“มิบังอาจ มิบังอาจ” เชี่ยเซิงโบกมือซ้ำๆ “บ่าวก็แค่อธิบายความจริงให้ท่านอ๋องฟัง รู้สึกว่าท่านอ๋องหนิวคงไม่เลือกฝั่งเถิงเฟยจนบีบให้ท่านอ๋องกับประมุขชิงร่วมมือกัน แบบนี้ถึงจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย!”
เหมียวอี้ลุกขึ้นช้าๆ เดินไปตรงหน้าเชี่ยเซิงทีละก้าว แล้วกล่าวเน้นย้ำทีละคำว่า “ประมุขชิงนับเป็นก้นอะไรล่ะ!”
คำพูดจาบจ้วงเบื้องบนอย่างเปิดเผยแบบนี้ทำให้เชี่ยเซิงสีหน้าเปลี่ยนไปมาก
เหมียวอี้พูดต่อว่า “อ๋องผู้นี้ไม่ช่วยฝั่งไหนทั้งนั้น เจ้ากลับไปบอกเฉิงไท่เจ๋อ ว่าถ้าใครร่วมมือกับประมุขชิง ข้าก็จะโจมตีคนนั้น ถ้าข้าโจมตีใคร ฝ่ายอื่นก็จะร่วมมือกับข้าโจมตีคนนั้น ถ้าไม่เชื่อก็ให้เขาลองดู อ๋องผู้นี้ก็อยากจะเห็นนักว่าประมุขชิงจะช่วยเขาได้หรือไม่!”
เชี่ยเซิงสะอึกไปเลย รู้ว่าท่านนี้บ้าระห่ำ วันนี้ถึงได้รู้ว่าสมคำร่ำลือ พอคุยไม่ถูกคอกัน ก็เอ่ยคำพูดโจมตีออกมาทันที
พอตระหนักได้ว่าเมื่อครู่นี้คำพูดของตัวเองยั่วโมโหอีกฝ่าย เชี่ยเซิงก็รีบขออภัย “ท่านอ๋องหนิว ท่านอย่าเข้าใจผิด บ่าวเองก็มีเจตนาดีเหมือนกัน ทั้งหวังดีต่อท่านอ๋องของตัวเอง และหวังดีต่อท่านอ๋องหนิวด้วย!”
เหมียวอี้เชิดหน้าเล็กน้อย แล้วเอ่ยคำเดียวว่า “ไสหัวไป!”
“ท่านอ๋องหนิว…” เชี่ยเซิงยังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่หยางเจาชิงก้าวขึ้นมายื่นมือขวางแล้ว “พี่เซี่ย เชิญ!”
ส่วนเหมียวอี้ก็หันตัวเดินก้าวยาวออกไป ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเขาอีก เดินไปที่โถงด้านหลังโดยตรง
“…” เชี่ยเซิงพูดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจแล้วเดินตามหยางเจาชิงออกไป
หยางเจาชิงก็ไว้หน้าเขาเช่นกัน ส่งเขาออกจากดาวอ๋องสวรรค์หนิวเสียเลย
ขณะลอยอยู่ในดาราจักร เชี่ยเซิงมองดาวเคราะห์ที่อยู่ใต้เท้า ถอนหายใจแล้วบอกว่าหยางเจาชิงว่า “ท่านอ๋องหนิวช่างเจ้าอารมณ์!”
หยางเจาชิงยิ้มบางๆ “ที่จริงท่านอ๋องคุยง่ายมาก จะแย่ก็ตรงที่พี่เซี่ยพี่เซี่ยไม่ควรพูดจาข่มขู่เหมือนมีเข็มซ่อนอยู่ในปุยฝ้ายอย่างนั้น ท่านเองก็ไม่คิดเสียบ้าง ท่านอ๋องของข้าเคยกลัวใครบ้างล่ะ ขนาดในปีนั้นที่ยังต่ำต้อยอยู่ก็ยังไม่กลัวอิ๋งจิ่วกวงกับฮ่าวเต๋อฟาง จุดจบเป็นยังไงล่ะ ตอนนี้ท่านอ้างประมุขชิงแล้วจะขู่ท่านอ๋องของข้าได้เหรอ? ถ้าท่านเคยได้ยินเรื่องท่านอ๋องของข้ามาก่อน ก็น่าจะรู้นะว่าท่านอ๋องของข้าไม่ชอบวิธีแข็งกร้าวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว!”
