หยางชิ่งห้ามอย่างร้อนใจว่า “ไม่รู้ว่าพระปีศาจจะออกมาก่อเรื่องเมื่อไหร่ ตอนนี้ถ้าสู้กับประมุขชิงอีก เป็นทางเลือกที่ไม่ฉลาดจริงๆ จวนท่านอ๋องโปรดไตร่ตรอง!”
เหมียวอี้กล่าวเสียงต่ำว่า “ขนาดประมุขชิงยังไม่กลัวพระปีศาจก่อเรื่องวุ่นวายเลย แล้วทำไมข้าต้องกลัวล่ะ? ถ้าใต้หล้านี้วุ่นวายก็เป็นใต้หล้าของประมุขชิง เขากลัวเรื่องนี้ยิ่งกว่าข้าอีก คนที่วิตกกังวลควรจะเป็นเขา! เซี่ยโห้วท่าคำนวณไว้ว่าอีกประมาณหนึ่งหมื่นปีพระปีศาจจะหวนกลับคืนมา น่าจะยังมีเวลาอีกนิดหน่อย ถ้าตอนนี้ไม่จัดการประมุขชิง ต่อไปพอพระปีศาจออกมาอีก ข้างหน้าข้าก็มีหมาป่าดุ ข้างหลังมีเสือโหด แบบนั้นต่างหากที่แย่จริงๆ!”
หยางชิ่งกุมหมัดคารวะซ้ำๆ “ท่านอ๋อง เรื่องนี้ไม่ควรเป็นท่านอ๋องที่กระโดดออกมาเอง ตอนนี้ถ้าเล่นตุกติกกับจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ประมุขชิงจะต้องคิดว่าเรื่องที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ล้มเหลวจนท่านอ๋องโต้ตอบแน่ เดิมทีประมุขชิงก็คิดอยากกำจัดท่านอ๋องอยู่แล้ว ถ้าให้ประมุขชิงรู้ว่าท่านคิดจะทำอะไรกับชิงหยวนจุน สองเรื่องทบกัน ถ้ายั่วโมโหจนประมุขชิงยอมแลกทุกอย่างเพื่อลงมืออย่างเปิดเผย…ท่านอ๋อง ไม่ควรใช้ประโยชน์ของชิงหยวนจุนจากอารมณ์ชั่ววูบ!”
“ใครบอกว่าข้าจะเป็นฝ่ายกระโดดออกมาเอง?” เหมียวอี้แสยะยิ้ม เหล่ตามองอวิ๋นจือชิว “หวังเฟย เจ้าติดต่อจูโยวเหม่ย อนุภรรยาคนโปรดของเถิงเฟย บอกว่าข้ามีสุราดี เชิญให้เถิงเฟยมาชิมสักหน่อย!”
ฝั่งเถิงเฟยให้จูโยวเหม่ยคอยยักคิ้วหลิ่วตากับฝั่งนี้ตลอด จูโยวเหม่ยก็ติดต่อกับอวิ๋นจือชิวอยู่เสมอเช่นกัน อย่างไรเสียเรื่องบางเรื่องเถิงเฟยก็ไม่สะดวกจะขอร้องเหมียวอี้โดยตรง ถ้าเขาทำอย่างนั้นมากเกินไป ไม่สะดวกจะต่อรองกับหมียวอี้ คงจะให้ทำเรื่องที่ขาดทุนไม่ได้ เหมียวอี้รู้เจตนาของเถิงเฟย ให้จูโยวเหม่ยหยั่งท่าทีของฝั่งนี้ว่ามีความเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ก่อนหน้านี้เหมียวอี้แสดงออกอย่างคลุมเครือมาตลอด ถ้าเขาเป็นฝ่ายเชื้อเชิญเองเมื่อไหร่ เถิงเฟยต้องยินดีมาตามนัดแน่นอน
อวิ๋นจือชิวพยักหน้าเงียบๆ
ไปสมคบกับเถิงเฟยตั้งแต่เมื่อไหร่? หยางชิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ยังคงพยายามโน้มน้าวว่า “ท่านอ๋อง ตอนนี้พวกเรามีศักยภาพไม่พอ ยังไม่มีความเสี่ยงที่จะต่อต้านฝั่งประมุขพุทธะ!”
