บทจะแปรพักตร์ก็แปรพักตร์คืออะไร?
ที่จริงจะบอกว่าหยางไท่แปรพักตร์ก็ไม่ได้หรอก หลังจากผ่านเรื่องป่าลืมทุกข์ แค่เริ่มต้นก็เจอกับโจทย์ยากเสียแล้ว เรียกได้ว่าทำลายขวัญกำลังใจ ดูออกตั้งแต่ตอนที่ไม่ยอมบุกเข้าป่าลืมทุกข์โดยอ้างว่าไปหานักโทษคนต่อไปแล้ว เพียงแต่สถานการณ์ยังไม่แน่นอน ทั้งยังรู้ถึงความคิดของเหมียวอี้กับสวีถังหรานด้วย ไม่สะดวกจะบอกให้วางมืออย่างโจ่งแจ้ง ไม่อย่างนั้นถ้าแตกหักกันก็จะเหลือแค่เขากับมู่หรงซิงหัว ถ้าคู่หูน้อยลงก็กลัวจะมีอันตราย ตอนนี้มีทางเลือกที่ดีกว่าแล้ว ยังจะลังเลพลาดโอกาสได้อย่างไรกัน
เหมียวอี้ได้ยินแล้วรีบมองค้อน จ้องไปที่หยางไท่ แต่ปากกลับถามมู่หรงซิงหัว “มู่หรง เจ้ามีความคิดเห็นว่ายังไง?”
มู่หรงซิงหัวครุ่นคิดนิดหน่อย สุดท้ายก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ความคิดของเจ้ากับสวีถังหรานพวกเราเข้าใจได้ แต่พวกเจ้าก็ต้องเข้าใจความคิดของข้ากับหยางไท่ด้วยนะ ในเมื่อทุกคนมีความเห็นต่างกัน…ระหว่างเราก็ไม่มีบุญคุณความแค้นอะไรกันด้วย ไม่สู้ทำตามที่หยางไท่บอกดีกว่า ทุกคนต่างคนต่างไปเถอะ จะได้ไม่ทำลายความรู้สึกกัน”
“เจ้าไม่เสนอความเห็นอะไรแล้วเหรอ?” เหมียวอี้ถามสวีถังหรานอีก
“ข้า…” สวีถังหรานสับสนมาก ถ้าสองคนนั้นไม่ไปก็ยังดีอยู่ แต่พอสองคนนั้นไป เขาก็ลำบากใจนิดหน่อย แต่พอเห็นข้างกายเหมียวอี้มีสหายอีกสองคน ในใจเขาก็สงบลงไม่น้อย จึงตอบพร้อมรอยยิ้มขื่นขม “เจ้ามีความเห็นอะไรล่ะ ข้าตามใจเจ้าแล้วกัน”
ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นเขาโดนโค่วเหวินหลานกดดันให้ซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิง ตอนนี้เขาคงปลีกตัวไปแล้ว
“แยกย้ายก็แยกย้าย!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ “แต่ของวิเศษที่ผู้บัญชาการใหญ่โค่วให้พวกเจ้าไว้ พวกเจ้าเตรียมจะทำยังไงกับมันล่ะ? อย่าบอกนะว่าทรยศเขา แล้วยังจะเอาของของเขาไปอีก?”
