ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาใช้พลังอิทธิฤทธิ์ช่วยสนับสนุนนานเกินไป ในเมื่อฝั่งนี้กล้านำคนมาดักซุ่ม จะต้องมีการเตรียมตัวไว้แล้วแน่นอน
วินัยทหารของกองทัพองครักษ์ควรค่าแก่การยอมรับ ตามคำสั่งของซีเหมินอู๋เหย่ ทัพใหญ่ที่เสียระเบียบสงบลงอย่างรวดเร็ว กระจายตัวกันดักซุ่มอยู่ในขอบเขตที่ไม่กว้างมาก ขุดผิวดินโดยตรง ทัพใหญ่ซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน ใช้ค่ายกลป้องกันขนาดใหญ่แบ่งกลุ่มกันป้องกัน ถึงแม้ปราณชั่วร้ายจะสัมผัสได้ถึงสิ่งมีชีวิตและเริ่มแทรกซึมเข้ากัดกร่อนค่ายกลป้องกันที่อยู่ใต้ดิน แต่พลังงานที่ฝั่งนี้พกมาด้วยก็มีไม่น้อย เพียงพอให้ต้านทานได้เป็นเวลานาน
คนที่ฝึกเคล็ดวิชาธาตุไฟบางส่วนที่อยู่ด้านนอกรีบทำให้ผิวดินกลับสู่สภาพเดิม จากนั้นก็วิ่งออกจากที่นี่ขึ้นไปซ่อนตัวบนภูเขาสูงที่อยู่ไกลๆ ไปคอยสังเกตการณ์
ส่วนทัพใหญ่ที่ดักซุ่มอยู่ตรงทางเข้า จุดประสงค์หลักก็เพื่อตัดทางหนีของเหมียวอี้ รวมทั้งป้องกันไม่ให้กองหนุนข้างนอกเข้ามา
ส่วนกำลังพลที่ดักซุ่มอยู่เส้นทางอื่น จุดประสงค์หลักเพื่อโจมตีเหมียวอี้
สำหรับคนที่มีชื่อเสียงด้านการรบและมักใช้กำลังน้อยเอาชนะกำลังเยอะอย่างอ๋องสวรรค์หนิว ไม่มีใครกล้าประเมินศัตรูต่ำ เตรียมตัวไว้แล้วว่าถ้าเหมียวอี้โผล่หน้ามา ก็จะไม่ให้โอกาสเตรียมตัวใดๆ จะต้องโจมตีเหมียวอี้ให้ตายในรวดเดียว ไม่อย่างนั้นปัญหาก็จะตามมาไม่จบไม่สิ้น…
ในห้องสมาธิ เซี่ยโห้วท่ามีลักษณะท่าทางแก่หง่อม นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินหิน โดยมีเหยียนซิวยืนดูอยู่ข้างๆ
ประตูบานใหญ่ของห้องศิลาเปิดออก เหมียวอี้เดินก้าวยาวเข้ามา อวิ๋นจือชิวกับหยางชิ่งติดตามอยู่ทางซ้ายและขวา
เซี่ยโห้วท่าหลับตาไม่ขยับเขยื้อน เหมียวอี้เดินมาตรงหน้า แล้วถามได้ทางเคารพ “ท่านปู่สวรรค์ ไม่ทราบว่ามีอะไรจะกำชับข้า?”
