ขณะมองคล้อยหลังสองแม่ลูกเดินออกไป หยางชิ่งก็ตระหนักได้ถึงวิกฤตแล้ว เป็นเพราะสองแม่ลูกไม่แน่วแน่ในอุดมการณ์ ความสามารถในการทนรับความกดดันยังไม่พอ เหยียบเรือสองแคมได้ง่าย ถ้าหดหัวไม่กล้าก้าวไปข้างหน้า ดีไม่ดีอาจจะนำเขาไปชี้แจงต่อประมุขชิง แม้เหมียวอี้จะกดดันสองแม่ลูกอยู่ แต่เขาจะไม่ระวังก็ไม่ได้ อย่าให้เรือล่มในคลองแคบ โดนสองคนที่ไม่ได้เรื่องเล่นงานจนตาย
เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้ทันที เล่าสถานการณ์ให้ฟังนิดหน่อย ขอให้เหมียวอี้สั่งให้กำลังพลทัพใหญ่แดนรัตติกาลที่เคยกล่าวคำปฎิญาณว่าจะจงรักภักดีต่อชิงหยวนจุนก่อนหน้านี้กดดันสองแม่ลูก สองคนนั้นจะได้ไม่บุ่มบ่ามทำอะไร
ส่วนสองแม่ลูกพอออกจากประตูมา ก็เจอกับหวังติ้งเฉาที่มาขอคำสั่งให้ตัวเองไปปฏิบัติภารกิจพอดี “ข้าน้อยคำนับเหนียงเหนียง คำนับองค์ชาย! องค์ชาย บัญชาสวรรค์มาถึงแล้ว เหตุใดยังไม่ออกคำสั่งระดมพลอีกขอรับ?”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ได้ยินแล้วเดือดด้าน ตะคอกว่า “บังอาจ! ควรจะทำยังไง องค์ชายย่อมเตรียมตัวเอง เจ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล หรือองค์ชายเป็นผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล?”
หวังติ้งเฉากุมหมัดคารวะ “เหนียงเหนียงโปรดระงับโทสะ ข้าน้อยมิบังอาจ ในเมื่อเป็นบัญชาของฝ่าบาท ก็จะชักช้าไม่ได้ เกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทเกิดโทสะ ข้าน้อยก็หวังดีต่อองค์ชายเช่นกัน”
ชิงหยวนจุนถอนหายใจ “บัญชาของฝ่าบาทข้าย่อมต้องรับไว้ จะบุ่มบ่ามเคลื่อนทัพได้ยังไง ต้องวางแผนให้ดีก่อนสิ”
“องค์ชาย ฝ่าบาทก็แค่ให้พวกเราเคลื่อนทัพไปกดดันทัพใต้” หวังติ้งเฉากล่าว
ชิงหยวนจุนจึงบอกว่า “หนิวโหย่วเต๋อเป็นใครกัน? ที่เขาไต่เต้าขึ้นตำแหน่งอ๋องสวรรค์คุมทัพใต้ไม่ใช่เพราะโชคดีแน่นอน เขาคือขุนพลเลื่องชื่อแห่งยุค เชี่ยวชาญการรบ ดูถูกไม่ได้เด็ดขาด! ส่วนท่าทีของหนิวโหย่วเต๋อ ก็เป็นพวกที่พอโมโหก็ทำศึก เจ้าไม่รู้เหรอว่าถ้าพวกเราบุ่มบ่ามเคลื่อนทัพเข้าไปในอาณาเขตของเขา แล้วจะยั่วโมโหให้เขาโจมตีกลับ? พวกเราจะหวังให้โชคเข้าข้างไม่ได้ ในเมื่อจะเคลื่อนทัพ ก็ต้องเตรียมตัวว่าอาจจะลงมือกับหนิวโหย่วเต๋อ เจ้าว่ามั้ยล่ะ?”