หยางไท่ตอบเสียงต่ำว่า “เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องสนใจหรอก หลังจากกลับไปพวกเราก็ไม่กล้ายึดของของเขาอยู่ดี ย่อมต้องคืนให้เขาอยู่แล้ว”
เหมียวอี้มองมู่หรงซิงหัวแวบหนึ่ง ถ้าไม่ใช่เพราะกังวลเรื่องเฉาว่านเสียง จึงไม่สะดวกจะทำเรื่องนี้ให้เด็ดขาดเกินไป เขาต้องลงมือแย่งของกลับมาแน่นอน แต่เขาก็ยังหยิบระฆังดาราออกมา แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์เขย่าอยู่ในมือ
“เจ้าทำอะไรน่ะ?” หยางไท่ถามอย่างกังวล
“ในเมื่อพวกเจ้าจะทำแบบนี้แล้ว ข้าก็ต้องบอกเรื่องนี้ให้ผู้บัญชาการใหญ่รู้ พวกเราพูดต่อหน้ากันให้ชัดเจนไปเลย จะได้ไม่อธิบายลำบากตอนหลัง” เหมียวอี้ตอบ
ก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่พูดให้ชัดเจนต่อหน้าคงไม่ได้ หลังจากจบเรื่องปากคนเราจะพูดอะไรก็ได้ ถึงตอนนั้นก็ยังไม่รู้เลยว่าใครจะประณามใครกันแน่
หยางไท่หน้าบึ้งทันที นี่คือเรื่องที่ยั่วโมโหโค่วเหวินหลานอย่างร้ายแรง พวกเขาไปมีเรื่องกับอำนาจที่หนุนหลังตระกูลโค่วไม่ไหว จึงเอียงหน้าบอกมู่หรงซิงหัวว่า “มู่หรง เจ้าลองบอกหัวหน้าภาคเฉาสักหน่อยสิ”
มู่หรงซิงหัวหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเฉาว่านเสียงทันที ต้องให้เฉาว่านเสียงเตรียมตัวไป ป้องกันไม่ให้โค่วเหวินหลานโมโหจนถอดพวกเขาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการ
ต่างฝ่ายต่างเขย่าระฆังดาราติดต่อคนที่หนุนหลังตัวเอง หลังจากเฉาว่านเสียงรู้เรื่องแล้ว ก็ตอบกลับมาว่า : ถ้าเหมียวอี้กับสวีถังหรานรอดชีวิตกลับมาได้ จะต้องโดนเขาจัดการแน่ บอกมู่หรงซิงหัวว่าไม่ให้กังวล ทางนี้ไม่ใช่อาณาเขตที่ตระกูลโค่วควบคุม ใช่ว่าโค่วเหวินหลานอยากจะทำอะไรแล้วก็ทำได้ เขาสามารถบอกปี้เยว่ฮูหยินได้ ไม่ให้โค่วเหวินหลานทำซี้ซั้วแน่
ส่วนโค่วเหวินหลานได้ยินแล้วก็เดือดดาลมาก เอาของวิเศษที่มีมูลค่าสูงของเขาไปแล้ว แต่ยังกล้าทรยศเขาอีก เหมือนเห็นเขาเป็นคนโง่ ผ่านไปไม่นาน ระฆังดาราในมือมู่หรงซิงหัวก็ดังอีกครั้ง โค่วเหวินหลานถามนางว่าจริงหรือไม่
ถึงแม้มู่หรงซิงหัวจะตอบอย่างอ้อมค้อม แต่ก็ยังทำให้โค่วเหวินหลานเดือดดาลมากอยู่ดี เขาบอกนางว่า : ทางที่ดีอย่ารอดชีวิตกลับมา!
ความเดือดดาลและผลลัพธ์ทั้งหมดล้วนรวมอยู่ในประโยคนี้แล้ว!
จากนั้นโค่วเหวินหลานก็ติดต่อกับเหมียวอี้และสวีถังหรานอีก ชมว่าทั้งสองเป็นตัวอย่างที่ดี ให้ทั้งสองพยายามอย่างเต็มที่ ต่อให้ตอนหลังผลคะแนนจะไม่ดี แต่หลังจากกลับมาแล้ว ก็จะไม่ปฏิบัติกับทั้งสองอย่างขาดความเป็นธรรมแน่ ต่อให้สุดท้ายโค่วเหวินหลานจะต้องออกจากดาวเทียนหยวนไป แต่ก็จะไม่ให้ทั้งสองอยู่ที่นั่นอย่างลำบาก จะพยายามคิดหาทางพาทั้งสองไปด้วยแน่นอน จะเตรียมการให้อย่างดี
เหมียวอี้รู้สึกขำในใจ นี่คือสิ่งที่เขาอยากจะได้ยิน เพราะเขาไม่ได้มั่นใจว่าตัวเองจะทำคะแนนได้ดี
สวีถังหรานได้ยินแล้วดีใจไม่หาย นั่นก็หมายความว่า ต่อให้ครั้งนี้จะมัวหลบหลีกไม่ทำอะไรเลย ต่อให้กลับไปมือเปล่าเขาก็จะไม่เป็นอะไร
