ประโยคสุดท้ายต่างหากที่ปลอบใจทั้งสองได้แล้วจริงๆ คิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถ้าหากอันตรายมาก หยางชิ่งจะไม่เอาชีวิตมาทิ้งไปด้วยหรอกหรือ จะเห็นได้ว่าหยางชิ่งมีความมั่นใจจริงๆ
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้างกายหวังติ้งเฉามีคนของพวกเราแต่ไม่รู้ตัว ในทัพใหญ่ก็มีแม่ทัพของพวกเราอยู่ไม่น้อย มีอะไรต้องกลัวอีกละ?” หยางชิ่งกล่าวเสริม
สำหรับเขา เขาไม่กังวลเลยสักนิด ประการแรกเป็นเพราะตอนอยู่ข้างกายเหมียวอี้ได้เห็นอุปสรรคมาเยอะแล้ว ประการต่อมาเป็นเพราะเหมียวอี้แอบส่งกำลังพลเข้ามารับหน้าที่สนับสนุนแล้ว ถ้าเกิดเรื่องขึ้นทั้งข้างในและข้างนอกก็ล้วนมีคนคุ้มครองหยางชิ่งหนีไปหรือยังปลอดภัย ตั้งแต่หยางชิ่งพบว่าสองแม่ลูกอาจจะทำตัวเป็นนกสองหัว เขาก็เตรียมตัวกับสิ่งนี้ไว้แล้ว
แน่นอน ว่าถ้าไม่จนใจจริงๆ หยางชิ่งก็ไม่ทำอย่างนี้แน่นอน ที่เตรียมกำลังพลไว้ก็เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิดเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะทำให้แผนพัง
ในขณะนี้เอง เอ๋อเหมยก็เข้ามารายงานว่า “เหนียงเหนียง องค์ชาย หวังติ้งเฉาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่พลันลุกขึ้นยืน แล้วถามอย่างหวาดระแวงว่า “มากันกี่คน?” ชิงหยวนจุนก็ลุกขึ้นยืนตามแล้วเช่นกัน เหมือนหยุดหายใจแล้วด้วยซ้ำ
หยางชิ่งเห็นปฏิกิริยาของสองแม่ลูกแล้วพูดไม่ออกนิดหน่อย ในเมื่ออีกฝ่ายมาขอพบอย่างสุภาพเกรงใจ ต่อให้เกิดเรื่องขึ้นแต่ก็อธิบายได้ว่าอยากจะเจรจาก่อนค่อยใช้กำลัง แสดงว่าอยู่ในการคาดหมายของฝั่งนี้ จำเป็นต้องข่มอารมณ์ไม่ไหวแบบนี้ด้วยหรือ? ถ้าอีกฝ่ายบุกเข้ามาโดยตรง นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นปัญหา
เอ๋อเหมยบอกว่า “ถ้ารวมหวังติ้งเฉาด้วยก็มีสามคนเพคะ” นางแปลกใจกับปฏิกิริยาของสองแม่ลูกอยู่บ้าง เพราะนางไม่รู้ความจริง
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ชำเลืองมองหยางชิ่ง พอเห็นหยางชิ่งพยักหน้าเล็กน้อย ก็โบกมือบอกว่า “ให้พวกเขาเข้ามา”
ใช้เวลาไม่นาน หวังติ้งเฉาก็เดินก้าวยาวเข้ามาโดยที่ข้างหลังฝั่งซ้ายและขวามีคนตามมาด้วยสองคน พอเข้ามาในศาลาแล้ว ก็กุมหมัดคารวะ “คำนับเหนียงเหนียง คำนับองค์ชาย”
ชิงหยวนจุนพยายามควบคุมความรู้สึกวิตกกังวล ถามเสียงต่ำว่า “มีเรื่องอะไร?”
หวังติ้งเฉามองไปที่สีหน้าเขาด้วยแววตาสับสน แล้วกุมหมัดคารวะ “องค์ชาย ออกคำสั่งให้เดินทัพเถอะ!” ในน้ำเสียงแฝงการขอร้อง
นี่คือคำขอครั้งสุดท้ายของเขาแล้ว เขาเองก็พยายามใช้คำพูดเพื่อช่วงชิงโอกาสสุดท้ายให้ชิงหยวนจุนเช่นกัน เบื้องบนอนุญาตให้เขาทดลองเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ถ้าสามารถเกลี้ยกล่อมให้ชิงหยวนจุนเคลื่อนทัพได้ เช่นนั้นก็แล้วไป ไม่อย่างนั้นก็จะประกาศคำสั่งถอดอำนาจทางทหารและจับตัวสองแม่ลูกไว้ แล้วควบคุมตัวไปวังสวรรค์โดยตรงเลย
ชิงหยวนจุนทำหน้านิ่ง “ข้าบอกแล้วไง ต้องวางแผนก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไหว จะวู่วามทำเรื่องนี้ได้ยังไง!”
