สุดท้าย เยี่ยนหลูก็ยังมาปรากฏตัวตรงหน้าสวีถังหราน
เป็นอาณาเขตของจ้าวเซียนแท้ๆ แต่สวีถังหรานกลับทำเหมือนเป็นบ้านตัวเอง เขานั่งหรี่ตายิ้มพลางยื่นมือเชิญอยู่หลังโต๊ะน้ำชาตัวหนึ่ง “เชิญนั่ง!” แล้วก็เอามือลูบเคราสั้นของตัวเอง
เยี่ยนหลูกลับยืนกล่าวเสียงต่ำ “ท่านโหวสวีช่างกล้าหาญนัก ท่านอ๋องหนิวกำลังโจมตีทัพใหญ่แดนรัตติกาลของข้า แต่ท่านกล้ามาที่นี่ ไม่กลัวว่าข้าจะฆ่าท่านเหรอ?”
“เฮ้อ!” สวีถังหรานส่ายหน้าเบาๆ คว้ากาน้ำชาที่ต้มจนเดือดขึ้นมา รินน้ำชาให้เขา ผลักถ้วยน้ำชาไปตรงหน้าเขาแล้วบอกว่า “ในเมื่อข้ากล้ามา ก็แสดงว่าข้าไม่กลัวตาย ถ้าข้าไม่อยากตาย เจ้าก็ฆ่าข้าไม่ได้…น้ำชาดีขนาดนี้ จะมาคุยเรื่องเข่นฆ่ากันให้เสียบรรยากาศทำไม ไม่สู้นั่งลงดื่มน้ำชาด้วยกันดีกว่า”
เยี่ยนหลูมองไปรอบๆ โดยจิตใต้สำนึก สุดท้ายก็นั่งลงช้าๆ “แค่ดื่มน้ำชาจริงเหรอ?”
สวีถังหรานบุ้ยปากให้จ้าวเซียน “เขาไม่ได้บอกเจตนาที่ข้ามาให้เจ้ารู้เหรอ?”
เยี่ยนหลูกล่าวอย่างเคียดแค้น “ท่านอ๋องหนิวพูดจากลับกลอก อยากจะฉวยโอกาสตีชิงตามไฟเหรอ?”
สวีถังหรานส่ายหน้า “ผิดแล้ว! เพราะท่านอ๋องพูดจาเชื่อถือได้ไง ถึงได้จะรับพวกเจ้ามาทำงานด้วย ตอนนี้สถานการณ์ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ประมุขชิงยอมแลกทุกอย่างแล้ว จะต้องกำจัดพวกเจ้าทิ้งแน่นอน ถ้าจะให้ท่านอ๋องชดเชยด้วยทัพใต้เพื่อปกป้องพวกเจ้าก็เป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ท่านอ๋องก็ตอบตกลงแล้วว่าจะปกป้องทัพใหญ่แดนรัตติกาล คิดไปคิดมาก็มีแต่ต้องให้พวกเจ้าไปพึ่งพาท่านอ๋องเท่านั้น ไปหลบอยู่ใต้ปีกท่านอ๋อง ถึงจะปกป้องพวกเจ้าได้สะดวกกว่าเดิม ท่านอ๋องมีจิตใจที่ทุ่มเทขนาดนี้ แต่กลับถูกพี่เยี่ยนเข้าใจผิด ความยุติธรรมอยู่ที่ไหนกัน?”
เยี่ยนหลูหัวเราะเบาๆ “สงสัยไม่ว่าจะพูดยังไง ท่านอ๋องหนิวก็มีเหตุผลอยู่วันยังค่ำ!”
