วเต๋อทุ่งสมาธิไปกับการฝึกตน หลังจากออกมาจัดการกิจธุระแล้ว ก็จะรีบกลับเข้าไปในแดนมรณะดึกดำบรรพ์อีก จะไม่อยู่ข้างนอกนาน”
ซ่างกวนชิงช่วยคลายความสงสัยให้โพ่จวินอีก “ต่อให้บังเอิญเจอกับช่วงที่หนิวโหย่วเต๋อไม่เข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์เป็นเวลานาน แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลใจเกินไปนัก ถ้าไม่ไหวจริงๆ ฝ่าบาทจะหาข้ออ้างส่งทหารเข้าไปปราบวิญญาณชั่วร้ายในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ล่วงหน้า จากนั้นก็ฉวยโอกาสนี้นำกำลังพลที่อยู่ในนั้นออกมาเงียบๆ ไม่ส่งพี่น้องกองทัพองครักษ์ไปตายเฉยๆ แน่นอน!”
……………