พอหยางชิ่งได้ฟังก็พูดแทรกว่า “เป็นลูกน้องเก่าของท่านอ๋องที่กองทัพองครักษ์ใช่มั้ย?”
อวิ๋นจือชิวพยักหน้า “ใช่แล้ว! มีสิบกว่าคน” ในเมื่อถามถึงแล้วก็ไม่มีอะไรน่าปิดบัง หยางชิ่งเองก็รู้เรื่องลูกน้องเก่าพวกนั้น
“ทั้งหมดอยู่หน่วยองครักษ์ซ้ายเหรอ?” หยางชิ่งถามอีก
อวิ๋นจือชิวฝืนยิ้มแล้วพยักหน้า นางเป็นคนรับหน้าที่ติดต่อกับคนพวกนั้น จึงรู้สถานการณ์ของพวกเขาดีที่สุด
“ขาดการติดต่อไปนานเท่าไหร่แล้ว? ขาดการติดต่อไปพร้อมกันเหรอ?” หยางชิ่งถาม
อวิ๋นจือชิวตอบว่า “ห้าพันปีกว่าแล้วมั้ง จู่ๆ ก็ขาดการติดต่อไป ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าตำหนักสวรรค์พบความผิดปกติอะไร ไม่อย่างนั้นจะบังเอิญหายไปพร้อมกันสิบกว่าคนได้ยังไง แต่คนอื่นๆ ก็ไม่เป็นอะไร ทำให้คนสงสัยอีก ว่าถ้าประมุขชิงสังเกตเห็นอะไรแล้ว ก็จะพบความเกี่ยวข้องที่อยู่ในนั้นได้ไม่ยาก เกรงว่าลูกน้องเก่าในปีนั้นของท่านอ๋องคงถูกจับไปหมดแล้ว จะจับไปแค่สิบกว่าคนได้ยังไง? หลังจากนั้นก็สงสัยนิดหน่อยว่ามีภารกิจลับอะไรหรือเปล่า เลยถูกควบคุมไม่ให้ติดต่อกับภายนอก แต่ก็คิดไม่ออกว่าภารกิจอะไรกันแน่ที่ต้องซ่อนตัวหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้ได้ยินเซี่ยโห้วท่าชี้แนะแบบนี้ จะไม่ให้นึกเชื่อมโยงก็คงยาก”
หยางชิ่งกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “ที่เซี่ยโห้วท่าพูดก็มีเหตุผล เพียงแต่ถ้าคิดจะส่งกำลังพลสักกลุ่มเข้าไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์โดยที่อยู่ใต้หนังตาท่านอ๋อง จะว่าไปก็ไม่ง่าย ท่านอ๋องเข้าออกแดนมรณะดึกดำบรรพ์มาหลายปีขนาดนี้โดยไม่เป็นอะไร จะเห็นได้ว่าฝั่งประมุขชิงยังทำไม่สำเร็จ ห้าพันกว่าปี…อย่าบอกนะว่าประมุขชิงรอโอกาสมาตลอดตั้งหลายปี? ถ้าเป็นอย่างนี้จริงๆ แสดงว่าถ้าไม่บรรลุเป้าหมาย ประมุขชิงก็จะไม่ยอมหยุดแน่!”
อวิ๋นจือชิวบอกว่า “ประมุขชิงคือคนที่เซี่ยโห้วท่าสนับสนุนขึ้นมาเองกับมือ เขาต้องรู้จักประมุขชิงดีกว่าพวกเราแน่นอน ในเมื่อเซี่ยโห้วท่าพูดแบบนี้แล้ว…” นางจ้องเหมียวอี้พร้อมโน้มน้าว “ท่านอ๋อง เซี่ยโห้วท่าพูดถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าเรื่องนี้จะจริงหรือเท็จ ตอนนี้ก็อย่าเพิ่งไปแดนมรณะดึกดำบรรพ์ดีกว่า รอให้แน่ใจสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
เหมียวอี้รู้สึกหนักใจเล็กน้อย ถ้าเซี่ยโห้วท่าพูดถูก ผลที่ตามมาจากการถูกกองทัพองครักษ์สิบล้านล้อมจะเป็นอย่างไร แค่คิดก็รู้แล้ว จึงกล่าวเสียงต่ำว่า “น้องชิว ให้คนของพวกเราที่กองทัพองครักษ์สืบอย่างระมัดระวังสักหน่อย เดี๋ยวข้าจะให้คนของสมาคมอาวุโสแอบสืบด้วย!”