หวังติ้งเฉาเผยสีหน้าขื่นขม แล้วจู่ๆ ก็ย่อตัวลง คุกเข่าข้างเดียวกับพื้น แล้วขอร้องด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “องค์ชาย ถ่วงเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว ถ้าถ่วงเวลาต่อไปจะถือว่าขัดบัญชาสวรรค์ เช่นนั้นท่านจะรับผลที่ตามมาไม่ไหวขอรับ!”
ชิงหยวนจุนยืนขึ้นด้วยสีหน้าเยียบเย็น “หวังติ้งเฉา เจ้าอย่ายัดข้อหาซี้ซั้ว ไม่รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาที่อยู่ข้างนอก ข้ามีอำนาจที่จะดูความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การรบแล้วค่อยตัดสินใจ จะให้พี่น้องที่อยู่ใต้บังคับบัญชาบุ่มบามเอาชีวิตไปทิ้งได้ยังไง ทำไมปากเจ้าถึงบอกว่าเป็นการขัดบัญชาแล้วล่ะ เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่?”
หวังติ้งเฉาเฮ้ยสีหน้าขมขื่น เงยหน้ามองเขาแล้วถามว่า “องค์ชาย เพื่ออะไรกันแน่?”
“ไม่ใช่เพื่ออะไรหรอก ข้ายังต้องอธิบายกับเจ้าอีกกี่ครั้ง?” ชิงหยวนจุนถาม
หวังติ้งเฉาเม้มริมฝีปากแน่นแล้วยืนขึ้นช้าๆ “องค์ชาย ข้าเพิ่งได้รับบัญชาจากฝ่าบาท ให้ปลดองค์ชายจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเดี๋ยวนี้ แล้ว ‘เชิญ’ กลับวังสวรรค์พร้อมกับเหนียงเหนียง!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กับชิงหยวนจุนก็หวาดระแวงกลัว แทบจะเหมือนกับพี่หยางชิ่งพูดไว้ก่อนหน้านี้ไม่มีผิด ถ้าคุมตัวพวกเขาไปที่ตำหนักสวรรค์จริงๆ เช่นนั้นขั้นถัดไปพวกเขาแม่ลูกก็จะถูกลอบสังหารในอาณาเขตทัพใต้เหมือนที่หยางชิ่งบอกเหรอ?
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่กล่าวอย่างโมโห “บังอาจ!” ตอนนี้นางกลับไม่กลัวขนาดนั้นแล้ว เพราะสิ่งที่มากกว่านั้นคือไฟโกรธกำลังแผดเผา ในใจกลับพูดซ้ำไปซ้ำมาว่า นางแพศยานั้นต้องการจะทำร้ายตนจริงๆ ด้วย!
เมื่อนางกล่าวเช่นนี้ เอ๋อเหมยและบรรดาสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกก็พุ่งเข้ามาทันที
“บัญชาของฝ่าบาทอยู่ที่นี่แล้ว เหนียงเหนียงกับองค์ชายสามารถตรวจสอบความจริงได้!” หวังติ้งเฉาไม่สะทกสะท้าน ใช้สองมือถือแผ่นหยก สองคนข้างหลังชักอาวุธออกมาอย่างรวดเร็ว คอยระวังพวกเอ๋อเหมยอยู่ข้างหลัง
ถ้าที่นี่ต้องการจะส่งข่าวออกไป ด้านนอกก็จะมีกำลังพลกลุ่มใหญ่พุ่งเข้ามาทันที
ชิงหยวนจุนยืนขึ้นอย่างช้าๆ ในใจยังคงมีไฟโกรธแผดเผา ท่านนั้นของวังสวรรค์จะลงมือโดยไม่สนใจความสัมพันธ์พ่อลูกแล้วจริงๆ เหรอ? เขาเผยสีหน้าดุร้าย “หวังติ้งเฉา เจ้าเคยบอก ว่าเจ้าไม่ต้องจงรักภักดีต่อฝ่าบาท แค่จงรักภักดีต่อข้าเท่านั้น ที่แท้เจ้าก็รอข้ามาตลอด!”