เหมียวอี้ย่อมรู้ว่าเขาเรียกตัวเองมาเจอไม่ใช่เพราะจะเจอเป็นครั้งสุดท้ายเฉยๆ บอกว่า “ท่านปู่สวรรค์มีอะไรก็พูดมาตรงๆเลย”
เซี่ยโห้วท่าหัวเราะเบาๆ “ไม่รู้ว่าสถานการณ์ข้างนอกเป็นยังไงบ้าง สถานการณ์ของตระกูลเซี่ยโห้วเป็นยังไงบ้าง?” คำถามเหล่านี้เขาถามได้เพียงเหมียวอี้ ถ้าถามเหยียนซิว เหยียนซิวอาจจะไม่บอกสถานการณ์ใดๆ แก่เขาหากไม่ได้รับอนุญาต
เหมียวอี้ตอบว่า “สถานการณ์ภาพรวมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปตระกูลเซี่ยโห้วยังเหมือนเดิม ยังดำเนินงานเหมือนเดิม เพียงแต่เฉาหม่านลอยขึ้นมาอยู่บนเวทีแล้ว ภายใต้การผลักดันของประมุขชิง หกพันปีก่อนกลับมาใช้ชื่อเดิมของตัวเอง นั่นก็คือเซี่ยโห้วหม่าน เข้ามาอยู่ที่จวนท่านปู่สวรรค์อย่างเป็นทางการ เข้าประชุมในราชสำนัก เขาแข็งแกร่งกว่าเซี่ยโห้วลิ่ง รักษาสมดุลทั้งข้างล่างข้างบนได้ไม่เลว!”
เซี่ยโห้วท่าส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “สมดุลที่ได้มาเพราะท่านอ๋องมอบให้ อำนาจทั้งในที่ลับและที่แจ้งของตระกูลเซี่ยโห้วถูกท่านอ๋องสืบจนชัดเจนหมดแล้ว สมาคมอาวุโสก็อยู่ภายใต้การควบคุมของท่านอ๋องเช่นกัน ถ้าท่านอ๋องไม่อยากให้เขาสมดุล เขาจะหาความสมดุลมาจากไหนกัน”
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว คาดว่าท่านปู่สวรรค์คงไม่ถือสาเรื่องนี้เช่นกัน” เหมียวอี้กล่าว
เซี่ยโห้วท่าบอกว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วเฟื่องฟูขึ้นมาได้เพราะข้า แล้วตกอับจนฟื้นฟูกลับมาไม่ได้เพราะข้าเช่นกัน เรื่องที่ลึกลับซับซ้อนแบบนี้ทำให้ข้าได้แต่ถอนหายใจ คนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต ท่านอ๋องต้องดูไว้เป็นบทเรียน…ถ้าจะบอกว่าไม่คิดถึงเลยสักนิดก็โกหกแล้ว ใครอยากจะรู้ว่าตอนสุดท้ายท่านอ๋องจะจัดการกับตระกูลเซี่ยโห้วอย่างไร”
เหมียวอี้เงียบไปครู่เดียว แล้วตอบตรงๆ ว่า “ถ้าไม่เก็บไว้ให้ข้าใช้งาน ก็ฆ่าให้หมด ตัดรากถอนโคนทิ้ง!”
เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าเบาๆ “ช่างเป็นความจริง เช่นนั้นไว้หน้าข้าสักครั้งได้หรือเปล่า ให้โอกาสรอดกับตระกูลเซี่ยโห้วเป็นยังไง?”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “สิ่งนี้ข้าไม่สะดวกจะรับปาก เพราะอำนาจในการเลือกไม่ได้อยู่ในมือข้า แต่ต้องดูว่าตอนสุดท้ายคนของตระกูลเซี่ยโห้วจะคิดยังไง ถ้ายอมสวามิภักดิ์ต่ออ๋องผู้นี้ ข้าก็จะพิจารณาได้ แต่ถ้าในใจรู้สึกไม่ยอม ข้าก็เกรงว่าตัวเองจะใจอ่อนเหมือนผู้หญิงได้ยาก!” จนป่านนี้แล้วไม่จำเป็นต้องพูดโกหกตตบตาอะไร ที่ว่ากันว่าคนใกล้ตายมักจะพูดอะไรจากใจ คำนี้ใช้ได้กับทั้งคนที่ใกล้ตาย และกับคยที่กำลังคุยกับคนใกล้ตาย
เซี่ยโห้วท่าไม่ได้ดันทุรังขอร้องเช่นกัน แต่ขอร้องสิ่งที่น้อยกว่านั้น”เช่นนั้นปล่อยให้เวี่ยโห้วเฉิงอวี่แก่ตายตามธรรมชาติได้หรือไม่?”