“ได้!” อวิ๋นจือชิวพยักหน้า แล้วจู่ๆ ก็ถอนหายใจ “นึกไม่ถึงว่าเซี่ยโห้วท่าจะเตือนเรื่องนี้กับท่านอ๋องในเวลานี้”
เหมียวอี้เม้มปากไม่พูดอะไร หยางชิ่งกล่าวช้าๆ ว่า “ตระกูลเซี่ยโห้วถูกบีบอยู่ในมือท่านอ๋อง ถ้าครั้งนี้เขาคำนวณถูกต้อง ท่านอ๋องก็จะติดหนี้น้ำใจเขาหนึ่งครั้ง ไม่ว่าในอนาคตน้ำใจนี้จะมีประโยชน์ต่อตระกูลเซี่ยโห้วหรือไม่…ก็ดีกว่าไม่มีน้ำใจอยู่แล้ว”
เหมียวอี้กลับนึกถึงอย่างอื่น หรี่ตาพูดว่า “ถ้าประมุขชิงวางแผนล่วงหน้าจริงๆ ในกองทัพที่เฝ้าตรงทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์คงมีหนอนบ่อนไส้ปะปน ไม่อย่างนั้นจะเตรียมตัวแบบนี้ได้ยังไง…”
เช้าตรู่วันต่อมา เหมียวอี้ยังคงนอนกอดกับอวิ๋นจือชิวเหมือนคู่แต่งงานใหม่เพราะห่างกันไปนาน จู่ๆ ก็ได้รับระฆังดารา รีบลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า
อวิ๋นจือชิวใช้มือข้างหนึ่งดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดหน้าอกตัวเอง ใช้มือยันตัวลุกขึ้นแล้วถามว่า “เป็นอะไรไป?”
เหมียวอี้บอก “เซี่ยโห้วท่าไม่ไหวแล้ว ข้าจะไปดูสักหน่อย”
อวิ๋นจือชิวดึงเสื้อคลุมที่อยู่ข้างๆ มาใส่ทันที แล้วรีบลุกลงจากเตียงเพื่อช่วยสวมเสื้อผ้าให้เหมียวอี้ กระทั่งเหมียวอี้เดินออกไปแล้ว นางก็รีบแต่งตัวให้ตัวเอง หวังเฟยผู้สง่าภูมิฐานอย่างนางไม่ควรออกไปโดยที่แต่งกายไม่เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นจะดูไม่เข้าท่า มาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกการกระทำไม่อาจปล่อยตามอำเภอใจได้ มีคนมากมายกำลังดูอยู่
จนกระทั่งเหมียวอี้มาถึงห้องสมาธิ เซี่ยโห้วท่าก็ไม่ไหวแล้วจริงๆ แทบจะเหมือนตะเกียงที่ใช้น้ำมันหมดแล้ว แค่นั่งก็นั่งไม่ไหว เอนกายนอนลงไปแล้ว นอนหายใจรวยรินอยู่อย่างนั้น
เหมียวอี้รีบเดินมานั่งข้างเตียงหิน จับมือเซี่ยโห้วท่าเบาๆ แล้วถามอย่างใส่ใจว่า “ท่านปู่สวรรค์ ยังมีความปรารถนาอย่างอื่นที่ต้องให้ข้าไปทำให้อีกหรือเปล่า?”
ไม่ว่าก่อนหน้านี้ทั้งสองจะมีบุญคุณความแค้นอะไรกัน ไม่สนด้วยว่าอำนาจจะตกอยู่ในมือใคร ตอนนี้ปล่อยวางบุญคุณความแค้นทั้งหมดแล้ว ไม่ว่าจะพูดจากมุมไหน เซี่ยโห้วท่าก็ล้วนเป็นบุคคลที่ยอดเยี่ยมแห่งยุค ตอนนี้ควรค่าที่จะให้เหมียวอี้เลิกวางมาดใหญ่โต
เซี่ยโห้วท่าลืมตาขึ้น ไม่น่าเชื่อว่าแววตาที่ขุ่นมัวจะเปลี่ยนเป็นสดใสกระจ่างชัดแล้ว แสดงเค้ารางของคนใกล้ตาย เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นรอยยิ้มที่ลบล้างความแค้น ก่อนตายยังมีคนใส่ใจและอยู่เป็นเพื่อน จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสะท้อนใจ เขากล่าวช้าๆ ว่า “บางทีข้าอาจจะเลอะเลือนแล้ว ก่อนหน้านี้อาจมีปัญหามากมายที่ไม่เข้าใจ สองวันนี้จู่ๆ สมองก็เปลี่ยนเป็นแจ่มชัดแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะเอาตัวเองมาอยู่นอกสถานการณ์แล้วจริงๆ พอมองย้อนกลับไปถึงเรื่องบางอย่าง กลับรู้สึกชัดเจนยิ่งขึ้น เบื้องหลังที่ท่านอ๋องผงาดขึ้นมาแบบนี้ ข้ามักรู้สึกว่ายังมีอีกมือหนึ่งดำรงอยู่ เมื่อก่อนข้าสงสัยว่าเป็นบุคคลระดับสูงของวังสวรรค์แอบช่วยท่านอ๋อง ไม่รู้ว่าข้าเดาถูกหรือเปล่า?”