ตอนนี้เขามองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่เลื่อมใสนับถือจนแทบจะหมอบกราบ เขาเข้าใจจุดประสงค์แล้ว ว่าทำไมเหมียวอี้จึงต้องร้องเรียนต่อหน้า ถึงแม้จะต้องทะเลาะกับพวกมู่หรงซิงหัวก็ตาม นี่คือการเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเอง
ตอนนี้เขาถึงได้พบว่าการเสียเปรียบที่ยอดเขาโอนเอนตอนนั้นคือสิ่งที่สมควร หนิวโหย่วเต๋อคนนี้เจ้าเล่ห์กว่าตนมากจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะอาศัยโอกาสนี้เหยียบมู่หรงซิงหัวกับหยางไท่เพื่อพิสูจน์ความจงรักภักดีของตัวเอง กำจัดความกังวลให้ตัวเองได้แล้ว ดูท่าแล้วการอยู่กับเจ้าบ้านี่ก็เป็นวิธีที่ชาญฉลาดเหมือนกัน
เมื่อเห็นสีหน้าดีใจที่ยากจะปิดบังบนใบหน้าสวีถังหราน หยางไท่กับมู่หรงซิงหัวก็ยังไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
เมื่อเห็นสองคนนั้นเสียเปรียบแล้วยังไม่รู้ตัว ในใจสวีถังหรานก็ยิ่งเบิกบาน ที่จริงเขาก็รู้เช่นกัน ว่าตอนซ้อมเซี่ยโห้วหลงเฉิงที่ยอดเขาโอนเอน เขาแอบเสียเปรียบให้เหมียวอี้ไปแล้ว ก่อนหน้านี้แค้นทุกครั้งที่นึกถึง แต่พอมาคิดดูตอนนี้กลับรู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องแย่อะไร อย่างน้อยอยู่กับคนเจ้าเล่ห์แบบนี้ก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้
หลังจากแตกคอกันอย่างถึงที่สุดแล้ว หยางไท่ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วพยักหน้าบอกใบ้มู่หรงซิงหัว
เมื่อมีผลลัพธ์แบบนี้ ใบหน้างามของมู่หรงซิงหัวก็เผยสีหน้าที่ไม่ค่อยน่าดู กระแทกเสียงพูดอย่างเย็นเยียบว่า “พวกเจ้าไร้น้ำใจ แต่ข้ากลับไม่ไร้คุณธรรม หากรู้สึกว่าหนทางในภายหลังยากลำบาก ก็ติดต่อข้าได้ ข้าจะหาทางคุยกับพวกเยี่ยนจื่อเกอ ให้พวกเจ้ามาเข้าร่วมด้วย รักษาตัวด้วยล่ะ!”
พูดจบทั้งสองก็หันตัวจากไป ไปอยู่ข้างกายเยี่ยนจื่อเกอ
หลังจากสองคนนั้นออกไปแล้ว สวีถังหรานก็หัวเราะแห้งๆ แล้วถ่ายทอดเสียงบอกเหมียวอี้ว่า “น้องหนิว ในเมื่อผู้บัญชาการใหญ่พูดถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องอดอยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน ไม่สู้หาที่ลับตาคนแล้วฝึกฝนอย่างสงบใจดีกว่า อีกหนึ่งร้อยปีค่อยกลับไป”
เหมียวอี้ถามกลับว่า “ถ้าไม่มีผลงานกลับไปเลยสักนิด ผู้บัญชาการใหญ่ก็รักษาตำแหน่งไว้ไม่ได้ ถ้าไม่มีอนาคตในตระกูลโค่ว ต่อให้พาพวกเราไปด้วยแล้วยังไงล่ะ? ถ้าผู้บัญชาการใหญ่เงยหน้าอ้าปากที่ตระกูลโค่วไม่ได้ ไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูล ถึงตอนนั้นพวกเราจะได้อยู่ดีขนาดไหนเชียว? หรือว่าพี่สวีไม่อยากจะก้าวก้าวหน้าสักหน่อยเลยเชียวหรือ?”
“…” สวีถังหรานอ้าปากค้าง พูดไม่ออกมาก ดูท่าแล้วท่านนี้คงจะอยากฝ่าฟันอีกสักหน่อย เหลือแค่พวกเราสองคนแล้ว ยังจะมีอะไรให้ฝ่าฟันอีกล่ะ? จึงถามว่า “อย่าบอกนะว่าเจ้ายังอยากแย่งเจิงอีอีมาจากพวกเขา?”