หลายคนในห้องสบตากันแวบหนึ่ง เหมียวอี้แววตาวูบไหว ถามอย่างแปลกใจว่า “เหตุใดราชินีสวรรค์ถึงทำให้ท่านปู่สวรรค์ดีกับนางขนาดนี้ได้?”
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจเบาๆ “ตระกูลเซี่ยโห้วอยู่ในมือข้ามาหลายปีขนาดนี้ เรื่องอื่นข้าอาจจะทำไม่ได้ แต่โดยส่วนใหญ่ก็ไม่เคยทำเรื่องที่เอาลูกสาวไปแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ โดยส่วนใหญ่ถ้าเจอคนที่ถูกใจแล้วยินดีแต่งงานก็จะให้แต่งงาน ไม่เคยบีบบังคับมาก่อน ลูกชายหลานชายของตระกูลเซี่ยโห้วก็ได้เสพสุขกับความร่ำรวยมามากเช่นกัน ต่อให้สุดท้ายมันจะสิ้นสุดลงเพราะข้า แต่ข้าก็ไม่ติดค้างอะไรพวกเขาเช่นกัน มีเพียงนางเด็กเฉิงอวี้ หลายปีมานี้ทำให้นางไม่ได้รับความไม่ยุติธรรม ข้าติดค้างนานแล้ว ข้าจึงรู้สึกผิดในใจ ถ้าข้ายังมีอิทธิพลต่อตระกูลเซี่ยโห้ว ก็ย่อมปกป้องนางให้ตายอย่างสงบได้ แต่ตอนนี้ถ้าทำได้เพียงขอร้องท่านอ๋องแล้ว!”
เหมียวอี้ทอดถอนใจด้วยความตรง “ก็ได้! ข้ารับปากวิธี ถ้ามีวันนั้นที่ข้ามีอำนาจตัดสินใจได้จริงๆ ขอเพียงเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่รนหาที่ตายเอง ข้าก็จะพยายามปกป้องให้นางแก่ตาย! ถ้าสุดท้ายข้าไม่มีอำนาจตัดสินใจ ข้าก็จะเอาคำขอนี้ของท่านปู่สวรรค์ไปบอกต่อให้คนที่มีอำนาจตัดสินใจ คาดว่าอีกฝ่ายคงไม่ถึงขั้นไม่ไหวหน้าท่านปู่สวรรค์ ท่านปู่สวรรค์วางใจได้หรือยัง?”
เซี่ยโห้วท่าพยักหน้าอย่างปลาบปลื้ม เหลือบตาขึ้นถามว่า “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องสู้กับพระปีศาจแล้วมีโอกาสชนะบ้างหรือเปล่า?”