เหมียวอี้เงียบไปชั่วครู่ แล้วถอนหายใจ “ทางวังสวรรค์มีคนจริงๆ แต่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนไหน!”
“เจ้าก็ไม่รู้เหมือนกันหรอ?” เซี่ยโห้วท่าทำสีหน้าครุ่นคิด แล้วถามอีกว่า “อาศัยศักยภาพของท่านอ๋องในตอนนี้ หกลัทธิควบคุมท่านอ๋องไม่ไหวแล้ว ถ้าเป็นคนของหกลัทธิอยู่ที่ตำหนักสวรรค์ หกลัทธิหวังให้ท่านอ๋องผงาดขึ้นมา ก็ไม่ถึงขั้นปิดบังท่านอ๋องต่อไปหรอก อย่าบอกนะว่าคนที่ซ่อนตัวอยู่ในตำหนักสวรรค์ไม่ใช่คนของหกลัทธิ?”
เหมียวอี้เงียบไปอีก หลังจากลังเล ก็กล่าวเบาๆ ว่า “เขากลับมาแล้ว!”
“เขากลับมาแล้วเหรอ?” เซี่ยโห้วท่าฉงนสนเท่ห์ ในดวงตาพลันฉายแววตระหนกตกใจ มือถือที่ถูกกุมอยู่ในมือของเหมียวอี้ขยับเล็กน้อย ถามว่า “เจ้าสามไป๋?”
เหมียวอี้พยักหน้าเงียบ
“เฮ่อ…” ร่างกายที่ตึงของเซี่ยโห้วท่าผ่อนคลายลงทันที ถอนหายใจออกมา แล้วพึมพำว่า “นึกไม่ถึง…นึกไม่ถึง…นึกไม่ถึงจริงๆ…ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะผลักดันคนอย่างนี้ออกมา…”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “ถึงยังไงเขาก็ไม่มีทางโผล่หน้าอยู่ในตำหนักสวรรค์ได้!”
เซี่ยโห้วท่ามองเขาด้วยสายตาที่อ่อนแรงเล็กน้อย ทุกประโยคที่พูดอ่อนแรงลงส่วนหนึ่ง เสียงก็เบาลงด้วย “ท่านอ๋องเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่จะให้ใครควบคุมง่ายๆ? ถ้ารอให้ท่านอ๋องเดินมาถึงขั้นที่บรรลุเป้าหมายของเขาจริงๆ เขาก็ยิ่งไม่มีทางควบคุมท่านอ๋องได้ เขาเจ้าสามไป๋เท่ากับบีบท่านอ๋องไว้ในมือ ถ้าท่านอ๋องอยากจะครองใต้หล้าเมื่อไร แม้แต่ประมุขชิงกับประมุขไป๋ก็ไม่เว้น การแย่งอำนาจระหว่างพ่อลูกก็อาจจะทำให้แตกคอจนกลายเป็นศัตรูกันได้ เกรงว่าจะบีบท่านอ๋องก็ไม่มีประโยชน์ ใครจะกล้ารับประกันว่าท่านอ๋องจะไม่กลายเป็นภัยในภายหลังของเขา? การที่เขากล้าเสี่ยงแบบนี้ ทำให้ข้านึกไม่ถึงจริงๆ! ใครจะไปนึกว่าเขาจะทำอย่างนี้ได้ล่ะ?”
คำพูดของอีกฝ่ายทำให้เหมียวอี้เงียบไป เมื่อถึงวันนั้นจริงๆ ตัวเองจะยินยอมนำเนื้อที่กำลังจะเข้าปากให้คนอื่นเหรอ? คำตอบก็คือไม่ได้ ถ้าตัวเองเดินไปถึงขั้นนั้นแล้ว ก็จะไม่ให้ใครมาควบคุมชะตาชีวิตของคนในครอบครัวได้อีก! เขาจะมองอีกฝ่ายเป็นเสี้ยนหนามในอนาคตหรือเปล่า? เขาเองก็ไม่กล้ารับประกัน!
