จวนอ๋องอ๋องสวรรค์เถิง ทางเดินที่มีร่มไม้สูงระฟ้าทอดตรงไปถึงเรือนชั้นในของจวนท่านอ๋อง เป็นเรือนหลักของเรือนชั้นใน จูโยวเหม่ยถือถาดอาหารใบหนึ่งเดินเข้ามา ทหารยามที่เฝ้าตรงประตูเรือนไม่มีใครขวางนาง นางคือหนึ่งในอนุภรรยาเพียงไม่กี่คนที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษจากท่านอ๋องให้เข้ามาได้โดยตรง
พอพ่อบ้านคนหนึ่งที่อยู่ข้างในเห็น ก็รีบเดินเข้ามาต้อนรับ แล้วกุมหมัดคารวะด้วยรอยยิ้ม “ฮูหยินหกมาแล้ว” เขามองถาดอาหารในมือนางแวบหนึ่ง รู้ว่าเตรียมมาให้ท่านอ๋องแน่นอน จึงยื่นมือเข้าไปรับ
แต่จูโยวเหม่ยยกมือห้ามไว้ เห็นได้ชัดว่าต้องการจะถือเข้าไปส่งให้ด้วยตัวเอง นางยิ้มและถามว่า “ท่านอ๋องอยู่ที่ไหน?”
“อยู่ในห้องหนังสือขอรับ” พ่อบ้านตอบ
“อ้อ!” จูโยวเหม่ยพยักหน้า เดินไปด้วยถามไปด้วยว่า “มีแค่ท่านอ๋องเหรอ?”
“พ่อบ้านใหญ่ก็อยู่ขอรับ ผู้น้อยจะไปรายงานสักหน่อย” พ่อบ้านตอบ
“ไม่ต้องแล้ว!” จูโยวเหม่ยหยุดเท้าแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากท่านอ๋องกลับมาจากจวนท่านอ๋องหนิวอุดอู้อยู่แต่ในห้องหนังสือ นางพอจะเดาออกว่าเถิงเฟยกำลังปรึกษาเรื่องสำคัญอะไรอย่างอย่าง จึงโบกมือบอกว่า “ช่างเถอะ ข้ายังไม่ไปรบกวนแล้วกัน” ตอนที่เพิ่งจะหันตัวกลับ พอเดินไปถึงต้นไม้ก็ถูกดึงให้หยุดเดินแล้วถอยกลับมาตรงหัวมุม
พ่อบ้านงุนงง จะทำตัวเหมือนโจรทำไม?
จูโยวเหม่ยกำชับด้วยเสียงต่ำเบาแล้วว่า “อย่าบอกคนอื่นว่าข้ามาแล้ว” พูดจบก็เหลียวซ้ายแลขวา แล้วเดินเข้าไปในตึกเล็กที่อยู่ใกล้ๆ
พ่อบ้านไม่เข้าใจว่านางทำแบบนี้หมายความว่าอะไร ตอนที่เพิ่งเดินออกมาจากหัวมุมด้วยความงุนงงราวกับหมอกลงสมอง ก็เห็นเสิ่นอี๋ ฮูหยินสามผู้สดใสเปล่งประกายที่สวมเครื่องประดับจนเสียงดังกรุ๊งกริ๊งเดินถือถาดอาหารเข้ามา ในใจก็อึ้งเช่นกัน แล้วก็แอบยิ้มเจื่อนทันที สงสัยเมื่อครู่นี้ท่านนั้นคงจะเห็นแล้ว
“ฮูหยินสาม” พ่อบ้านเข้าไปต้อนรับ
“ท่านอ๋องอยู่ที่ไหน?” เสิ่นอี๋ถาม ห้ามไม่ให้พ่อบ้านช่วยถือเช่นเดียวกัน ต้องการจะออกแรงด้วยตนเอง
เมื่อรู้อยู่ที่ห้องหนังสือ เสิ่นอี๋ก็เดินตรงเข้าไป
จูโยวเหม่ยที่หลบอยู่บนตึกศาลาเอียงตัวแง้มหน้าต่างแอบจ้อง เห็นเสิ่นอี๋กำลังรออยู่ตรงประตูห้องหนังสือ ส่วนพ่อบ้านก็เข้าไปรายงาน