เชี่ยเซิงพยักหน้า “ใช่แล้วๆ ก็ข้าพูดผิดไป แต่จะว่าไปแล้ว ที่ข้าพูดก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน ถ้าท่านอ๋องหนิวช่วยเถิงเฟย จะต้องบีบให้ท่านอ๋องของข้าไปหาประมุขชิงแน่นอน แล้วประมุขชิงก็คงไม่นิ่งดูดายให้เถิงเฟยทำสำเร็จหรอก ด้วยความเดือดดาลของประมุขชิง จะต้องให้ทัพใหญ่แดนรัตติกาลบุกทัพใต้เพื่อข่มขู่ท่านอ๋องหนิวแน่นอน ต่อให้หลายอ๋องร่วมมือกันต่อต้าน แต่ฝั่งแดนสุขาวดีจะนิ่งดูดายได้เชียวหรือ? วุ่นวายจนสุดท้ายใครก็ไม่มีใครได้ประโยชน์ทั้งนั้น เพื่อให้เป็นผลดีต่อทุกคน หวังว่าพี่หยางจะโน้มน้าวท่านอ๋องหนิวมากๆ หน่อย!”
หยางเจาชิงบอกว่า “พี่เซี่ยคิดมากแล้ว เรื่องพวกนี้มีหรือที่ท่านอ๋องจะไม่รู้ ตอนนี้ท่านอ๋องของข้าไม่ได้มีท่าทีว่าจะยืนฝั่งไหน ท่านอ๋องเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าช่วงนี้ทหารเคลื่อนไหวกันเอิกเกริกมันเพราะอะไรกันแน่ เพียงแต่ภายใต้สถานการณ์ที่ผิดปกติแบบนี้ ท่านอ๋องก็ถูกบีบให้เคลื่อนย้ายกำลังพลเพื่อเตรียมพร้อมป้องกันเท่านั้นเอง พอไปถามอ๋องท่านอื่น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเรื่องอะไร เถิงเฟยเองก็ป่าวประกาศว่าโดนใส่ร้ายอย่างนั้น กลับเป็นฝั่งประมุขชิงที่น่าสงสัย เดี๋ยวพี่เซี่ยกลับไปก็ต้องโน้มน้าวอ๋องสวรรค์เฉิงมากๆ หน่อย อย่าให้ตกหลุมพรางประมุขชิงเด็ดขาด!”
เชี่ยเซิงไม่รู้ว่าท่านนี้พูดจาจริงเท็จกี่ส่วน ทำได้เพียงกล่าวตามมารยาทแล้วขอตัวลา นำกำลังพลที่ติดตามมาจากไปอย่างรวดเร็ว
พอวิ่งมาบ้านนี้เสร็จ ภารกิจของเขาในครั้งนี้ก็นับว่าเสร็จสิ้นแล้ว เพราะโค่วหลิงซวี ก่วงลิ่งกงและหนิวโหย่วเต๋อก็ไปหามาหมดแล้ว มอบของขวัญล้ำค่าให้ด้วยเช่นกัน คำพูดดีๆ ก็พูดไปหมดแล้ว แสดงความจริงใจไปแล้ว แน่นอนว่าจะมาขอร้องอีกฝ่ายอย่างเดียวก็ไม่ได้ คนที่ขึ้นมาอยู่ถึงตำแหน่งระดับนี้แล้ว มีหรือที่พูดดีๆ ด้วยแค่คำสองคำแล้วว่าหั่นไหวได้ ยิ่งเจ้าขอร้องอีกฝ่าย อีกฝ่ายก็ยิ่งรู้สึกว่าเจ้าน่ารังแก ยิ่งกลั่นแกล้งเจ้าได้ง่าย ประเด็นคือตัวเจ้าเองก็ต้องมีความสามารถที่จะขู่ให้หยุดได้ด้วย ดังนั้นเขาก็เผยเส้นตายให้ทุกฝ่ายรู้แล้วด้วย ว่าอย่าบีบให้เฉิงไท่เจ๋อไปขอพึ่งพาประมุขชิง!