“เข้าใจแล้ว ตอนนี้ค่ะเข้าใจแล้ว เหอะๆ…” จู่ๆ เซี่ยโห้วท่าก็หัวเราะเบาๆ “การที่พระปีศาจหนานโปฟื้นชีพกลับมาอีกครั้งก็ไม่พ้นเกี่ยวข้องกับเขาหรอก บางทีเขาอาจจะจงใจปล่อยออกมาก็ได้…แค่กๆ!” เขาหายใจไม่ค่อยทัน
เหมียวอี้ได้ยินแล้วตกใจ “พระปีศาจหนีรอดออกไปใต้หนังตาประมุขชิงกับประมุขพุทธะแท้ๆ ทำไมกลายเป็นเขาปล่อยได้ล่ะ?”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงต่ำว่า “เขาสามารถติดต่อกับหกลัทธิได้ ก็แสดงว่าหกลัทธิอยู่ในการควบคุมของเขาตั้งนานแล้ว การที่เขาควบคุมหกลัทธิได้ กล้าบอกไหมว่าไม่เกี่ยวข้องกับหกประมุขปราชญ์ในปีนั้น? ขอเป็นแบบนี้ ในปีนั้นที่เขาปล่อยผู้เหลือรอดของหกลัทธิไป คาดว่าคงทำข้อตกลงบางอย่างกับหกประมุขปราชญ์ ไม่ว่าจะทำข้อตกลงอะไรกัน มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่ผิดแน่ นั่นก็คือสถานที่ผนึกพระปีศาจหนานโป! ถ้าควบคุมหกลัทธิได้ ก็แสดงว่าได้รู้ความลับเรื่องสถานที่ผนึกพระปีศาจมาจากปากหกประมุขปราชญ์ เคล็ดวิชาฝึกตนของเขาดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระปีศาจได้ไม่ยาก น่าจะสังหารพระปีศาจไปตั้งนานแล้วสิ แต่ทำไมเขายังปล่อยไว้ล่ะ เจ้าไม่รู้สึกว่าแปลกหรอ?”
พอพูดแบบนี้ เหมียวอี้ก็เริ่มระแวงสงสัยแล้วจริงๆ ใช่แล้ว! ทำไมท่านนั้นถึงไม่สั่งหารพระปีศาจไปเสียเลยล่ะ?
เซี่ยโห้วท่าพูดต่อว่า “พระปีศาจสังหารอาจารย์ของเขา ไม่ว่าจะเป็นในด้านความรู้สึกหรือเหตุผล ต่อให้เพื่อกำจัดภัยพิบัติที่จะตามมาในภายภาคหน้า เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่สังหารพระปีศาจ เป็นไปไม่ได้ที่จะให้โอกาสพระปีศาจผงาดขึ้นมาอีก เช่นนั้นก็กล้าเดาได้เลยว่า ตอนแรกที่เจ้าสามไป๋หาพระปีศาจเจอแล้ว จะต้องอยากสังหารพระปีศาจแน่นอน แต่พระปีศาจก็ไม่มีทางนั่งรอความตาย แต่พระปีศาจก็เป็นสัตว์ที่ถูกขังอยู่ในกรง ไม่มีทางหนีออกไปได้เลย แล้วพระปีศาจจะทำยังไงได้ล่ะ? สิ่งที่มีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ พระปีศาจจะให้ผลประโยชน์อะไรกับเจ้าสามไป๋ได้บ้าง ถึงช่วงชิงโอกาสให้ตัวเองตายช้าได้ ผลปรากฏว่าตอนหลังเจ้าสามไป๋ประสบเรื่องยุ่งยากแล้ว พี่น้องกลับกลายเป็นศัตรูกัน ประมุขปีศาจรั่วสุ่ยตกอยู่ในมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะ แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่เขาก็ยังวางแผนได้แบบนี้ ก่อนจะถูกจับ ถ้าอยากจะสังหารพระปีศาจก็ยังมีเวลาเพียงพอ แต่เขาก็ยังไม่ลงมือ เป็นเพราะอะไรล่ะ? เป็นเพราะเขาเก็บพระปีศาจไว้แล้วมีประโยชน์ไง! ถ้าข้าจำไม่ผิด ในปีนั้นที่ปีศาจโลหิตผูกความแค้นกับเจ้า คนที่รู้เรื่องสมุนไพรจิตวิญญาณในมือปีศาจโลหิตคงมีไม่เยอะใช่ไหม? แต่ปีศาจโลหิตดันไปที่สถานที่ผนึกแล้วถูกพระปีศาจควบคุมเสียได้ เปิดโปงความลับเรื่องสมุนไพรจิตวิญญาณแล้ว เจ้าไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลกเหรอ?”