พอพูดถึงตรงนี้ เหมียวอี้ก็เริ่มขมวดคิ้ว “ไม่ปิดบังท่านปู่สวรรค์ บัวโลหิตตกอยู่ในมือพระปีศาจแล้ว พระปีศาจไม่ได้เคลื่อนไหวมาหลายปีแล้ว…” เขาเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟัง
“หึหึ ดูท่าแล้ว ท่านอ๋องก็ไม่พ้นใจอ่อนเหมือนผู้หญิง…” เซี่ยโห้วท่ายิ้มอย่างขื่นขมไม่หยุด สุดท้ายก็ถอนหายใจ “หนานโปมีพรสวรรค์ในเส้นทางการฝึกตน พบเห็นได้ยาก เคล็ดวิชาฝึกตนที่เขาเกี่ยวข้องซับซ้อนมา สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ในอดีตของเขา สัมผัสกับวิชาต่างๆ มาอย่างกว้างขวางจนไม่มีใครเทียบเขาได้ ในเมื่อเขาสืบเจอช่องทางในการหลอมสร้างกายหยาบแล้ว อาศัยความสามารถในด้านนี้ของเขา เกรงว่าคงจะไม่มีอะไรผิดพลาด ไม่ได้เคลื่อนไหวมาหลายปีขนาดนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าได้กายหยาบกลับมาแล้ว และในอดีตเขาก็ผงาดขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว เป็นเพราะเขามีเคล็ดวิชาพิเศษ สามารถดูดวรยุทธ์ของคนอื่นมาให้ตัวเองใช้ได้ ตามที่ข้ารู้มา อย่างมากก็หนึ่งหมื่นปี วรยุทธ์ชอ
“หนึ่งหมื่นปี…” เหมียวอี้ขมวดคิ้วมุ่น พวกหยางชิ่งก็ขมวดคิ้วคำนวณเวลาเช่นกัน
เซี่ยโห้วท่าบอกว่า “ตอนนี้พระปีศาจเป็นเหมือนมังกรที่เร้นกายอยู่ในหุบเขา แค่ไม่ส่งเสียงเท่านั้นเอง ถ้าส่งเสียงขึ้นมาสถานการณ์ต้องปั่นป่วนวุ่นวายแน่นอน ท่านอ๋องควรระวังไว้นะ!”
เหมียวอี้เห็นเขาดูไม่ค่อยสะทกสะท้าน จึงอดไม่ได้ที่จะถาม “ว่ากันว่าพระปีศาจควบคุมการเวียนว่ายตายเกิดได้ อย่าบอกนะว่าท่านปู่สวรรค์ไม่กังวล?”
เซี่ยโห้วท่าถอนหายใจ “ในเมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ข้ากังวลไปแล้วจะมีประโยชน์อะไร? ไม่มีกำลังวังชาอย่างนั้นแล้ว ไม่ถึงคราวให้ข้ากังวลเช่นกัน ถ้าเขาควบคุมให้ข้ากลับชาติมาเกิดใหม่ แล้วดึงข้ากลับมาล้างแค้นอีก ถ้าฟื้นฟูความทรงจำของข้ากลับมาก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ใช่ว่าข้าจะไม่มีโอกาสรอดก่อนตาย ข้าสามารถล้มเขาได้รอบหนึ่ง ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีรอบสอง? หึหึ เอาเป็นว่าพระปีศาจแหกกฎธรรมชาติเกินไป ฟ้าดินไม่อาจปล่อยไว้ได้แน่นอน เจ้าเวรนั่นถึงขั้นทำเรื่องตัดขาดการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว สุดท้ายคงยากที่จะได้ตายอย่างสงบ ต้องถูกสวรรค์ลงโทษแน่นอน ต่อให้พวกเราจะจัดการไม่ได้ แต่ช้าเร็วก็ต้องมีคนที่สามารถจัดการเขาได้ปรากฏตัวขึ้นมา! ว่าแต่ท่านอ๋องเองเถอะ จะไม่ป้องกันประมุขชิงไม่ได้นะ!”
เรื่องที่ประมุขชิงจะสังหารตัวเอง เหมียวอี้รู้ตั้งนานแล้ว แต่อดไม่ได้ที่จะขานรับแล้วกล่าวอย่างเกรงใจ “ท่านปู่สวรรค์มีความเห็นอันเหนือชั้นเหรอ?”
เซี่ยโห้วท่าหลับตาลงอย่างอ่อนแรง พอรวบรวมกำลังวังชาได้เล็กน้อย ก็เอ่ยปากบอกอีกว่า “แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ท่านอ๋องต้องระวังเอาไว้มากๆ อาจจะมีภัยที่นั่น!”