ไม่นานพ่อบ้านก็ออกมาอีก ไม่รู้ว่าพูดอะไรกับเสิ่นอี๋ แต่มองออกเลยว่าเหมือนเสิ่นอี๋ไม่อยากไป สุดท้ายก็เห็นพ่อบ้านเดพินเข้ามาในห้องหนังสืออีก รอจนพ่อบ้านออกมาอีกครั้ง สุดท้ายเสิ่นอี๋ก็เข้าไปในห้องหนังสือไม่ได้ เดินถือถาดอาหารกลับไปด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ พ่อบ้านเดินตามยิ้มเจื่อนอยู่ข้างหลัง ทั้งยังชำเลืองไปด้านบนตึกเป็นระยะ
จูโยวเหม่ยที่แอบมองอยู่ด้านหลังหน้าต่างตึกยกยิ้มมุมปาก ค่อนข้างอิ่มอกอิ่มใจ ยังดีที่ตัวเองไหวตัวเร็ว พอเห็นแบบนี้ ก็พบว่าท่านอ๋องกำลังวางแผนงานใหญ่จริงๆ ด้วย ไม่อยากให้มีคนรบกวน
นางเองก็ไม่ได้ไปเช่นกัน ในใจมีความคิดบางอย่าง เพียงรออยู่บนตึก
การรอคอยนี้ใช้เวลาไปเกือบครึ่งวัน เห็นคนเดินมาต่อเนื่องเป็นระลอก ฮูหยินใหญ่ ฮูหยินรอง ฮูหยินสี่ ฮูหยินห้า ไม่มีใครมีสิทธิ์เข้าไปได้สักคน มากันหมดแล้ว มองคนเดินมาคนแล้วคนเล่า มองคนเดินไปคนแล้วคนเล่า ไม่มีใครเดินเข้าห้องหนังสือไปได้สักคน จูโยวเหม่ยที่อยู่บนตึกอารมณ์ดีมาก นางจินตนาการได้เลยว่าเถิงเฟยที่กำลังครุ่นคิดงานใหญ่อย่างจริงจังแล้วถูกรบกวนอย่างต่อเนื่องรู้สึกอย่างไร
เป็นอย่างที่คาดไว้ เถิงเฟยที่อยู่ในห้องหนังสือสีหน้าแย่จริงๆ คนมาไม่รู้จักจบจักสิ้น เมื่อเห็นคนอื่นมาแล้วก็ไม่ยอมน้อยหน้า เขารู้อยู่แก่ใจว่าทุกคนอยากทำอะไร เมื่อตัวเองทำอะไรไม่สำเร็จก็อยากจะทำให้ความกระตือรือร้นเอาใจใส่ของคนอื่นเจือจางลง เขาเองก็ไม่ได้ถือสาที่พวกนางแข่งขันกัน แต่ไม่มีใครรู้จักแยกแยะความสำคัญสักคน แม้แต่สายตาก็ไม่มีสักนิด แล้วจะเป็นนายหญิงของตระกูลเถิงได้เหรอ?
ข่มความไม่พอใจไว้ชั่วคราว ปรึกษารายละเอียดงานกับเถิงจง
หลังจากคิดทบทวนอย่างรอบคอบหลายรอบ เถิงจงก็จำต้องเตือนว่า “ท่านอ๋อง ถ้าเกิดเรื่องขึ้น เกรงว่าคงรักษาชีวิตของสนมลี่ไว้ไม่ได้แล้ว”
พอลุกขึ้นยืนด้านหลังโต๊ะ เถิงเฟยก็ถอนหายใจเบาๆ “หนิวโหย่วเต๋อไม่จัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ก็เพราะหวังให้ข้ามาเป็นแพะรับบาปไม่ใช่เหรอ? เรื่องแบบนี้วังสวรรค์ปิดบังหูตาประมุขชิงไม่ได้หรอก แล้วข้าก็ต้องรับบาปนี้ไว้เองด้วย เอาเป็นว่าต้องทำเรื่องนี้ให้สะอาดเรียบร้อยหน่อย อย่าทิ้งจุดอ่อนอะไรไว้โดยตรง”
“ขอรับ!” เถิงจงพยักหน้าเอ่ยรับ
ความสนใจของเถิงเฟยหลุดออกจากเรรื่องนี้ชั่วคราว เขาเดินอ้อมโต๊ะออกมา แล้วจู่ๆ ก็ถามว่า “เหมือนฮูหยินหกจะไม่ได้เข้ามาประสมโรงด้วยใช่มั้ย?”