ส่วนฝั่งหนิวโหย่วเต๋อ ข้อด้อยโดยธรรมชาติอยู่ตรงนี้ นั่นก็คือมีทัพใหญ่แดนรัตติกาลจ่ออยู่ข้างหลัง เขาย่อมต้องเอ่ยถึงสักหน่อย
พอกลับมาที่จวนท่านอ๋อง หยางเจาชิงก็พาเหมียวอี้พบที่ศาลา
เหมียวอี้ยืนพิงระเบียง เอามือไขว้หลังทอดสายตามองไปไกล ถามเสียงเรียบว่า “ไปแล้วเหรอ?”
“ไปแล้วขอรับ” หยางเจาชิงเอ่ยรับ แล้วบอกอีกว่า “ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ อาจจะคุมเชิงต่อไป กองทัพองครักษ์ที่รวมตัวกันอาจจะไม่กล้าถอนกำลังจากฝั่งเฉิงไท่เจ๋อได้ง่ายๆ กลัวว่าเถิงเฟยจะลงมือกะทันหัน เถิงเฟยก็ไม่กล้าผ่อนปรนเช่นกัน กลัวว่าเฉิงไท่เจ๋อก็ฉวยโอกาสพุ่งสุดตัว อ๋องท่านอื่นก็ไม่กล้าเรียกกำลังพลกลับมาเช่นกัน ล้วนกำลังป้องกันประมุขชิง”
เหมียวอี้กล่าวอย่างใจเย็นว่า “ถ่วงเวลาต่อไป ถ่วงเวลาต่อไปตลอดก็ยิ่งดี ที่ข้าต้องการก็คือผลลัพธ์นี้ ดึงความสนใจของทุกคนไว้ที่ทัพตะวันออก ถึงจะให้ฝั่งหยางชิ่งทำงานได้สะดวก ประมุขชิงจะได้ไม่เอาแต่คิดจะเล่นงานข้า แบบนี้ถ้าข้ายังไม่กลับแดนมรณะดึกดำบรรพ์ก็จะไม่ทำให้ประมุขชิงสงสัย…ส่วนกำลังพลฝั่งแดนมรณะดึกดำบรรพ์ ในเมื่อส่งเข้าปากอ๋องผู้นี้แล้ว ข้าก็ต้องกลืนลงไป ไม่ใช่เพื่ออะไรหรอก ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากขนาดนั้นคืออาวุธสำเร็จรูปชั้นดี! ในมือทัพใหญ่แดนรัตติกาลยังมีอีกห้าสิบล้านคัน เมื่อต้องการผลงานที่ดี ก็ต้องลับเครื่องมือให้คม…”
จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล ชิงหยวนจุนที่ลาดตระเวนอยู่ด้านนอกรอบหนึ่งเหาะลงมาจากฟ้า เดินก้าวยาวกลับเข้ามาในจวนผู้สำเร็จราชการ
เขาเองก็นับว่ามุมานะบากบั่นเช่นกัน โดยทั่วไปจะลาดตระเวนจุดที่แดนรัตติกาลตั้งประจำการด้วยตัวเองทุกเดือน พยายามเลิกวางมาดเป็นโอรสสวรรค์ กระตือรือร้นผ๔กสัมพันธ์กับคนเบื้องล่าง ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็เหมือนจะไม่มีอะไร ตั้งแต่เขามารักษาการณ์เอง ตึกศาลาสัตยพรตของตระกูลเซี่ยโห้วก็ไม่กลั่นแกล้งเขาอีก รู้ว่าเขาคือลูกชายของราชันสวรรค์ กอปรกับทัพใหญ่แดนรัตติกาลกลุ่มนี้ถูกดึงมาจากกองทัพองครักษ์โดยตรง อาวุธครบครัน ไม่ค่อยมีใครกล้าก่อเรื่องในอาณาเขตของเขา คลื่นลมสงบนิ่ง ทำให้เขาไม่มีเรื่องอะไรต้องทำจริงๆ