แดนมรณะดึกดำบรรพ์? พวกเขาสบตากันเวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเน้นเอ่ยถึงแดนมรณะดึกดำบรรพ เหมียวอี้ถามว่า “หมายความว่ายังไงว?”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวช้าๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ข้ารู้จักประมุขชิงดี แค่ท่านอ๋องมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับตระกูลเซี่ยโห้ว ก็เพียงพอที่จะทำให้ประมุขชิงอยากกำจัดภัยที่จะตามมาในภายหลังแล้ว ท่านอ๋องนั่งในตำแหน่งอย่างมั่นคงได้จนถึงทุกวันนี้ ก็อธิบายปัญหาได้เพียงว่า ท่านอ๋องควบคุมทัพใต้ได้อย่างมันคงแล้ว มีการพึ่งพาและอยู่ร่วมกับท่านอ๋องคนอื่นได้ค่อนข้างดี ทั้งยังได้การสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้วอีก ถ้าประมุขชิงอยากจะโค่นล้มท่านอ๋องจากเหตุการณ์ใหญ่ ก็อาจมีความเป็นไปได้น้อย ถ้าลงมือจากเหตุการณ์ใหญ่ไม่ไหว เขาก็ไม่ล้มเลิกที่จะลงมือจากเหตุการณ์เล็กๆ ตอนนี้ท่านอ๋องสามารถยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างสบายดี ก็เพราะประมุขชิงอาจยังหาโอกาสลงมือไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่เกรงใจแบบนี้ จะเห็นได้ว่ายามท่านอ๋องออกข้างนอก ข้างกายมีทหารคุ้มกันแน่นหนา ยากที่จะลงมือได้ การป้องกันในจวนท่านอ๋องก็เข้มงวดยิ่งกว่า ถ้าตัดความเป็นไปได้เหล่านี้ออก ทัพใต้ถูกท่านอ๋องควบคุมไว้อย่างมั่นคง ท่านอ๋องควรจะมีเวลาว่างไปฝึกตนได้แล้ว ถ้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์เหมาะสมกับการฝึกตนของท่านอ๋องที่สุดจริงๆ หลายปีมานี้ เกรงว่าท่านอ๋องคงจะไปบ่อยสินะ? แดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ใช่สถานที่ที่มีทหารคุ้มกันแน่นหนา ลงมือได้สะดวก ประมุขชิงน่าจะเพ่งเล็งมาตั้งนานแล้ว”
“ทางเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์อยู่ในการควบคุมของข้า ถ้าอยากจะเข้ามาสังหารข้าที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ ก็ต้องถามค่าก่อนว่าอนุญาตหรือเปล่า ประมุขชิงพาลทำตามอำเภอใจไม่ได้หรอก!” เหมียวอี้กล่าว
เซี่ยโห้วท่าไม่ได้อธิบายเช่นกัน ไม่มีกำลังจะไปเถียงแล้วด้วย พึมพำกับตัวเองว่า “แดนมรณะดึกดำบรรพ์ไม่ใช่แดนที่มีทหารคุ้มกัน ไม่ได้มีกำลังพลจำนวนมากปกป้องท่านอ๋อง แต่ประมุขชิงก็ไม่รู้ชัดว่าท่านอ๋องมีสถานการณ์อย่างไรเมื่ออยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ โอกาสที่จะส่งองครักษ์เงาเข้าไปลอบสังหารก็มีไม่มาก การลอบสังหารอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ไม่ใช่เรื่องเล็ก