เหมียวอี้ตกใจมาก “เจ้ากำลังบอกว่าเขาอยากให้พระปีศาจฟื้นชีพอีกครั้งเหรอ? ไม่ใช่สิ พระปีศาจหลุดมือประมุขชิงกับประมุขพุทธะไปแท้ๆ ถ้าเขาจะปล่อย ก็คงปล่อยไปนานแล้ว จำเป็นต้องถ่วงเวลาถึงตอนหลังด้วยเหรอ?”
เซี่ยโห้วท่ากล่าวเสียงเบา “ในจุดนี้ข้าก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ข้าสงสัย แม้พระปีศาจจะมีพรสวรรค์พิเศษ แต่สมองในด้านการวางอุบายอาจจะเทียบประมุขชิงกับปรุมุขพุทธะไม่ติด ไม่อย่างนั้นในปีนั้นข้าจะล้มเขาง่ายๆ ได้ยังไง แต่วิธีที่พระปีศาจหนีรอดไปได้ก็ไม่ธรรมดา อย่าบอกนะว่าอยู่ในสถานที่ผนึกนานจนสมองดีขึ้นได้? มีอยู่สิ่งหนึ่ง ถ้าจะบอกว่าใครที่รู้จักประมุขชิงกับประมุขพุทธะดี เจ้าสามไป๋รู้จักมากกว่าข้าแน่นอน ถ้าเจ้าสามไป๋วางแผนว่าจะช่วยพระปีศาจไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เช่นนั้นการที่พระปีศาจหนีรอดออกไปต่อหน้าต่อตาประมุขชิงกับประมุขพุทธะก็ไม่น่าแปลก!”
“เป็นอย่างนี้จริงๆ ทำไมเขาต้องทำด้วยล่ะ?” เหมียวอี้ถาม
“เจ้าไม่เคยมีประสบการณ์ ไม่เข้าใจหรอกว่าเจ้าสามไป๋รักประมุขปีศาจขนาดไหน ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ เจ้าสามไป๋คงไม่ถูกคนอื่นบีบจุดอ่อนจนแพ้ย่อยยับ เพื่อที่จะช่วยประมุขปีศาจให้หนีออกมา ก็คงไม่มีเรื่องใดที่เจ้าสามไป๋จะทำไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เจ้าสามไป๋อาจจะทำข้อตกลงอะไรกับพระปีศาจแล้วก็ได้ มีความเป็นไปได้สูงว่าเจ้าอาจจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่เจ้าสามไป๋เตรียมไว้ เพื่อรับประกันว่าจะช่วยประมุขปีศาจออกมาได้แน่นอน เจ้าสามไป๋อาจจะทิ้งแผนสำรองเอาไว้ อาจจะไม่ได้ฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่เจ้าคนเดียว มีความเป็นไปได้สูงว่าพระปีศาจจะเป็นอีกหนึ่งตัวสำรองที่เขาเตรียมไว้ แต่ในนั้นก็มีจุดที่ขัดแย้งกันมากมาย ตอนนี้ข้าไม่มีสมาธิมากนัก เกรงว่าคงไม่มีโอกาสคิดจนกระจ่าง…” พอพูดถึงตรงนี้ เซี่ยโห้วท่าก็ไม่ไหวแล้วจริงๆ น้ำเสียงเบาเหมือนยุงตัวหนึ่ง
เหมียวอี้สีหน้าตึงเครียด ในสมองสับสนมาก รอจนกระทั่งพบว่านิ้วมือของเซี่ยโห้วท่าขยับเล็กน้อย ถึงได้สติกลับมา เห็นเพียงเซี่ยโห้วท่าขยับปากเบาๆ เหมือนต้องการจะพูดอะไรกับเขาสักอย่าง
เหมียวอี้รีบยื่นหูเข้ามาใกล้
“เกา…เกาก้วน…” เซี่ยโห้วท่าทิ้งชื่อของคนคนหนึ่งเอาไว้ สุดท้ายปากกับสายตาก็นิ่งสนิท ทั้งตัวตกอยู่ในความเงียบตลอดไป
…………………