เดินเข้ามาถึงประตูเรือนด้านในจวนผู้สำเร็จราชการ ทหารอารักขาที่ตามมาก็แยกย้ายกันไป ชำเลืองมองทหารยามคนหนึ่งที่อยู่หน้าประตูใหญ่ของเรือน อีกฝ่ายส่งสายตาให้เขา จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ
สาวใช้สองคนเข้ามาต้อนรับ ชิงหยวนจุนโบกมือบอกใบ้ให้ถอยออกไป “ให้ข้าอยู่เงียบๆ คนเดียว”
“ค่ะ!” สาวใช้สองคนเอ่ยรับแล้วจากไป
เดินไปเดินมาอยู่เพียงลำพังในเขตเรือนขนาดใหญ่ ฉวยโอกาสตอนที่ไม่มีใครสังเกตเห็น ชิงหยวนจุนสังเกตไปรอบรอบๆ แล้วเข้ามาอยู่ในห้องเล็กที่ลับตาคนเงียบๆ
ภายในห้อง บุรุษคนหนึ่งที่สวมหน้ากากยืนขึ้น เป็นหยางชิ่งนั่นเอง แต่เปลี่ยนหน้ากากบนใบหน้าใหม่แล้ว เขากุมหมัดทำความเคารพ “คารวะองค์ชาย!”
การปะปนเข้ามาครั้งนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะแทรกซึมอยู่ในทัพใหญ่แดนรัตติกาลมาหลายปีแล้ว ก็เข้าไปไม่ได้เลย แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ เพื่อความระมัดระวังตัว เขายังสิ้นเปลืองเวลาไปไม่น้อยกว่าจะปะปนเข้ามาได้
ชิงหยวนจุนมองประเมินเขาศีรษะจดเท้า แล้วถามว่า “เจ้าเป็นใคร?” นี่ก็คือสัญญาณละที่คำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน
“หยางชิ่ง!” หยางชิ่งตอบพร้อมรอยยิ้ม
ชิงหยวนจุนถอนหายใจ หัวใจที่กังวลผ่อนคลายลงแล้ว ไม่กังวลไม่ได้หรอก เพราะสำหรับเขา ทุกที่ล้วนมีหูตาของเสด็จพ่อ ยามปกติล้วนทำเรื่องต่างๆอย่างระมัดระวัง มิหนำซ้ำนี่ยังเป็นการติดต่อกับคนของหนิวโหย่วเต๋อในช่วงเวลาที่เปราะบาง
เขาไม่ได้มีความทรงจำอะไรกับหยางชิ่ง เพราะก่อนที่เขาจะเกิด หยางชิ่งก็หายตัวไปจากข้างกายเหมียวอี้แล้ว ได้ยินเพียงว่าข้างกายเหมียวอี้เคยมีลูกน้องคนสนิทคนนี้อยู่ด้วย ส่วนโฉมหน้าที่แท้จริงเป็นอย่างไรก็ไม่เคยเห็นเลย
และสาเหตุที่หนิวโหย่วเต๋อส่งหยางชิ่งมา ก็เป็นเพราะหนิวโหย่วเต๋อได้ยินเสด็จแม่ของตัวเองระบายทุกข์ ถึงได้ตัดสินใจส่งคนมาช่วยตนข้ามผ่านวิกฤตที่อาจจะเกิดขึ้น
แค่ส่งคนมาคนเดียวก็จะช่วยตนข้ามผ่านวิกฤตได้อย่างนั้นเหรอ? ชิงหยวนจุนรู้สึกสงสัยกับสิ่งนี้ แต่เหมียวอี้บอกเขาว่า คนผู้นี้คือเสนาธิการของเขา คนเดียวก็เท่ากับกำลังพลนับแสนนับล้าน