“ขอรับ!” เถิงจง
เถิงเฟยเงียบไปครู่เดียว แล้วพยักหน้าเบาๆ
ทว่าพอทั้งสองเดินออกมา ก็เห็นประตูตึกชั้นล่างที่อยู่ไม่ไกลเปิดอยู่ จูโยวเหม่ยถือถาดอาหารเดินยิ้มอย่างสนิทสนมเข้ามา “ท่านอ๋องงานยุ่งมาตั้งนาน พักสักหน่อยค่ะ ผู้น้อยตุ๋นน้ำแกงมาให้ ท่านอ๋องลองชิมดูสิ”
เถิงเฟยยิ้มแล้วเดินตามเข้าไปนั่งในศาลาข้างๆ ถามว่า “เจ้ามาตั้งแต่เมื่อไร?”
จูโยวเหม่ยนำน้ำแกงอุ่นออกจากถาด พร้อมบอกว่า “มาตั้งนานแล้ว เห็นท่านอ๋องกำลังยุ่ง ผู้น้อยเลยไม่กล้าไปรบกวน รออยู่ด้านข้างตลอด จวนท่านอ๋องลองชิมดูสิคะ”
เถิงจงยืนตรงอยู่ด้านข้างโดยไม่พูดอะไร ในใจพึมพำว่า คำพูดนี้เท่ากับเหยียบย่ำหลายคนก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าพวกนางไม่รู้ความ
เถิงเฟยพยักหน้ายิ้มอย่างที่คาดไว้ ซดน้ำแกงแล้วพบว่าความร้อนเหมาะสม จะเห็นได้เลยว่าผู้หญิงคนนี้ใส่ใจจริงๆ แม้จะรู้ว่าความคิดของผู้หญิงคนนี้ไม่ต่างจากคนอื่น แต่ความใส่ใจในการทำเรื่องต่างๆ ก็ยังแตกต่างกับคนอื่น
ดื่มน้ำแกงเงียบๆ จนเหลือก้นถ้วย จูโยวเหม่ยยังจะเติมให้อีก แต่เถิงเฟยยกมือห้าม แล้วบอกว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เจ้าย้ายจากเขตเรือนตัวเองมาที่เรือนหลักเถอะ ต่อไปเจ้าเป็นคนดูแลเรื่องในเรือนชั้นในแล้วกัน”
แกร๊ง! ถือช้อนแกงไว้ไม่อยู่ ช้อนตกลงในชาม จูโยวเหม่ยเอามือปิดปากไว้ หันตัวไปด้วยแววตาเป็นประกาย บีบน้ำตาออกมาแล้ว นางเริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้น ไหล่งามสั่นเทิ้ม
เถิงเฟยลุกขึ้นเดินเข้าไปประคองบ่านาง “เป็นอะไรไป อยู่ดีๆ ร้องไห้ทำไม?”
จูโยวเหม่ยสะอื้นพลางส่ายหน้า “ผู้น้อยดีใจค่ะ” นางไม่พูดจาปิดบังอะไร
แต่ท่าทางอ่อนปวกเปียกตื้นตันใจที่นางประสบกับเหตุการณ์ต้นร้ายปลายดี ทำให้เถิงเฟยสะเทือนใจมาก เขาคว้ามือนางแล้วลูบเบาๆ “เข้าใจ ข้าเข้าใจทุกอย่าง หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
จูโยวเหม่ยส่ายหน้า “ท่านอ๋องมีน้ำใจอย่างนี้ ผู้น้อยก็รู้จักพอค่ะ เพียงแต่ถ้าเข้ามาอยู่ในเรือนหลักโดยมีสถานะไม่ถูกต้อง ผู้น้อยมีคุณธรรมหรือความสามารถอะไรคะ กลัวว่าพี่สาวคนอื่นจะไม่พอใจ รอให้งานใหญ่ของท่านอ๋องเรียบร้อยก่อน แล้วค่อยเติมเต็มความปรารถนาของผู้น้อยก็ยังไม่สาย ผู้น้อยรอมาหลายปีขนาดนี้ ไม่ถือสาที่จะรออีกสักหน่อยหรอกค่ะ ลำบากนิดหน่อยไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
เถิงเฟยหันกลับมากำชับเถิงจงทันที “เช่นนั้นก็เริ่มประกาศสถานะที่ถูกต้องเลยแล้วกัน ตั้งแต่วันนี้ไป จวนท่านอ๋องมีนายหญิงแล้ว ข้าจะคอยดูว่าใครจะกล้าพูดจาซี้ซั้ว!”