หวังติ้งเฉากล่าวอย่างปวดใจว่า “องค์ชายเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยไม่ได้กลืนคำพูดตัวเอง ทำแบบนี้ก็เพราะหวังดีกับองค์ชายเช่นกัน หลังจากองค์ชายกลับวังแล้ว อย่างมากก็แค่เหงาไม่นาน หากต่อต้านฝ่าบาทอย่างนี้ต่อไป ก็มีแต่จะตายสถานเดียว ที่นี่มีแต่กำลังพลของฝ่าบาท!”
ชิงหยวนจุนยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าว่าไม่แน่หรอกมั้ง!”
เขาเพิ่งจะพูดจบ “เอื้อ…” หวังติ้งเฉาก็ครางออกมา จู่ๆ ข้างหลังก็มีทหารคนหนึ่งแทงเข้ามา แทงทะลุหัวใจของหวังติ้งเฉาโดยตรง ตรงหน้าอกมีเลือดไหลทะลัก
หวังติ้งเฉาเบิกตากว้าง ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ นึกไม่ถึงว่าลูกน้องคนสนิทของตัวเองจะลอบจู่โจม
ทหารอีกคนตกใจมาก พอใช้กระบี่ฟันสาวใช้ที่มาขวาง ก็ส่งเสียง “เอื้อ” ออกมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ถลันร่างเข้ามา ในมือใช้แส้สยบมังกรสีเปล่งแสงสีขาว คนนั้นใช้กระบี่โจมตีกลับ ชนกับแส้สยบมังกรพอดี แค่กลับสู้วรยุทธ์ของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ไม่ได้ สะเทือนจนกระอักเลือด แล้วก็ถูกคนที่ดักซุ่มอยู่รอบๆ พุ่งเข้ามาล้อมโจมตี
ชิงหยวนจุนเตะเก้าอี้ออกไป แล้วชักกระบี่เดินมาตรงหน้าหวังติ้งเฉา แทงกระบี่เข้าไปที่หน้าอกของหวังติ้งเฉา ชักออกมาแล้วแทงซ้ำอีกครั้ง ราวกับเป็นบ้าไปแล้ว ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ เลือดสดกระจายเลอะทั้งตัว ปากก็ยังพึมพำว่า “กล้าหลอกข้า ข้าหลอกข้า…”
ตอนแรก หยางชิ่งก็บอกไว้แล้วว่าให้เขากำจัดหวังติ้งเฉา เขาทำใจให้เด็ดขาดอย่างนั้นไม่ลง ยังมีความหวังกับหวังติ้งเฉาอยู่บ้าง ว่ากันว่ายิ่งหวังมากก็ยิ่งผิดหวังมาก นึกไม่ถึงว่าเขาทนข่มใจไม่ฆ่าอีกฝ่ายได้ แต่อีกฝ่ายกลับต้องการทำร้ายเขา
หวังติ้งเฉาถลึงตามองชิงหยวนจุนพี่เหมือนเป็นบ้าไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าตัวเองจงรักภักดีมาหลายปี แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือการปฏิบัติเช่นนี้จากชิงหยวนจุน เขานึกไม่ถึงเช่นกันว่าชิงหยวนจุนจะกล้าสังหารเขา จะไม่รู้ถึงผลที่จะตามมาเชียวหรือ?
เขานึกไม่ถึงว่าชิงหยวนจุนจะมองข้ามแม้แต่บัญชาของฝ่าบาท ลงมือกับเขาอย่างนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่ามีใจคิดจะสังหารเขาตั้งนานแล้ว เขายังคิดว่าจะคุยกันดีๆ ก่อนแล้วค่อยใช้กำลังอยู่เลย
ที่สำคัญก็คือเขาไม่รู้ว่าเบื้องหลังมีคนคอยยุแยงสองแม่ลูกจนเป็นสุนัขกระโดดกำแพง ภายใต้สถานการณ์ปกติจะไม่สิ้นเปลืองกำลังอย่างนี้
หวังติ้งเฉามีเลือดซึมที่จมูกทีละนิด จ้องชิงหยวนจุนด้วยแววตาหดหู่ ในปากมีฟองเลือดไหลออกมา ไม่รู้ว่าอยากจะพูดอะไรกับชิงหยวนจุน
ส่วนคนที่หนีไปก็ถูกกำลังพลที่ดักซุ่มใช้ดาบรัวฟันจนตายแล้ว แต่เสียงร้องก่อนหน้านี้ก็ยังเรียกกำลังพลที่อยู่ข้างนอกเข้ามา กลุ่มคนดำเป็นพืดพุ่งเข้ามาจากสี่ด้านแปดทิศ
“เหนียงเหนียง!” หยางชิ่งตะคอกใส่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เตือนนางว่าตอนนี้ควรจะทำอะไร
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ถูกกำลังพลรอบด้านพุ่งเข้ามาล้อมดึงสติกลับมา
หยางชิ่งยกมือขึ้นตบบ่าชิงหยวนจุนที่กำลังบ้าระห่ำอีก แล้วถ่ายทอดเสียงตะคอกใส่ข้างหู “องค์ชาย เรียกรวมกำลังพลที่ทำงานให้ท่านมาเดี๋ยวนี้!”