หยางชิ่งเพิ่งจะสอนวิธีการถ่วงเวลาให้เขา แต่สอนก็ส่วนสอน ในใจหยางชิ่งกลับรู้ชัด ว่าอำนาจฝ่ายกระทำอยู่ในมือเหมียวอี้ ต่อให้ประมุขชิงไม่ได้เคลื่อนไหว เหมียวอี้ก็ไม่มีทางให้อาณาเขตให้ชิงหยวนจุนอยู่ดี ถึงตอนนั้นก็ย่อมมีข้ออ้างมาถ่วงเวลาชิงหยวนจุนได้อีก เป็นไปไม่ได้ที่จะให้แผนเอาเปรียบของชิงหยวนจุนสมหวัง
ทว่าคำพูดนี้ก็มีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ ทำให้หวังติ้งเฉาเถียงไม่ออก ทำได้เพียงเร่งให้เขาเตรียมตัวเร็วๆ
ใช่ว่าชิงหยวนจุนจะไม่เตรียมตัวเลยสักนิด ฝั่งนี้บอกว่ากำลังวางแผน กำลังพลก็กำลังค่อยๆ เคลื่อนย้ายเช่นกัน
วันสองวันที่ผ่านไปนี้ ประมุขชิงที่อยู่วังสวรรค์ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเคยเกิดขึ้น และไม่ถามอีก หลังจากผ่านไปห้าหกวัน ประมุขชิงก็ยังสังเกตการณ์อยู่เฉยๆ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ทัพใหญ่แดนรัตติกาลยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร ไม่ว่าใครก็มองออกทั้งนั้นว่าชิงหยวนจุนไม่อยากเคลื่อนทัพ ประมุขชิงสีหน้าบูดบึ้งทั้งวัน ดูแย่มาก เวลาคนในวังสวรรค์เจอเขาก็เริ่มระมัดระวัง คนที่คุ้นเคยกับประมุขชิงต่างก็รู้ว่าประมุขชิงอยู่คาบเกี่ยวกับจุดที่จะระเบิดอารมณ์แล้ว
ตอนออกจากวังสวรรค์ ประมุขชิงไม่ได้ไปทางประตูหลัก แต่มาถึงหุบเขาด้านหลังผ่านประตูหลัง เป็นหุบเขาที่ถูกเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำลายจนแตกเป็นเสี่ยงๆ ตอนนี้ก็แค่ปรับปรุงอย่างง่ายๆ ไปก่อน ไม่อยากให้ใครเห็นเบาะแสชัดเจน ตอนนี้ยังไม่สะดวกจะปรับปรุงให้กลับมางดงามเหมือนเดิมในทันทีจนกลายเป็นจุดอ่อน
ขนาดยืนอยู่บนภูเขาหินลูกหนึ่งประมุขชิง สายตากวาดมองสภาพแวดล้อมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยหลังจากพังถล่ม หลังจากเงียบไปพักเดียว จู่ๆ ก็กล่าวเสียงเย็นว่า “สิบวันแล้วใช่มั้ย!”
ซ่างกวนชิงที่ยืนอยู่ตรงตีนภูเขาหินเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร จึงเอ่ยรับเสียงเบาว่า “ใช่ขอรับ วันที่สิบแล้ว”
ประมุขชิงค่อยๆ เอามือไขว้หลัง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เขายังไม่เคลื่อนทัพ กำลังจงใจถ่วงเวลา!”
ซ่างกวนชิงตอบอย่างคลุมเครือว่า “หนิวโหย่วเต๋อเชี่ยวชาญการรบ องค์ชายอยากจะเตรียมตัวให้รอบด้านก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลขอรับ”
ประมุขชิงหันขวับ ก้มหน้าจ้องเขา พลางตวาดว่า “คำพูดเหลวไหลพวกนี้เจ้าเชื่อด้วยเหรอ? เขาไม่อยากเคลื่อนทัพ กำลังจงใจถ่วงเวลา เขากำลังขัดบัญชา! เขายังคิดจะทำอะไรอีก? ลูกทรพี!”
ซ่างกวนชิงถามหยั่งเชิงว่า “ฝ่าบาท จะออกคำสั่งเร่งรัดอีกดีหรือไม่ขอรับ?”
ประมุขชิงแสยะยิ้ม “ถ่ายทอดบัญชาของข้าไปที่หวังติ้งเฉา ให้เขารับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลแทน คุมตัวสองแม่ลูกนั่นไว้เดี๋ยวนี้ คุมตัวกลับมาที่วังสวรรค์!”