“ฝั่งแดนสุขาวดี ถ้ามีความจำเป็นอะไร ย่อมมีกำลังพลควบคุมประมุขพุทธะได้อยู่แล้ว ไม่ต้องคิดมาก!” เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็น
หยางชิ่งตกใจ ฝั่งแดนสุขาวดีก็มีกำลังพลเหมือนกันเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะไม่สังเกตเห็นเบาะแสเลยสักนิด! ตอนนี้เขาเพิ่งจะตระหนักได้ ว่าท่านนี้ปีกกล้าขาแข็งแล้วจริงๆ มีความมั่นใจที่จะงัดข้อกับประมุขชิงแล้ว ถึงได้พูดว่าจะสู้กับเขาให้ถึงที่สุดได้!
พอเขามองอวิ๋นจือชิวที่นี่เงียบอีก แม้แต่ท่านนี้ก็ยังไม่ห้าม…เขาเข้าใจแล้ว เกรงว่าสองสามีภรรยาคงวางแผนลับกันมานานแล้วจริงๆ ปรึกษาหารือกันมานานแล้ว จิตใจที่ทะเยอทะยานของสองผัวเมียเปิดเผยออกมาหมดแล้ว!
“สถานการณ์ฝั่งจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล เจ้าต้องควบคุมไว้อย่างสุขุมมั่นคง เตรียมไว้ให้ข้าใช้งานได้ทุกเมื่อ!” เหมียวอี้จ้องหยางชิ่ง
“รับทราบ!” หยางชิ่งเอ่ยรับเงียบๆ แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า “กำลังพลของประมุขชิงที่ดักซุ่มอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ไม่รู้ว่าจวนท่านอ๋องเตรียมจะจัดการยังไง?”
“หึหึ! ถ้าข้าไม่รู้ก็แล้วไป แต่ในเมื่อข้ารู้แล้ว ข้าจะคอยดูว่าพวกเขาจะหนีไปไหน!” เหมียวอี้แสยะยิ้ม สายตาจ้องไปที่หยางเจาชิง “หลังจากสืบเจอสายลับที่ประมุขชิงแทรกไว้ที่ทางเข้าแดนมรณะดึกดำบรรพ์แล้ว ก็อย่าเพิ่งไปแตะต้อง อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น!”
“ขอรับ!” หยางเจาชิงเอ่ยรับ
หลังจากนั้นหลายวัน คนกลุ่มหนึ่งก็มาถึงอย่างเงียบๆ เข้ามาที่จวนท่านอ๋องผ่านประตูด้านข้าง ทั้งหมดแต่งตัวเหมือนบ่าวรับใช้ เดินเข้ามาในสวนเล็กๆ ที่เงียบสงบในจวนท่านอ๋องโดยตรง
มีสองคนที่ถูกนำไปห้องเล็ก ส่วนผู้ติดตามที่เหลือกระจายตัวกันเฝ้าระวังอยู่ตามมุมต่างๆ ของสวน
จนกระทั่งสองคนนั้นเดินออกมาจากห้องเล็กอีกครั้ง ก็เปลี่ยนเป็นแต่งกายด้วยชุดสวยงามหรูหราแล้ว คนหนึ่งคือมีสง่าราศี คนหนึ่งงามมีเสน่ห์ เป็นเถิงเฟยกับจูโยวเหม่ยนั่นเอง
เถิงเฟยไม่ใช่คนโง่ รู้ว่าเหมียวอี้คลุมเครืออยู่นานขนาดนั้นแต่จู่ๆ ก็เป็นฝ่ายเชื้อเชิญ แสดงว่าจะต้องตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาพอใจกับการรอคอยแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นการล้อเขาเล่น ควรทราบไว้ว่าครั้งนี้คือการพบกันอย่างลับๆ ปล่อยให้ข่าวหลุดไม่ได้แม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อปลอมตัวแล้วถึงได้มา หลังจากมาแล้วก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพบเหมียวอี้ดูรูปลักษณ์ของบ่าวไพร่ ย่อมต้องแต่งกายเรียบร้อยแล้วค่อยโผล่หน้าออกมา ส่วนฝั่งนี้ก็เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วเช่นกัน
เดินทางมาอย่างลับๆ ก็ไม่กังวลว่าเหมียวอี้จะทำร้ายเขาเช่นกัน เพราะปัจจุบันเหมียวอี้ไม่มีความจำเป็นนั้นเลย ถ้าทำร้ายเขาแล้วเหมียวอี้ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร กลับจะดึงดูดปัญหายุ่งยากอีกเป็นพรวนด้วยซ้ำ
เสวี่ยเอ๋อร์รออยู่ตรงประตูแล้ว นางย่อตัวคำนับ “อ๋องสวรรค์เถิง ฮูหยินโยวเหม่ย ท่านอ๋องกับหวังเฟยกำลังรอทั้งสองท่านอยู่เจ้าค่ะ!”