มีแต่ต้องทำให้สำเร็จเท่านั้น ปล่อยให้ผิดพลาดไม่ได้ ดังนั้นประมุขชิงจะต้องส่งกำลังทหารจำนวนมากเข้าไปปฏิบัติการแน่นอน เป็นกองทัพองครักษ์อย่างไม่ต้องสงสัย คนที่ทำให้ประมุขชิงฝากฝังเรื่องสำคัญขนาดนี้ได้ไม่ใช้อู๋ฉวี่ แต่เป็นโพ่จวินที่จะไม่ปฏิเสธหน้าที่นี้ ทั้งตำหนักสวรรค์ คนที่ประมุขชิงเชื่อใจอย่างแท้จริงก็คือโพ่จวิน! ระดมกำลังพลจำนวนมากเกินไปนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะจะถูกคนอื่นสังเกตเห็นได้ง่าย แต่ถ้าพาไปน้อยเกินก็กลัวจะพลาด
กองทัพองครักษ์ส่งกำลังพลสิบล้านคือจำนวนที่เหมาะสมที่สุด ท่านอ๋องอยากจะรู้ไหมว่าประมุขชิงมีเจตนาไม่ซื่อหรือเปล่า สืบไม่ยากหรอก ตระกูลเซี่ยโห้วมีคนบางส่วนอยู่ที่กองทัพองครักษ์ ท่านอ๋องเองก็รู้ ท่านอ๋องแค่ต้องสืบจากหน่วยองครักษ์ซ้ายของโพ่จวิน ดูว่ามีกำลังพลหายไปหรือเปล่า ที่สำคัญคือในบรรดาแม่ทัพคนสนิทของโพ่จวิน มีใครที่ไม่โผล่หน้ามาแล้วหลายปีหรือเปล่า โพ่จวินต้องส่งสมาชิกคนสำคัญให้ออกโรงด้วยตัวเองแน่ ถ้ามีเหตุการณ์อย่างนั้น ท่านอ๋องก็ควรระวังตัวเอาไว้มากๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าประมุขชิงกำลังรอโอกาสลงมือ แน่นอน ข้าไม่รู้สถานการณ์ข้างนอกชัดเจน บางทีกองทัพองครักษ์อาจจะไปปฏิบัติภารกิจอื่น แต่ท่านอ๋องก็รู้สถานการณ์ข้างนอกดี กองทัพองครักษ์ได้ใช้งานทหารเป็นเวลานานหรือไม่ น่าจะปิดบังสายตาของท่านอ๋องไม่ได้…แค่พูดจาเรื่อยเปื่อยเท่านั้น ตาแก่คนนี้ก็แค่บ่นส่งเดชสองสามประโยค ท่านอ๋องแค่ฟังไว้ก็พอ อย่าไปคิดเป็นจริงเป็นจัง!”
เขาบอกว่าแค่บ่นส่งเดชสองสามประโยคเท่านั้น แต่อวิ๋นจือชิวที่ฟังอยู่ข้างๆ กลับทำสายตาระแวงสงสัยไม่หยุด ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้
เหมียวอี้ไม่สะทกสะท้านเห็น เซี่ยโห้วท่าพูดจบแล้วทำสีหน้าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ก็พูดตามมารยาททันทีว่าให้เขาพักผ่อนก่อน นอกจากเหยียนซิวแล้ว คนอื่นๆ ก็ออกไปหมด
พอออกจากห้องสมาธิ เหมียวอี้ก็เริ่มมีสีหน้าจริงจัง มุ่งตรงไปที่ห้องหนังสือ หลังจากเงียบไปนานก็จ้องพู่กันบนโต๊ะพลางถามเสียงเรียบว่า “ยังไม่ได้ข่าวจากคนพวกนั้นของกองทัพองครักษ์อีกเหรอ?”
เขากำลังพูดถึงลูกน้องเก่าที่กองทัพองครักษ์ของเขาในปีนั้น ตามปกติจะติดต่อกันเป็นระยะ แต่ห้าพันปีก่อนจู่ๆ ก็ขาดการติดต่อไปสิบกว่าคน
อวิ๋นจือชิวกัดริมฝีปาก “ไม่ได้ข่าวเลย ไม่รู้ว่าเกิดปัญหาอะไร…” นางชะงัก แล้วพูดเสริมช้าๆ อีกว่า “ล้วนเป็นคนฝั่งหน่วยองครักษ์ซ้าย!”
………………