จูโยวเหม่ยตื่นเต้นจนใจสั่น
“รับทราบ!” เถิงจงโค้งตัวเอ่ยรับ เหลือบตามองจูโยวเหม่ยแวบหนึ่ง แล้วก็อยู่ในความเงียบต่อไป ในใจกลับแอบทึ่ง ท่านนี้คือผู้ที่โดดเด่นท่ามกลางกลุ่มอนุภรรยา กลายเป็นหนึ่งในคนที่เข้าออกที่นี่ได้ ตอนนี้ก็กำลังจะข้ามหน้าคนอื่นมาเข้าพักที่นี่ กำลังจะกลายเป็นนายหญิงที่แท้จริงของจวนท่านอ๋องแห่งนี้แล้ว พวกผู้หญิงที่แพ้ให้นาง เกรงว่าคืนนี้คงจะทรมานเต็มที่ ด้วยเล่ห์เหลี่ยมของท่านนี้ก็คงจะไม่ให้โอกาสผู้หญิงพวกนั้นได้กลับตัวอีก หวังเพียงว่าท่านนี้จะฉลาดพอที่จะไม่ก่อเรื่องอะไรในจวนท่านอ๋องในเวลานี้
ที่จริงเขาไม่เห็นด้วยที่จะเลือกนายหญิงของจวนท่านอ๋องในเวลานี้ เพียงแต่บางเรื่องเขาไม่สะดวกจะแทรกแซง ถ้าเขากล้าทักท้วงเรื่องนี้ เช่นนั้นก็เท่ากับล่วงเกินจูโยวเหม่ยอย่างร้ายแรง ถ้ามองจากจุดยืนของจูโยวเหม่ย ก็ไม่สนใจว่าจะเป็นคนนั้นหรือคนนี้ เจ้าตัวแค่กังวลว่าค่ำคืนยาวนานแล้วจะฝันมาก อยากจะกำหนดเรื่องนี้โดยเร็ว ถึงขั้นยอมให้คนนอกมาแทรกแซงด้วย ถ้าเขาไปห้ามเมื่อไร เกรงว่าจูโยวเหม่ยคงจะไม่ให้อภัยเขาไปทั้งชีวิต นอกเสียจากว่าหลังจากนี้เขาจะดันทุรังกดจูโยวเหม่ยไม่ให้ลืมตาอ้าปากได้อีก ไม่อย่างนั้นต่อไปจะอยู่ร่วมกับนายหญิงท่านนี้อย่างอึดอัด และถ้าตอนหลังเขาดันทุรังขัดขวางการขึ้นสู่ตำแหน่งของจูโยวเหม่ย ดีไม่ดีท่านอ๋องอาจเข้าใจผิดว่าเขาเริ่มเลือกฝั่งของทายาทรุ่นถัดไปแล้ว…
“หวังเฟย?” เหมียวอี้ที่กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในอุทยานชะงักไป แล้วถามว่า “เถิงเฟยสัญญาแล้วไม่ใช่เหรอว่ารอให้จบเรื่องก่อน? ทำไมเร็วขนาดนี้?”
อวิ๋นจือชิวที่เพิ่งได้รับข่าวจากจวนท่านอ๋องเถิงตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “บอกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้มีความสามารถไม่ธรรมดา เถิงเฟยให้สถานะฮูหยินเอกกับนางในเวลานี้ได้ ถ้านางไม่ได้ใช้อุบายก็แปลกแล้ว ผู้หญิงคนนี้ถึงขั้นยอมให้อาศัยอำนาจภายนอกมาแทรกแซงในจวนท่านอ๋องเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แม้จะดูล้ำเส้นไปหน่อย แต่ถ้าถ่วงเวลาไปก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเถิงเฟยทำให้นางสงบในเวลานี้ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแย่ ไม่สนใจนางแล้ว ข้าจะเตรียมของขวัญล้ำค่าแล้วให้คนส่งไปแล้วกัน”
“เจ้าจัดการตามเห็นสมควรแล้วกัน!” เหมียวอี้พยักหน้า
อุทยานสายัณห์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กำลังเดินอยู่ในสวนที่สวยสดงดงามด้วยความรู้สึกว่างเปล่าเงียบเหงา ข้างหลังมีนางในตามกลุ่มหนึ่ง
บังเอิญเหลือบไปเห็นนางในหลายคนกำลังห้อมล้อมอยู่ข้างกายผู้หญิงคนหนึ่ง เหมือนกำลังเก็บดอกไม้หลากสีสัน กำลังปักดอกไม้ไว้บนมวยผมของผู้หญิงคนนั้น