จูโยวเหม่ยถ่ายทอดเสียงบอกเถิงเฟยสองสามประโยคทันที ตอนแรกเถิงเฟยนึกว่าเสวี่ยเอ๋อร์เป็นแค่บ่าวไพร่เท่านั้น ไม่เห็นว่าสำคัญอะไร ตอนนี้ถึงได้มองประเมินเสวี่ยเอ๋อร์อย่างจริงจังแวบหนึ่ง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “เจ้าก็คือแม่นางเสวี่ยเอ๋อร์สินะ” ท่าทีเปลี่ยนเป็นสุภาพในชั่วพริบตาเดียว
“มิบังอาจ!” เสวี่ยเอ๋อร์รีบคำนับกลับ
จูโยวเหม่ยกลับก้าวขึ้นมาจับมือที่อ่อนนุ่มของเสวี่ยเอ๋อร์ ใส่กำไลเก็บสมบัติวงหนึ่งไว้บนข้อมือเสวี่ยเอ๋อร์ แล้วถามด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเห็นน้องเสวี่ยเอ๋อร์แล้วถูกชะตาเหมือนรู้จักกันมานาน นี่คือน้ำใจเล็กน้อย อย่ารังเกียจเลยนะจ๊ะ”
เสวี่ยเอ๋อร์ปฏิเสธนิดหน่อย พอเห็นว่าปฏิเสธไม่สำเร็จก็ปล่อยเลยตามเลย อย่างไรเสียนางก็เป็นสาวใช้ข้างกายท่านอ๋องกับหวังเฟย ไม่ขาดของกินของใช้รวมทั้งทรัพยากรฝึกตน สิ่งของที่ใช้ตอนนี้ก็เป็นประเภทระดับสูงสุดในสังคม เป็นคนที่ไม่ขาดของขวัญจากคนอื่นเลย มีของแปลกๆ อะไรสวีถังหรานก็มักจะเสาะหามาให้นาง หากต้องการอะไรแค่บอกสวีถังหรานคำเดียวก็พอแล้ว ส่วนเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวก็ไม่ได้สนใจของบางอย่างที่คนว่ากันว่าเป็นของดีสักเท่าไหร่ ของที่คนอื่นให้มาส่วนใหญ่พวกเขาก็โยนให้นางกลับเชียนเอ๋อร์ไปเล่น ดังนั้นจึงไม่ได้รู้สึกขาดแคลนของขวัญหายากเลย
แต่นางรับของขวัญจากคนอื่นจนชินแล้ว ในแต่ละปีไม่รู้ว่ามีบุคคลสำคัญเท่าไหร่ต้องการส่งของขวัญให้นาง ของขวัญที่ได้รับมาขอให้ใช้สิบชาติก็ใช้ไม่หมด สรุปก็คือไม่ว่าใครจะส่งของขวัญเข้ามาในจวนท่านอ๋อง ต่อให้คนอื่นจะขาดของแต่พวกนางไม่ขาดของ พูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ อนุภาคระยะมากมายในจวนท่านอ๋องยังไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างนี้เลย ห่างกันไกลมาก นางเองก็ไม่ได้อยากรับของขวัญอะไร เพียงแต่ของขวัญบางอย่างถ้าไม่รับไว้ก็จะดูไม่ดี กลัวคนอื่นคิดมาก เดินมาถึงตำแหน่งอย่างทุกวันนี้แล้ว จำเป็นต้องมีโลกทัศน์บ้าง จะทำให้งานของท่านอ๋องพังไม่ได้ อย่างมากก็แค่ต้องแน่ใจว่ารับของของใครได้และรับของของใครไม่ได้ก็เท่านั้นเอง
“อ๋องสวรรค์เถิง ฮูหยินโยวเหม่ย เชิญตามข่าวมาค่ะ!” เสวี่ยเอ๋อร์ยื่นมือเชิญ
เถิงเฟยพยักหน้า “รบกวนแล้ว!”