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เชื่อ เหมียวอี้ก็บอกเขาอีกว่า ที่โค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางได้ ก็เป็นคนผู้นี้ที่วางแผนเองกับมือ และการที่เหมียวอี้ผงาดขึ้นมาตลอดทางจนถึงทุกวันนี้ได้ ก็ล้วนเป็นคนผู้นี้ที่วางแผนให้ ถ้าไม่ใช่เพราะราชินีสวรรค์ไประบายความทุกข์ให้ฟัง เห็นเหนียงเหนียงกับองค์ชายตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากขณะนี้ เขาก็ไม่มีทางยอมเปิดโปงคนผู้นี้และส่งมาเสี่ยงอันตรายที่นี่หรอก
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน ชิงหยวนจุนอาจจะไม่เชื่อคำพูดเหลวไหลของเหมียวอี้ แต่เหมียวอี้ช่วยเหลือมาหลายปีขนาดนี้โดยไม่ขออะไรตอบแทน ทรัพยากรที่ให้เขาก็ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ ทำอย่างนี้หลายปีโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอะไร แม้จะรักษาระยะห่างต่อกัน แต่กลับแอบสนับสนุนเขาเงียบๆ หินก้อนหนึ่งก็ถูกคลุมจนร้อนได้เหมือนกัน
ในปีนั้นทัพใต้เกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ใต้หล้าสั่นสะเทือน หลังเกิดเรื่องชิงหยวนจุนย่อมศึกษาวิธีการที่เหมียวอี้โค้นล้มฮ่าวเต๋อฟางอย่างละเอียด แม้ปากจะไม่ยอมรับ แต่ในใจกลับทึ่งมาก ทึ่งในวิธีการที่เหมือนคว่ำเมฆพลิกฝนของเหมียวอี้ ทอดถอนใจที่ตัวเองเทียบไม่ติด ผลปรากฏว่าผ่านไปตั้งนาน ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าหนิวโหย่วเต๋อมีลูกน้องที่มีสติปัญญาเยี่ยมยอดแบบนี้คอยช่วยเหลือ!
เขายืนตระหง่านมั่นคงที่แดนรัตติกาลมาจนถึงทุกวันนี้ ตลอดมาข้างกายเหมือนไม่มีใครเลย ว่ากันว่าชายชาตรีมีผู้ช่วยสามคน คิดว่าสิ่งที่ตัวเองขาดก็คือคนมีฝีมือที่จะช่วยวางแผนอยู่ข้างกายตัวเอง ดังนั้นจึงไม่สามารถแสดงความสามารถได้ นึกไม่ถึงว่าหนิวโหย่วเต๋อจะส่งคนอย่างนี้มาให้ เรียกได้ว่าเป็นฝนในฤดูแล้งอันยาวนานจริงๆ ทำให้เขาซาบซึ้งใจไม่หยุด
เขารายงานสถานการณ์ให้เสด็จแม่ทราบ หลังจากเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ฟังแล้วก็ใจสั่นไม่หยุด บอกว่าในเมื่อคนผู้นี้มีความสามารถแบบนี้ ก็เป็นผู้มีความรู้และคุณธรรม ควรลดฐานะตัวเอง ต้องคิดหาทางดึงเอามาเป็นพวกให้ได้ รับเอาไว้ใช้งานเอง อย่าไปวางมาดเป็นโอรสสวรรค์ต่อหน้าอีกฝ่ายเด็ดขาด!