“ฝ่าบาทโปรดไตร่ตรอง เป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่วุ่นวายถึงขั้นนี้หรอกขอรับ” ซ่างกวนชิงกล่าวด้วยสีหน้ากังวล
ประมุขชิงตวาดว่า “ข้าให้โอกาสเขาแล้ว แต่ลูกทรพีอย่างเขาไม่รู้จักกลับตัว เจ้านั่นเอาความกล้าจากไหนมาต่อต้านข้า? ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน ถ้าให้พวกเขาสองแม่ลูกอยู่ที่นั่นต่อไป ก็มีแต่จะโดนหลอกใช้ประโยชน์ ถ้าไม่ตัดสินใจให้เด็ดขาดตอนยังมีโอกาส ถึงตอนนั้นก็ยิ่งยุติเรื่องราวได้ยาก! หรือเจ้าอยากจะขัดบัญชา?”
ซ่างกวนชิงทำได้เพียงกุมหมัดรับคำสั่ง “ขอรับ! บ่าวจะถ่ายทอดบัญชาเดี๋ยวนี้!”
ประตูห้องสมาธิเปิดออกพร้อมเสียงดังก้อง หยางชิ่งที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงหินลืมตาขึ้น เห็นเพียงเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนรีบร้อนเดินเข้ามา
ไม่ยอมให้หยางชิ่งได้พูดอะไร เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็กล่าวอย่างร้อนใจว่า “น้องชาย จุนเอ๋อร์เพิ่งได้รับข่าวจากกำลังพลเบื้องล่าง วังสวรรค์ส่งคนมาแล้ว ไม่ได้มาทางฝั่งนี้ แต่ไปหาหวังติ้งเฉาโดยตรง เกรงว่าฝ่าบาทคงจะมีคำสั่งอะไรให้หวังติ้งเฉาแล้ว”
หยางชิ่งแอบพูดในใจว่า สมกับที่ใช้ชีวิตอยู่ไหนวังสวรรค์มาหลายปี สังเกตได้แล้วว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล
ที่จริงเขาก็เพิ่งได้รับข่าวเช่นกัน รู้แล้วว่าวังสวรรค์ส่งคนไปหาหวังติ้งเฉา คนที่ตระกูลเซี่ยโห้วแทรกไว้บอกข่าวให้สองแม่ลูกรู้ได้ ก็ไม่มีเหตุผลที่เขาจะไม่รู้
ชิงหยวนจุนมีสีหน้าลนลานหวาดกลัวเล็กน้อยเช่นกัน “ท่านน้า ท่านอ๋องเตรียมจะทำยังไงกันแน่?”
หยางชิ่งหย่อนเท้าสองข้างลงจากเตียง ถอนหายใจแล้วบอกว่า “ใกล้แล้ว เหลืออีกไม่กี่วันแล้ว แต่ต่อให้ท่านอ๋องจะเตรียมตัวแล้ว แต่ก็เกรงว่าจะสายไป ถ้าคนจากวังสวรรค์ฉวยโอกาสก่อกวน เกรงว่าคงมีคนไม่อยากให้เหนียงเหนียงกับองค์ชายรอดชีวิตกลับไป!”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถลึงตา “หมายความว่ายังไง?”
หยางชิ่งกล่าวเหมือนไม่แน่ใจ “ก่อนหน้านี้ข้าได้ข่าวมาจากท่านอ๋อง ว่าก่อนหน้านี้ตอนฝ่าบาทอยู่ที่วังสวรรค์ ไม่รู้ว่าจ้านหรูอี้พูดอะไรกับฝ่าบาท ทำให้ฝ่าบาทมีสีหน้าแย่มาก ฉะนั้นฝ่าบาทก็ให้ซ่างกวนชิงถ่ายทอดบัญชามาฝั่งนี้ ส่วนรายละเอียดนั้นไม่รู้ชัด ข้ายังรอให้องค์ชายรับบัญชาอยู่เลย จะดูว่าเป็นเรื่องอะไร แต่พอดูจากตอนนี้ ฝ่าบาทไม่ได้มีบัญชามาถึงองค์ชายเลย แต่มีบัญชามาถึงหวังติ้งเฉาเหรอ? ตามหลักแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรแจ้งหวังติ้งเฉาโดยตรงก็พอ เป็นเรื่องอะไรกันที่ต้องมีบัญชาไปถึงมือหวังติ้งเฉาโดยตรง? ข้ากำลังสงสัยว่าหรือจะเป็นเรื่องที่หวังติ้งเฉาไม่กล้าทำหากไม่ได้รับบัญชา…” สายตาย้ายไปย้ายมาบนตัวสองแม่ลูก “พอสันนิษฐานแบบนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าจะทำไม่ดีต่อเหนียงเหนียงกับองค์ชาย!”