“เจิงอีอีคนนี้ พวกเราอย่าไปแตะต้องดีกว่า ใครอยากจับก็จับไป พวกเราไปดูเอาสนุกก็พอ” เหมียวอี้ส่ายหน้าตอบ ถ้าไม่ได้ฟังคำพูดของปานเยว่กง เขาก็จะไม่ปล่อยไปง่ายๆ เลย หลังจากรู้ว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เจิงอีอีจะเป็นคนของสมาคมวีรชน เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามีอะไรในกอไผ่ เหมือนจะเกี่ยวโยงกับตัวราชันสวรรค์ เกี่ยวโยงกับระดับที่สูงเกินไป ขุนนางเล็กๆ อย่างเขาเข้าไปยุ่งด้วยจะเป็นการรนหาที่ตาย เตรียมจะหลบเลี่ยงสักหน่อย
เมื่อได้ยินดังนั้น สวีถังหรานก็วางใจลงชั่วคราว เขากังวลว่าเจ้าคนบ้าที่บุกเดี่ยวเข้าป่าลืมทุกข์จะดันทุรังไปแย่งคนอีก
สภาพอากาศที่เลวร้ายของที่นี่ ไม่สามารถใช้หลักการปกติมาวินิจฉัยได้เลย ลมหิมะบทจะหยุดก็หยุด เมฆครึ้มสลายตัว เผยหมู่ดาวเต็มท้องฟ้า แต่ลมหนาวยังคงโหดร้าย
เมื่อมองไปไกลๆ ก็เห็นได้ชัดว่าเยี่ยนจื่อเกอรับคนสองคนที่ไปขอพึ่งพาแล้ว หยางไท่ถูกสั่งให้ไปค้าหาทั่วยอดเขาเจ็ดสิบสอง แต่เยี่ยนจื่อเกอกลับหยุดคนหาแล้ว มายืนอยู่ยนยอดเขาหิมะที่สูงที่สุด พูดคุยหัวเราะกับมู่หรงซิงหัว ไม่รู้ว่ากำลังคุยอะไรกัน เห็นรางๆ ว่ามู่หรงซิงหัวยิ้มอย่างฝืนใจ
ในขณะนี้เอง ระฆังดาราบนตัวเหมียวอี้ก็ดังอีกครั้ง เขาหยิบขึ้นตรวจดู ถึงได้รู้ว่าอวิ๋นจือชิวส่งข้อความมา
อวิ๋นจือชิว : หนิวเอ้อร์ เจ้าไม่เป็นไรใช่มั้ย?
เหมียวอี้ตอบ : สายดี ทางนั้นมีเรื่องเหรอ?
อวิ๋นจือชิว : ภาพพิกัดดาวที่หวงฝู่จวินโหรวนำมาให้ ข้าให้เชียนเอ๋อร์ เสวี่ยเอ๋อร์ทำตามวิธีที่เข้าบอกแล้ว หลังจากเปรียบเทียบอย่างสลับซับซ้อน ในที่สุดก็มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงภาคดินเจอแล้ว เจ้าเดาสิว่าอยู่ที่ไหน?
เหมียวอี้ : ท้องฟ้าใหญ่ขนาดนี้ ข้าจะเดาออกได้ยังไง! ฟังจากน้ำเสียงเจ้าแล้ว อย่าบอกนะว่าเป็นที่ที่ข้าเคยไป?
อวิ๋นจือชิว : ท่านสามีของข้าฉลาดจริงๆ กลับมามีรางวัล
เหมียวอี้ : เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว กำลังทำงาน ว่ามาสิ อยู่ที่ไหนกันแน่?
อวิ๋นจือชิว : บังเอิญมาก! รู้สึกว่าของสิ่งนี้จะถูกลิขิตไว้ท่ามกลางความมืดมนเหมือนกับเจ้า ถ้าเป็นไปได้ข้าสงสัยว่าตำหนักสวรรค์กำลังเตรียมส่งให้เจ้าไปหาโดยเฉพาะเลย เจ้าเดาสิว่าที่ไหน?
เหมียวอี้ตกตะลึงแล้ว : อย่าบอกนะว่าของซ่อนอยู่ในสถานที่ไร้ชีวิต?
อวิ๋นจือชิว : ตอบถูกแล้ว กลับมามีรางวัล
เหมียวอี้พูดไม่ออกมาก : เจ้าเลิกเล่นได้แล้ว ของซ่อนอยู่ตรงไหนของสถานที่ไร้ชีวิต?