เดินผ่านทางเดินที่เป็นวงกลมตลอดทาง เถิงจง พ่อบ้านของเถิงเฟยก็เดินตามอยู่ข้างหลังเช่นกัน
พวกเขาไม่ได้ไปที่อื่น ไปที่ตึกศาลากลางน้ำในสวนนี้ ตึกศาลาตั้งอยู่กลางน้ำ รอบข้างมีใบบัวสีมรกต ดอกบัวสีขาวและสีชมพูชูตระหง่าน
เหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวยืนรออยู่ตรงประตูศาลาแล้ว ทั้งสองฝ่ายกุมหมัดคารวะทักทายกันตั้งแต่อยู่ไกลๆ อวิ๋นจือชิวกับจูโยวเหม่ยจูงมือเดินด้วยกันแล้ว ทั้งสองยิ้มสดใสดุจดอกไม้ เรียกขานกันว่าพี่สาวน้องสาวอย่างสนิทสนม จูงมือกันไม่ยอมปล่อย คนที่ไม่รู้เรื่องราวเบื้องลึกคงนึกว่าพวกนางเป็นพี่น้องแท้ๆ
ว่ากันตามจริง เมื่อเจอเหมียวอี้อีกครั้ง ในใจเถิงเฟยก็รู้สึกสะท้อนใจมาก นึกถึงการทดสอบที่แดนอเวจีในปีนั้น ภาพที่เหมียวอี้ถูกรังแกสารพัดยังติดตาเหมือนเกิดขึ้นใหม่ แต่ตอนนี้แม้แต่ตัวเองยังต้องมาขอร้องอีกฝ่าย อีกฝ่ายบอกคำเดียวว่ามีสุราดี ตัวเองก็ต้องรีบถ่อมาตามนัด
พูดจาทักทายตามมารยาทตรงประตูพักหนึ่ง เถิงเฟยมองไปรอบๆ แล้วบอกว่า “ช่างเป็นสถานที่ที่สง่าสง่างามสงบเงียบ!”
มีอะไรสง่างามหรือไม่สง่างามล่ะ ใช่ว่าเจ้าจะไม่เคยเห็นของดีๆ เสียเมื่อไหร่! เหมียวอี้แสยะยิ้มในใจ ฟังออกถึงความหมายแฝงอย่างอื่นแล้ว เขาไม่ได้พูดจาตามมารยาทอีก ยื่นมือเชิญเลย “เตรียมสุราเบาๆๆ เชิญด้านใน!”
เถิงเฟยยื่นมือพร้อมรอยยิ้ม “เชิญ!”
พอพวกเขาเข้ามาด้านใน นอกจากแขกกับเจ้าบ้านที่นั่งลงแล้ว ก็มีแค่หยางเจาชิงกับเถิงจงที่เป็นพ่อบ้านของสองฝ่ายยืนอยู่ข้างหลัง คอยช่วยรินสุราให้
สุราชั้นดีย่อมไม่ขาด อาหารเลิศรสทั้งโต๊ะก็ยิ่งบริบูรณ์ แต่ไม่ว่าใครก็ไม่ได้มาเพื่อจะกินอาหารอย่างเดียว เพียงแต่เถิงเฟยกับจูโยวเหม่ยยอมอดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม ชมว่าสุราดีอาหารดีเพื่อไว้หน้าเจ้าบ้าน
ชิมสุราเลิศรสนิดหน่อย ชิมอาหารชั้นเลิศเล็กน้อย จู่ๆ จูโยวเหม่ยก็กล่าวกลับอวิ๋นจือชิวด้วยรอยยิ้มว่า “พี่สาว ทิวทัศน์ในสวนดูโบราณเรียบง่ายแต่น่าสนใจ ข้าชอบมากเลย พี่สาวพาข้าไปดูหน่อยได้ไหม?”
อวิ๋นจือชิวลุกขึ้นด้วยความยินดี หัวเราะคิกคักแล้วบอกว่า “ได้สิ!” แล้วหันกลับมาบอกเหมียวอี้กับเถิงเฟยว่า “ท่านอ๋องทั้งสอง พวกเราจะไปเดินเล่นกันสักหน่อย พวกท่านไม่ว่าอะไรใช่ไหม?”
เถิงเฟยหัวเราะเสียงดัง “แขกตามใจเจ้าบ้าน!”
ส่วนเหมียวอี้ก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ถ้าดูแลอนุภรรยาคนโปรดของท่านอ๋องเถิงไม่ดี ข้าไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”
“มีหรือจะกล้า น้องสาว พวกเราไปกันเถอะ!” อวิ๋นจือชิวยิ้มพลางจูงมือจูโยวเหม่ย แล้วทั้งสองก็พูดคุยยิ้มแย้มเดินออกไป
เมื่อผู้หญิงทั้งสองจูงมือกันเดินข้ามสะพานไปก็หมดบทบาทแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องของผู้ชายแล้ว
เมื่อผู้หญิงหายไปสองคน บรรยากาศผ่อนคลายสนุกสนานในห้องนั้นก็หายไปทันที หลังจากเหมียวอี้ชูจอกสุราดื่มคำนับ ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ทางฝั่งเฉิงไท่เจ๋อ เกรงว่าท่านอ๋องคงต้องระวังไว้หน่อย”
เถิงเฟยขยับหัวคิ้วเล็กน้อย วางจอกสุราลงและถามว่า “หมายความว่ายังไง?”