สองแม่ลูกต่างก็รู้ถึงข้อเสียของตัวเอง มันก็คือข้างกายขาดคนฉลาดคอยชี้แนะ ถึงได้ถูกคนอื่นบงการอย่างโง่เง่ามาตลอด แต่นี่ก็คือสิ่งที่ไม่มีทางเลือก ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิงหรือตระกูลเซี่ยโห้วก็ล้วนไม่ให้โอกาสพวกเขารับคนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานด้วย
ระหว่างทางที่มาที่นี่ เมื่อรู้ว่าผู้มีฝีมือมาถึงแล้ว ในใจชิงหยวนจุนก็ตื่นเต้นดีใจสุดๆ รู้สึกได้รางๆ ว่าโอกาสที่ตัวเองจะได้ปล่อยหมัดปล่อยเท้ามาถึงแล้ว จึงรีบร้อนอยากมาเจอ แต่ก็ไม่กล้าแสดงพิรุธอะไรให้ภายนอกเห็น
ในที่สุดก็ได้พบกันแล้ว ชิงหยวนจุนพยายามข่มสีหน้าอารมณ์ตื่นเต้นของตัวเองเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายดูถูก กล่าวว่า “ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่พูดคุยกัน เกรงว่าต้องทำให้ท่านบุรุษลำบากแล้ว”
“เข้าใจ!” หยางชิ่งพยักหน้า ปล่อยให้ฝ่ายเก็บตัวเองเข้าในกระเป๋าสัตว์
จากนั้นชิงหยวนจุนก็ออกมาจากห้องนี้ แล้วมุ่งตรงไปยังห้องสมาธิของตัวเอง ที่ต้องระมัดระวังขนาดนี้ก็เพราะไม่มีทางเลือก ที่พูดในนี้ก็เพราะกลัวคนอื่นได้ยิน ถ้าจะถ่ายทอดเสียงคุยกันก็กลัวว่าจะมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ จะมีคลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ก็เป็นเรื่องปกติ
และสาเหตุที่หยางชิ่งหลบมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว ก็เป็นเพราะคนที่ส่งตัวเองเข้ามาส่งเข้ามาได้แค่ในห้องนี้ เข้าไปยังสถานที่ส่วนตัวของชิงหยวนจุนไม่ได้
ก่อนจะมาถึงห้องสมาธิ ก็กำชับหญิงรับใช้ไว้แล้วว ว่าถ้าไม่ได้รับอนุญาตก็ห้ามมารบกวนเขาฝึกตน จากนั้นก็เข้าไปในห้องที่ปิดประตูสนิท
พอเข้ามาในห้องสมาธิแล้ว ชิงหยวนจุนก็ปล่อยหยางชิ่งออกมาอีก แล้วถ่ายทอดเสียงถามด้วยรอยยิ้ม “อย่าบอกนะว่าท่านบุรุษไม่เตรียมจะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงให้เห็นสักหน่อย?”
“ในเมื่อเป็นคำสั่งองค์ชาย ก็มิอาจไม่เชื่อฟัง!” หยางชิ่งโค้งตัวเอ่ยรับ ยกมือขึ้นถอดหน้ากากบนใบหน้า เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาแล้ว
เวลาลึกล้ำ ใบหน้าซูบผอม จอนผมสองข้างเป็นสีขาว ลักษณะบนใบหน้าแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนประเภทมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ชิงหยวนจุนแอบดีใจ แต่กลับไม่รู้ว่าคนพูดนี้มีความสามารถจริงหรือเปล่า แอบเกิดความคิดอยากทดสอบ จึงถามหยั่งเชิงว่า “ด้วยสถานการณ์ของใต้หล้าตอนนี้ ไม่ทราบว่าท่านบุรุษมีความคิดเห็นอย่างไร?”
……………