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เป็นประเภทที่เมื่อเห็นผู้หญิงในวังแต่งตัวฉูดฉาดสวยงามกว่านางแล้วจะไม่พอใจ เป็นฝ่ายเดินเข้าไปเอง หลังจากมองเห็นอีกฝ่ายชัดเจนแล้ว อารมณ์หงุดหงิดก็เบาลงไปหลายส่วน “ที่แท้ก็เป็นสนมลี่นี่เอง! มีอารมณ์สุนทรีย์ดีนะ”
“เหนียงเหนียง!” สนมลี่รู้ตัวและหันมามองแวบหนึ่ง รีบนำดอกไม้ที่เสียบไว้บนช่อผมออกแล้วคำนับ ก่อนจะเดินตามข้างกายเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ด้วยใบหน้าเปี่ยมรอยยิ้ม
เอ๋อเหมยที่อยู่ข้างหลังจ้องสนมลี่อย่างระแวะระวัง นางสังเกตได้ถึงความผิดปกติบางอย่างแล้ว ช่วงนี้สนมลี่เหมือนพยายามเข้าใกล้ราชินีสวรรค์ ไม่ว่าจะมีธุระหรือไม่มีธุระก็ล้วนบังเอิญเจอ ค่อนข้างประจบประแจง ทำให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองด้วยสายตาใหม่แล้วไม่น้อย
หลังจากคุยเป็นเพื่อนพักหนึ่ง จู่ๆ สนมลี่ก็เด็ดดอกไม้สดสีชมพูดดอกหนึ่ง แล้วขออนุญาตประดับบนศีรษะให้เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ จากนั้นถามกลุ่มนางในว่า “ดอกไม้นี้เหมาะสมกับเหนียงเหนียงมาก ทุกคนว่าสวยมั้ย?”
“สวยเพคะ! สวยเพคะ…”
ด้านข้างมีเสียงกล่าวชมดังเกรียวกราว ต่างก็ชมว่าสวย แม้แต่เอ๋อเหมยก็ไม่เว้น ที่สำคัญก็คือต่อให้ไม่สวยก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าไม่สวย ราชินีสวรรค์ค่อนข้างใจแคบ ถ้าพูดไม่ถูกคำเดียวก็อาจทำให้นางแค้นเคืองได้
ท่ามกลางเสียงประจบเยินยอ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถูกหยอกจนยักคิ้วหลิ่วตาบอกว่า “สนมลี่ปากหวานจริงๆ ข้าไม่ได้งดงามปานจันทราบุปผาอย่างพวกเจ้า” แม้จะพูดอย่างนี้ แต่ก็ยังยกมือลูบดอกไม้บนมวยผม สุดท้ายก็ตัดใจเด็ดทิ้งไม่ลง
“เหนียงเหนียงกล่าวเช่นนี้ หม่อมฉันไม่ชอบฟังเลยเพคะ คนเราจะหน้าตาเหมือนกันหมดโลกได้อย่างไร คนเราล้วนมีจุดเด่นที่ต่างกัน แค่ดูว่าแต่งกายอย่างไร ที่จริงการแต่งกายก็มีหลักการเช่นกัน จะแต่งกายมั่วซั่วไม่ได้ หากแต่งกายเหมือนกันอาจไม่เหมาะกับทุกคน ต้องเน้นเฉพาะบุคคลถึงจะแสดงจุดเด่นได้…” สนมลี่สวดไปยกหนึ่ง
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับฟังอย่างใส่ใจ พูดแทรกเป็นระยะ ฟังที่นางพูดก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังขอคำชี้แนะ ทั้งสองสนิทกันแล้ว
รอจนกระทั่งบรรยากาศได้ที่ จู่ๆ สนมลี่ก็ถามเสียงต่ำว่า “เหนียงเหนียง มีบางสิ่งที่ไม่รู้ว่าหม่อมฉันควรจะพูดหรือเปล่าเพคะ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ฟังออกแล้วว่านางมีเรื่องจะพูดเป็นการส่วนตัว กอปรกับมีทัศนคติต่ออีกฝ่ายค่อนข้างดี จึงโบกมือให้พวกนางในถอยออกไปไกลๆ หน่อย
ตอนนี้สนมลี่ถึงได้กล่าวเสียงเบาว่า “เหนียงเหนียง ตอนนี้นอกจากฝ่าบาทจะยุ่งอยู่กับราชกิจแล้ว แต่พักอยู่ที่พระตำหนักอุทยานระยะยาวหมายความว่าอย่างไรเพคะ? วังสวรรค์นี่ต่างหากที่เป็นบ้านของฝ่าบาทอย่างแท้จริง! เหตุใดเหนียงเหนียงไม่โน้มน้าวเพคะ?”
………………