ชิงหยวนจุนหน้าเครียดทันที
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับโมโหจนเสียงสั่น “เป็นนางแพศยานั่น! เป็นนางแพศยานั่นแน่นอน! ข้ารู้ตั้งนานแล้วว่านางนั่นอยากจะแทนที่ข้า แต่เสแสร้งมาตลอดเพราะหาโอกาสไม่ได้ก็เท่านั้น ครั้งนี้หางจิ้งจอกโผล่แล้วสินะ ทนรอไม่ไหวแล้ว!”
ยังไม่ทันทำเรื่องราวให้กระจ่างว่าอะไรเป็นอะไร นางก็ตัดสินอย่างไม่ลังเลแล้วว่าจ้านหรูอี้ต้องการทำร้ายนาง
ชิงหยวนจุนเครียดก็ส่วนเครียด แต่ยังไม่แค้นจนขาดสติสัมปชัญญะเหมือนเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ “เสด็จแม่ เรื่องราวยังไม่แน่นอนเลย อาจจะไม่ได้แย่อย่างที่พวกเราคิดก็ได้”
หยางชิ่งบอกว่า “ถ้าหวังติ้งเฉาได้รับบัญชาให้มาสั่งหารเหนียงเหนียงกับองค์ชายจริงๆ ล่ะ?”
ชิงหยวนจุนหวาดระแวง “หวังติ้งเฉาเคยบอกแล้ว ว่าฝ่าบาทสั่งเขาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว บอกว่าเขาไม่ต้องจงรักภักดีต่อฝ่าบาท แค่จงรักภักดีต่อข้าก็พอ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ หวังติ้งเฉาก็ทำอย่างนี้มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นยังไง ก็คงไม่ถึงขั้นลงมือสังหารข้าหรอกมั้ง?”
“องค์ชายไร้เดียงสาเกินไปแล้ว ถ้าท่านนั้นของวังสวรรค์อยากกำจัดเหนียงเหนียงกับองค์ชายจริงๆ มีโอกาสดีขนาดนี้แล้วไม่ลงมือ แล้วจะไปลงมือเมื่อไหร่ล่ะ?” หยางชิ่งแสยะยิ้ม แล้วกล่าวอย่างสุขุมเยือกเย็นอยู่อย่างนั้น “ถ้าข้าเดาไม่ผิด ถ้าหวังติ้งเฉาต้องการลงมือ เขาจะต้องบอกว่าเป็นบัญชาของฝ่าบาทแน่นอน จะต้องคุมตัวเหนียงเหนียงและองค์ชายกลับวังสวรรค์แน่ ความจริงเมื่อไปถึงอาณาเขตทัพใต้แล้ว จะต้องมีคนลอบสังหารแน่ หลังจากสังหารเหนียงเหนียงกับองค์ชายแล้ว ก็จะใส่ร้ายท่านอ๋องได้สะดวก!”
“เขากล้าเหรอ!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ตะคอกอย่างเดือดดาล
หยางชิ่งกล่าวเสียงเรียบ “เหนียงเหนียงกับองค์ชายลังเลจนถ่วงเวลามาถึงตอนนี้ ข้าไม่สะดวกจะพูดอะไร กลัวพวกท่านจะคิดมาก แต่ถ้ามาถึงขั้นสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว สุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น[1]แล้ว เหนียงเหนียงกับองค์ชายยังลังเลและฝากความหวังว่าคนอื่นจะลงมืออย่างปราณี เช่นนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไร!” เขากุมหมัดคารวะ “ถ้าจะให้หยางคนนี้ทอดทิ้งพี่สาวและองค์ชาย แต่สถานการณ์อันตรายน่ากลัว ดาบกำลังจะมาจ่อบนคอแล้ว ขอให้ข้าปลีกตัวหลบไปก่อนเถอะ!” พูดจบก็ทำท่าจะเดินไป
ทั้งสองร้อนใจทันที ชิงหยวนจุนคว้าข้อมือเขาเอาไว้ “ท่านน้าช้าก่อน ถ้าหวังติ้งเฉาจะลงมือสังหารจริงๆ ข้าไม่ปล่อยเขาไปแน่!”