อวิ๋นจือชิว : ไม่อยากได้รางวัลเหรอ! เดิมทีคิดจะเต้นระบำมารสวรรค์ให้เจ้าดูเสียหน่อย ไม่ต้องการก็ช่างเถอะ
ระบำมารสวรรค์? เหมียวอี้หัวเราะได้ไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ถึงแม้จะไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ก็เคยเห็นเค้าของระบำมารสวรรค์มาแล้ว อดไม่ได้ที่จะนึกย้อนถึงภาพหวาบหวามที่ทำให้คนเลือดสมสูบฉีดยามเรือนร่างเย้ายวนเร่าร้อนของผู้หญิงคนนี้บิดไปบิดมา คิดไปคิดมาก็รู้สึกร้อนตรงท้องน้อย ตอบกลับทันทีว่า : ใครว่าไม่ดู กลับไปค่อยดู ตอนนี้บอกมาก่อนว่าของอยู่ไหน ที่ข้ายังมีเรื่องต้องทำอีก เลิกยั่วยวนข้าได้แล้ว
อวิ๋นจือชิว : ไม่ล้อเล่นกับเจ้าแล้ว ของซ่อนอยู่บนดาวเคราะห์ที่ใหญ่ที่สุดของสถานที่ไร้ชีวิต ดาวสองขั้ว! ถ้ามีเวลา นำแผนที่ฉบับสำเนาในมือเจ้ามาหาดูสักหน่อย
เหมียวอี้ : จะจำไว้ ถ้าไม่มีเรื่องอื่นก็แค่นี้ก่อนนะ
อวิ๋นจือชิว : ไร้มโนธรรม อย่าลืมรอดชีวิตกลับมาแบบครบสมบูรณ์ ไม่อย่างนั้นผู้หญิงทั้งบ้านจะแต่งานใหม่หมด เจ้าคงไม่อยากให้พวกเราไปนอนกับผู้ชายคนอื่นหรอกใช่มั้ย? ถ้าไม่อยากก็ระวังตัวเองหน่อย เอาตามนี้ก็แล้วกัน
หลังจากคุยจบแล้ว เหมียวอี้ก็แอบถอนหายใจ ยอมแพ้ผู้หญิงคนนี้แล้ว ชอบสรรหาคำพูดมากระตุ้นเขาตลอด เขาส่ายหน้าแล้วหยิบแผนที่ดาวออกมา ร่ายอิทธิฤทธิ์ค้นหาตำแหน่งของดาวสองขั้ว
บึ้ม! จู่ๆ ก็มีเสียงสั่นสะเทือนดังมาจากยอดเขาที่อยู่ไกลๆ หนึ่งในภูเขาหิมะของยอดเขาเจ็ดสิบสองพังทลาย ไหลลงอย่างมโหฬารพันลึก กระตุ้นให้เกิดหมอกหิมะหลายชั้น
“หาเจอแล้ว ทางนี้!” มีบางคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอก
พวกเยี่ยนจื่อเกอเหาะเข้าไปทันที
เหมียวอี้รีบเก็บแผนที่ดาว แล้วกวัดมือเรียก “ไป! ไปดูกัน!”
คนอื่นๆ ก็เหาะเข้าไปดูเช่นกัน ไปหยุดลอยอยาบนท้องฟ้า เห็นเพียงพวกเยี่ยนจื่อเกอล้อมเขาลูกนั้นไว้แล้ว ทั้งหมดสวมเกราะรบแทบจะในชั่วพริบตาเดียว ในมือถืออาวุธ เป็นของวิเศษผลึกแดงเหมือนกันหมด เห็นแล้วหนังตากระตุก
เนื่องจากการต่อสู้เมื่อครู่นี้ กองหิมะที่ทับถมกันบนภูเขาสะเทือนจนไหลลงเขามาครึ่งหนึ่งแล้ว ตรงตีนเขายังมีหิมะถล่มไม่หยุด
ภายใต้สถานการณ์ที่ยอดเขาถูกเปลือยออกหมด ปรากฏเป็นทางเข้าถ้ำภูเขาทางหนึ่ง ชายรูปร่างสูงที่สวมชุดคลุมขนสัตว์สีขาวยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น หวาดมองกำลังพลที่กำลังล้อมรอบอย่างเงียบๆ
พวกเหมียวอี้เคยเห็นภาพของนักโทษหลบหนีมาก่อน แค่มองก็รู้แล้วว่าคนคนนี้คือเจิงอีอี แต่ดูดีมีชีวิตชีวากว่าในรูปภาพมาก ผ้าพันคอขนสัตว์ช่วยขับใบหน้าหล่อเหล่าให้เด่น ลักษณะอ่อนโยนสง่างาม โดดเด่นไม่ธรรมดา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นตัวละครที่เจ้าชู้รักอิสระ ล่อผู้หญิงมาไว้ในมือได้ง่ายๆ มีต้นทุนในการเป็นโจรราคะ