สวีถังหรานยกน้ำชาขึ้นมาจิบ แล้วกะพริบตาให้เขาอย่างทะเล้น “ถ้าไม่ไปขอพึ่งพาท่านอ๋อง พวกเจ้าจะยังมีทางรอดอยู่อีกเหรอ? จะยอมแพ้ประมุขชิง? ก็ได้ ต่อให้ประมุขชิงจะรับปากว่าจะไม่เอาผิด แต่เจ้ารู้สึกว่าเชื่อถือได้หรือเปล่าล่ะ? เรามีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์ ก็เป็นเพราะเจ้ามีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์นี่แหละ สำหรับกองทัพองครักษ์แล้ว การทรยศหมายความว่าอะไรก็ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้? เจ้าคิดว่าประมุขชิงที่คุมกองทัพองครักษ์จะปล่อยให้แนวโน้มนี้ดำเนินต่อไปเหรอ? หลังจากเรื่องนี้สงบแล้ว จะต้องคิดบัญชีย้อนหลังแน่นอน ไม่มีทางที่จะให้เกิดขึ้นครั้งที่สอง! ไปพึ่งพาประมุขชิงอย่างมากก็สร้างผลงานชดใช้ความผิด ไปพึ่งพาท่านอ๋องก็สร้างผลงานอย่างเดียว คงชั่งน้ำหนักความต่างที่อยู่ในนั้นได้ ส่วนการไปพึ่งพาคนอื่น ยามเผชิญกับความกดดันของประมุขชิง เจ้าคิดว่าอำนาจฝ่ายอื่นจะกล้ารับพวกเจ้าไว้เหรอ?”
เยี่ยนหลูแสยะยิ้ม “เช่นนั้นท่านอ๋องหนิวอาศัยอะไรถึงกล้ามารับพวกเรา?”
สวีถังหรานวางถ้วยน้ำชาลง ใช้นิ้วเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ “พี่เยี่ยนเลอะเลือนแล้ว อย่าบอกนะว่าจนป่านนี้แล้วยังไม่เข้าใจว่าตระกูลเซี่ยโห้วกำลังสนับสนุนใครกันแน่?”
คำพูดนี้ทำให้คิดแล้วหวาดกลัว เยี่ยนหลูหนังตากระตุกรุนแรง จ้องเขาอย่างหวาดระแวงนิดหน่อย
สวีถังหรานพูดต่อไปว่า “ออกทะเลไปไกลก็ไม่มีความหมาย พูดตรงๆ เลยแล้วกัน อาณาเขตสายมะเส็งยึดครองได้ง่ายขนาดนั้นเชียวเหรอ? นั่นก็คือเหยื่อล่อชิ้นหนึ่ง ถ้าไม่เหยื่อล่อไป พวกเจ้าจะกระจายกำลังทหารกันได้ยังไงล่ะ? ถ้าใช้ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์หลายสิบล้านปะทะกัน ก็จะเกิดความเสียหายเยอะมาก ตอนนี้พวกเจ้าออกมากระจายกำลังทหารยึดครองอาณาเขต กำลังทหารกระจัดกระจาย ตอนนี้ถ้าท่านอ๋องต้องการจะจัดการพวกเจ้าก็ง่ายเกินไป เจ้าคิดว่าท่านอ๋องจะปล่อยให้พวกเจ้ารวบรวมกำลังทหารจนสร้างภัยคุกคามได้ง่ายๆ เหรอ? เปิดกระเป๋ารอตั้งนานแล้ว คนอื่นตอบตกลงหมดแล้ว เหลือก็แต่พี่เยี่ยนนี่แหละ พูดในกรณีที่เลวร้ายที่สุด ต่อให้พี่เยี่ยนไม่ยอมแพ้ แต่พี่คิดจริงเหรอว่าตัวเองจะเป็นผู้นำกำลังพลหนึ่งสายได้? ตอนนี้ข้ามาเจรจากับพี่เยี่ยน ก็ไม่ใช่เพราะท่านอ๋องอยากจะต่อรองกับเจ้าหรอกนะ แต่เพราะอยากลดความยุ่งยาก จะได้ไม่มีปัญหา พูดถึงขั้นนี้แล้ว ตอนนี้ข้าถามแค่คำเดียว ผลงานมาถึงตรงหน้าพี่เยี่ยนแล้ว พี่เยี่ยนจะเอาหรือไม่เอาล่ะ?”