“น้องชาย!” เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสีหน้าขอร้องเช่นกัน บอกว่า “เจ้าจะทิ้งพวกเราโดยไม่สนใจไม่ได้ ถ้าหวังติ้งเฉาต้องการจะทำลายพวกเราแม่ลูกจริงๆ ในมือเขามีบัญชาฝ่าบาทเอาไว้สั่งทัพใหญ่ ลูกน้องที่ทำงานให้จุนเอ๋อร์ก็ต้านไม่ไหวหรอก! พวกเราควรจะรับมือยังไงดีล่ะ!”
หยางชิ่งแอบถอนหายใจ อย่างพวกเรานี่นะ แล้วยังจะคิดเพ้อฝันเหลวไหลอีก…
นอกจวนผู้สำเร็จราชการ ในโถงหลักของเรือนหลังหนึ่ง หวังติ้งเฉายืนอยู่ตรงข้ามแม่ทัพตำหนักสวรรค์คนหนึ่งที่ทำหน้าที่ถ่ายทอดบัญชา
หลังจากอ่านบัญชาในมือเสร็จ หวังติ้งเฉาก็เงียบไปนานมาก สุดท้ายก็หยิบระฆังดาราออกมาบอกว่า “ให้ข้ายืนยันกับผู้การใหญ่สักหน่อย!”
แม่ทัพที่มาพยักหน้า ถอนหายใจเบาๆ เช่นกัน รู้ว่าเขาทำแบบนี้แล้วลำบากใจ
หลังจากติดต่อแล้ว หวังติ้งเฉาก็มีสีหน้าเคร่งขรึม กล่าวช้าๆ อย่างยากลำบากว่า “ข้าน้อยน้อมรับบัญชา!”
แม่ทัพที่มารู้ผลลัพธ์อยู่แก่ใจ เตือนว่า “เรื่องนี้อย่าเคลื่อนไหวเอิกเกริกเกินไป ถ้าส่งผลกระทบมาก ในภายหลังจะจัดการลำบาก เบื้องบนก็จะเสียหน้าด้วย ถ้าพูดจากบางระดับ ฝ่าบาทก็หวังดีกับเหนียงเหนียงและองค์ชายเหมือนกัน เจ้าเข้าใจที่เขาพูดไหม?”
หวังติ้งเฉาพยักหน้าอย่างยากลำบาก “เข้าใจ!”
แม่ทัพคนนั้นกุมหมัดคารวะ “เช่นนั้นก็รีบดำเนินการเถอะ เรื่องส่งคนไปที่วังสวรรค์ ข้าจะรับผิดชอบเอง!”
หวังติ้งเฉาทำหน้านิ่งเดินออกไป แล้วเริ่มเรียกคนที่เกี่ยวข้องมาถ่ายทอดบัญชา ถ้าไม่ให้คนเบื้องล่างที่เกี่ยวข้องเห็นบัญชา เขาก็ไม่สามารถดำเนินการได้ ต้องทราบไว้ว่าเป้าหมายที่จะควบคุมตัวคือราชินีสวรรค์และโอรสสวรรค์!
ในศาลาที่งดงาม เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน บนโต๊ะเต็มไปด้วยอาหารชั้นดี แต่สองแม่ลูกจะมีอารมณ์กินได้อย่างไร
หลังจากชิงหยวนจุนที่ถือระฆังดาราอยู่ใต้โต๊ะได้รับข่าว ก็กัดฟันบอกว่า “ท่านน้า ข่าวที่เบื้องล่างส่งมาบอกว่า หวังติ้งเฉากำลังแอบระดมกำลังพล!”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ทำสีหน้ากระวนกระวาย สองแม่ลูกเริ่มเครียดแล้ว อย่างไรเสียนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เผชิญกับเหตุการณ์แบบนี้ ไม่มีความมั่นใจสักนิดเลย
หยางชิ่งที่แต่งกายเป็นบ่าวรับใช้และคอยรินสุราอยู่ข้างๆ กล่าวเสียงต่ำว่า “เหนียงเหนียง องค์ชายไม่ต้องเครียด กำลังพลของพวกเราที่ดักซุ่มอยู่แม้จะมีไม่มาก แต่ฝ่าบาทจะต้องไม่อยากให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่โตแน่นอน หวังติ้งเฉาไม่พาคนมาเยอะแน่ แค่ทำตามแผนที่วางไว้ล่วงหน้าก็พอ ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดอะไรหรอก ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงเช่นกัน!”
…………………………
[1] สุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น 图穷匕见 เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด ข้อเท็จจริงย่อมปรากฏออกมา