เหมียวอี้บอกว่า “ท่านอ๋องรู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะถามทำไม เฉิงไท่เจ๋อไม่รู้เจตจำนงของท่านอ๋องน หรือว่าท่านอ๋องไม่รู้เจตจำนงของเฉิงไท่เจ๋อ? ไม่ปิดบังท่านอ๋อง ก่อนหน้านี้เฉิงไท่เจ๋อส่งคนมาติดต่อกับข้านานแล้ว ตอนหลังพอได้รู้เจตนาของท่านอ๋อง ข้าก็ลำบากใจจริงๆ! ถ้ายืนอยู่ในมุมของโค่วหลิงซวี ก่วงลิ่งกง พวกเราย่อมอยากจะให้ทัพตะวันออกรวมเป็นหนึ่งเดียวอยู่แล้ว ทุกคนจะได้กำหมัดต่อต้านกับท่านนั้นที่วังสวรรค์ได้สะดวก ถ้ามีนิ้วเพิ่มขึ้นมาหนึ่งนิ้ว หมัดนี้ก็กำไม่สบายมือแล้ว ดีไม่ดีอาจจะถูกคนอื่นหักนิ้วออก”
เถิงเฟยพยักหน้า “ท่านอ๋องพูดถูก!”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “แต่สำหรับพวกเราสามคน ไม่ว่าจะสนับสนุนเฉิงไท่เจ๋อหรือสนับสนุนท่านอ๋องเถิง ก็เหมือนจะไม่มีอะไรต่างกัน! ตัดสินใจยากจริงๆ”
“ฝั่งโค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกง ท่านอ๋องไม่ต้องคิดมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านอ๋องจะคิดยังไงนะสิ?” เถิงเฟยถาม
เหมียวอี้ยิ้มเรียบๆ “ข้ายังต้องปรึกษากับตระกูลเซี่ยโห้วอีกสักหน่อย”
จู่ๆ ก็มีตระกูลเซี่ยโห้วโผล่มา เถิงเฟยเลิกคิ้วเล็กน้อย มองออกแล้วว่าอีกฝ่ายพูดจาแฝงความนัย ความหมายที่แฝงในคำพูดก็คือ พวกเจ้าสองคนจะเทียบกับข้าได้เหรอ? ข้าสามารถดึงตระกูลเซี่ยโห้วมาสนับสนุนได้ ถ้ามีการสนับสนุนจากข้าเจ้าก็มีโอกาสชนะมากกว่า!
“ในเมื่อท่านอ๋องเชิญข้ามาชิมสุราชั้นดี คาดว่าคงตัดสินใจแล้ว มีอะไรก็พูดมาตรงๆ ได้เลย ขอเพียงไม่ใช่เงื่อนไขที่โหดร้ายเกินไป ก็ล้วนเจรจาได้!” เถิงเฟยยกจอกสุราคำนับ พูดเปิดอกตรงๆ เสียเลย
หลังจากเหมียวอี้ดื่มคำนับกลับ ก็บอกว่า “เรื่องที่เฟยหงอนุภรรยาของข้าเป็นสายลับของหน่วยตรวจการซ้าย เป็นความจรง! ที่ประมุขชิงออกคำสั่งลับให้เฟยหงนำพาองครักษ์เงามาลอยสังหารข้า ก็เป็นความจริงๆ!”
เถิงเฟยไม่รู้ว่าจู่ๆ เขาเอ่ยถึงเรื่องนี้หมายความว่าอะไร เพียงทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “ราชันสวรรค์ผู้สง่าภูมิฐาน แต่ทำเรื่องน่าอับอายมานับไม่ถ้วน!”
เหมียวอี้หรี่ตา “ข้าฝึกตนที่แดนมรณะดึกดำบรรพ์ หลังจากออกมารอบนี้ คิดจะกลับไปฝึกตนอย่างสงบอีกครั้ง แต่กลับบังเอิญพบว่าในแดนมรณะดึกดำบรรพ์มีกองทัพองครักษ์สิบล้านดักซุ่มอยู่ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ถ้าไม่ใช่เพราะข้าค้นพบทันเวลา เกรงว่าคงไม่มีโอกาสได้มาร่ำสุราพูดคุยกับท่านอ๋องอีกแล้ว!”
…………………