“เข้าใจแล้ว ที่แท้ตั้งแต่เริ่มแรก อ๋องสวรรค์หนิวก็วางแผนจะฮุบกำลังพลหลายสิบล้านนี่มาตลอด!” เยี่ยนหลูหลับตาลงช้าๆ ด้วยรอยยิ้มขื่นขม กองทัพองครักษ์ไม่เคยยอมแพ้มาก่อน คนที่มีพื้นเพมาจากกองทัพองครักษ์อย่างเขา ไม่เคยคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งตัวเองจะยอมแพ้ได้ลง บนใบหน้าเผยความเศร้ารันทดอยู่หลายส่วน “ได้ยินนามอันยิ่งใหญ่ของอ๋องสวรรค์หนิวมานาน วันนี้นับว่าได้รับรู้ถึงวิธีการของอ๋องสวรรค์หนิวกับตัวเอง!” เขาลืมตาแล้วพยักหน้าตอบ “ข้ายอมแพ้!”
สวีถังหรานยกถ้วยน้ำชาพลางกล่าวกลั้วหัวเราะทันที “เลิกหน้าม่อยคอตกได้แล้วได้แล้ว นี่เป็นเรื่องดี อยู่กับคนโง่อย่างชิงหยวนจุนจะมีอนาคตอะไรได้ ตอนนี้ควรจะดีใจสิถึงจะถูก มา ดื่มชากันสักหน่อย!”
เยี่ยนหลูยกถ้วยน้ำชาคารวะตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน ไม่สนใจน้ำชาที่ร้อนจี๋ เงยหน้ากรอกดื่มลงคอเสียงดังอึกๆ
ใครจะคิดว่าจากนั้นสวีถังหรานก็หรี่ตายิ้มอีก “จะยอมแพ้ก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา ไม่อย่างนั้นอีกประเดี๋ยวถ้าพวกเจ้าก่อเรื่องอะไรอีก จะให้ท่านอ๋องทนความรู้สึกได้ยังไง พี่เยี่ยนว่ามั้ยล่ะ?”
เยี่ยนหลูถอนหายใจ “ท่านโหวสวี ท่านเลิกพูดอ้อมค้อมได้แล้ว อยากให้พวกเราทำอะไรก็บอกมาตรงๆ เลย”
“เป็นคนตรงไปตรงมาดี ข้าชอบเจ้า!” สวีถังหรานวางถ้วยน้ำชา “ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ พวกเจ้าเก็บไว้ส่วนหนึ่ง ที่เหลืออีกเก้าส่วนส่งมาให้หมด นอกจากนี้ ก็ระดมกำลังพลไปช่วยเหลือราชินีสวรรค์ต่อ!”
เยี่ยนหลูขมวดคิ้ว ส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ให้เก้าส่วนเขาพอจะเข้าใจได้ ขอเพียงส่งธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ชุดนี้ให้แล้ว เขาก็ไม่มีทางชี้แจงต่อประมุขชิงได้อีก เท่ากับตัดความเป็นไปได้ที่จะไปเข้าฝั่งประมุขชิง ขาดอาวุธที่มีประโยชน์ที่สุดในการกัลบตัว แต่จะให้ช่วยเหลือราชินีสวรรค์ต่อหมายความว่าอะไร? เขาอดไม่ได้ที่จะถามว่า “ช่วยต่อไปเหรอ?”