ชิงหยวนจุนเข้าใจ ดึงกระบี่ออกจากตัวหวังติ้งเฉา แล้วตัดศีรษะหวังติ้งเฉา
หยางชิ่งคว้าศีรษะเอาไว้ แล้วยัดใส่มือเซี่ยโห้วเฉิงอวี่โดยตรง “เหนียงเหนียง ควบคุมอารมณ์ ท่านคือราชินีสวรรค์มารดาแห่งใต้หล้า พวกเขาไม่กล้าทำอะไรท่านหรอก มีแต่ท่านที่จะขู่พวกเขาได้ ช่วงชิงเวลาให้องค์ชาย!”
เอ๋อเหมยและบรรดาสาวใช้ตกใจจนหน้าซีด นึกไม่ถึงว่าจะเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้น
กำลังพลหลายพันที่ดักซุ่มอยู่ไหนเขตร้านบ้านรีบหดตัว รวมกลุ่มกันโอบล้อมพิทักษ์อยู่รอบตึกศาลา
เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คือศีรษะของขึ้นไปบนหลังคา ชูศีรษะของหวังติ้งเฉา พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนอย่างดุดันว่า “หวังติ้งเฉาถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท็จ มีเจตนาก่อกบฏ ถูกทำโทษประหารแล้ว!”
กำลังพลที่เหาะเข้ามาล้อมจากสี่ทิศทยอยกันหยุด แล้วมองทางฝั่งนี้อย่างหวาดระแวงสงสัย
“ข้าคือเหนียงเหนียงตำหนักหลักของตำหนักสวรรค์ องค์ชายคือโอรสองค์เดียวของฝ่าบาท ใครกล้าแตะต้องพวกเราสองแม่ลูก? ข้าก็อยากจะเห็นก็ใครจะกล้าก่อกบฏบีบให้พวกเราสองแม่ลูกตาย!” เสียงของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ดังสนั่นไปทั้งไปสี่ทิศ
กำลังพลโดยรอบตกอยู่ในความลังเล แม่ทัพที่ก่อนหน้านี้ฟังคำสั่งหวังติ้งเฉาไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้วแล้ว เพราะราชินีสวรรค์กำลังจะสู้ตาย หวังติ้งเฉาไม่อยู่ ก็อย่างที่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่บอก ใครจะกล้าบีบให้พวกเขาสองแม่ลูกตายล่ะ?
ทำได้เพียงรีบส่งข่าวให้กองทัพองครักษ์ที่สามารถติดต่อได้
บนตึกศาลา หยางชิ่งกวาดสายตามองสถานการณ์รอบข้าง ได้ยกหินออกจากอกแล้ว นิ้วทั้งห้าดูดแผ่นหยกของหวังติ้งเฉาที่ตกพื้นมาไว้ในมือ ร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูเล็กน้อย จากนั้นก็บีบทำลายจนกลายเป็นผุยผงเสียเลย
และในตอนนี้เอง รอบด้านก็มีกำลังพลเพราะเขามาเยอะกว่าเดิม เป็นกำลังพลที่คนที่จงรักภักดีต่อชิงหยวนจุนพม่า หวังติ้งเฉานึกไม่ถึงว่าจะมีการเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ และไม่คิดว่าการจับตัวสองแม่ลูกจะเปลืองแรงมากขนาดนี้ด้วย เตรียมกำลังพลมาแค่ไม่กี่หมื่นคนเท่านั้นเอง ตอนนี้คนที่ล้อมพวกเขากลับมีมากกว่าไม่รู้ตั้งกี่เท่า
ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่ได้มีแค่ที่อยู่ตรงหน้านี้แน่นอน แต่คนจำนวนมากกว่านั้นไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เพราะกระจายตัวกันประจำอยู่ตามจุดต่างๆ ก่อนหน้านี้หวังติ้งเฉาไม่ได้ประกาศเรื่องนี้ให้ทุกคนรู้หมด ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น หลังจากจบเรื่องแล้วค่อยประกาศบัญชาของราชาสวรรค์ ถึงตอนนั้นสถานการณ์ภาพรวมก็ถูกกำหนดแล้ว
“หวังติ้งเฉาถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท็จ มีเจตนาก่อกบฏ!” จู่ๆ แม่ทัพคนหนึ่งที่นำทัพมาล้อมไว้ก็ตะโกนเสียงดัง
“หวังติ้งเฉาถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท็จ มีเจตนาก่อกบฏ!”
“หวังติ้งเฉาถ่ายทอดบัญชาสวรรค์เท็จมีเจตนาก่อกบฏ!”
ทัพใหญ่ที่ล้อมเข้ามาตะโกนเสียงดังตามทันที เสียงสั่นสะเทือนฟ้า เสียงตะโกนดังต่อเนื่องเป็นระลอก
กองทัพที่ประจำอยู่ใกล้ๆ สังเกตุได้ถึงความเคลื่อนไหวนี้ ทั้งใกล้และไกลเร่งตามมา พอเห็นที่เกิดเหตุก็งงเป็นไก่ตาแตก หวังติ้งเฉาวางแผนกบฏเหรอ?
เมื่อได้ยินว่าเกิดเหตุการณ์นี้ ใครยังจะกล้าทำซี้ซั้วอีกละ? ทำได้เพียงสังเกตการณ์เงียบ
ชิงหยวนจุนที่บนใบหน้าและบนตัวเปื้อนเลือดเหาะขึ้นไปบนหลังคาเช่นกัน เขากลับเซี่ยโห้วเฉิงอวี่มองไปรอบๆ เสียงตะโกนสนับสนุนรอบข้างราวกับทะลักเข้ามาเรากับคลื่นยักษ์อันน่าสะพรึง ไม่น่าเชื่อว่าทั้งสองจะรู้สึกตื่นเต้นเร้าใจแบบนี้ ค้นพบความรู้สึกยามได้ควบคุมสถานการณ์แล้วเช่นกัน ความหวาดหวั่นเกรงกลัวก่อนหน้านี้ ในเวลานี้ถูกเสียงตะโกนกวาดไล่ไปหมดแล้ว
ชิงหยวนจุนโบกมือชี้กำลังพลที่ล้อมตัวเองอยู่ พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “หวังติ้งเฉามีเจตนาลอบสังหารข้า พวกเจ้าคิดจะดำเนินรอยตามเขาเหรอ? วางอาวุธลงแล้วจะไม่เอาผิด ไม่อย่างนั้นจะสังหารทิ้งตรงนี้”
รอบข้างยังคงตะโกน มิหนำซ้ำยังมีธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากกำลังง้าง เล็งไปยังกลุ่มคนที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลาง
ภายใต้สถานการณ์ที่มีกำลังน้อยกว่า คนพวกนั้นจำต้องวางอาวุธลงช้าๆ จากนั้นก็ถูกควบคุมเอาไว้อย่างรวดเร็ว
กำลังพลที่ตามมาไม่ขาดสายแทบจะล้อมจวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาลเอาไว้แน่นหนาจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านไปไม่ได้
ด้วยความที่หยางชิ่งช่วยออกหัวคิด ชิงหยวนจุนรีบสั่งการกำลังพลแต่ละแห่ง ออกคำสั่งให้รีบควบคุมระฆังดาราไม่ให้ติดต่อภายนอก ตัดขาดไม่ให้วังสวรรค์บัญชาการทัพใหญ่แดนรัตติกาลจากระยะไกล ขณะเดียวกันก็รีบเรียกแม่ทัพคนสำคัญตามจุดต่างๆ ให้มาประชุมที่จวนผู้สำเร็จราชการแดนรัตติกาล
หลังจากแม่ทัพหลายร้อยมาถึง เดินผ่านกำลังพลที่เบียดกันอยู่เต็มลานกว้างไป เข้าไปในตำหนักประชุมใหญ่แล้ว
ชิงหยวนจุนที่บนตัวยังคงเปื้อนเลือดยืนอยู่เบื้องสูง กล่าวสิ่งที่น่าตกใจต่อหน้าบรรดาแม่ทัพ “พวกเราถูกขังที่นี่มานานแล้ว ไม่มีทางออก ตอนนี้ข้าได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเซี่ยโห้ว ต้องการเคลื่อนทัพออกจากแดนรัตติกาลเพื่อช่วงชิงอนาคตให้ทุกคน ไม่ทราบว่าทุกคนยินดีจะช่วยข้าอีกแรงหรือไม่?”
……………