สวีถังหรานพยักหน้า “ใช่ ช่วยตอบไป ส่วนเหตุผลว่าเพราะอะไร ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าก็ไม่ต้องถามมากหรอก เมื่อถึงตอนนั้นควรจะทำยังไง เดี๋ยวท่านอ๋องก็ถ่ายทอดคำสั่งให้เจ้าเอง…”
ในอาณาเขตทัพใต้ ในที่สุดทัพใต้ก็เปิดฉากล้อมปราบทัพกบฏแดนรัตติกาลแล้ว ทั้งสองฝ่ายเหมือนต่อสู้กันอย่างดุเดือด
กำลังพลของทัพตะวันตกกับทัพเหนือมาถึงอาณาเขตทัพตะวันออกเพื่อช่วยเสริมอานุภาพให้เถิงเฟยแล้ว เฉิงไท่เจ๋ออกสั่นขวัญแขวนทั้งวัน
วังสวรรค์ ตำหนักดาราจักร
“ฝ่าบาท หนิวโหย่วเต๋อส่งข่าวมา ทัพใต้เริ่มล้อมปราบทัพกบฏแล้ว จอมพลสายมะเส็งเหิงอู๋เต้านำกำลังพลหนึ่งสายมาโจมตีศูนย์กลางทัพกบฏ สังหารชิงหยวนจุนที่เป็นหัวหน้าทัพกบฏ…ท่ามกลางทัพที่เข่นฆ่ากันชุลมุน เหนียงเหนียงได้รับบาดเจ็บหนีไปแล้ว บัญชาการให้ทัพกบฏต่อต้านต่อไป เพราะมีตระกูลเซี่ยโห้วคอยช่วย เป็นอุปสรรคต่อทัพใต้ที่บุกโจมตี การโจมตีไม่ค่อยราบรื่น ศีรษะของทัพกบฏกำลังถูกส่งมา…กำลังอยู่ระหว่างทางแล้ว!”
พอซ่างกวนชิงพูดจบ ในตำหนักก็เงียบเชียบไร้เสียง เกาก้วนก้มหน้าก้มตา ซือหม่าเวิ่นเทียนก้มหน้า สังเกตปฏิกิริยาของประมุขชิงเงียบๆ อู๋ฉวี่ขมวดคิ้วมุ่น ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงทั้งนั้น ว่าองค์ชายจะตายแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าจะโดนประหารแล้ว หนิวโหย่วเต๋อคนนี้ก็แค่ไม่ลงมือเท่านั้น พอลงมือก็โผเข้าจุดยุทธศาสตร์ของทัพกบฏโดยตรง โจมตีถูกจุดภายในครั้งเดียว จะเห็นได้ว่าเตรียมลงมือไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ได้ดำเนินการอย่างฉุกละหุกแน่นอน และถ้าพูดจากอีกมุมหนึ่ง ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าหนิวโหย่วเต๋อเชี่ยวชาญเรื่องการระดมกำลังทหารจริงๆ ชำนาญการรบ!
ประมุขชิงที่นั่งหลังโต๊ะยาวเกร็งใบหน้า สีหน้าเดี๋ยวซีดเดี๋ยวดำ ไม่พูดอะไรสักคำ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าซึมและดุร้าย…
วันต่อมา ซ่างกวนชิงเดินเข้ามาจากนอกตำหนัก ใช้สองมือถือกล่องใบหนึ่ง สายตาของหลายคนในตำหนักจับจ้องไปที่กล่องใบนั้น
ซ่างกวนชิงเดินมาตรงหน้าโต๊ะ วางกล่องลงบนโต๊ะเบาๆ
ประมุขชิงจ้องกล่องใบนั้นเงียบๆ นานมาก ลุกขึ้นยืนช้าๆ ยื่นมือเปิดฝากล่องออก เห็นศีรษะคนที่ตายตาไม่หลับ ทั้งยังเป็นใบหน้าที่คุ้นเคย ประมุขชิงไม่แสดงสีหน้าอารมณ์ใดๆ ถามเสียงเย็นว่า “ยืนยันจริงเท็จหรือยัง?”
ซ่างกวนชิงโค้งตัว “ยืนยันแล้วขอรับ เป็นองค์ชายแน่นอน บนร่างกายถูกธนูยิงพรุน ฝ่าบาทอย่าดูจะดีกว่า”
“ลูกทรพีได้รับกรรมตามสนอง ตอนนี้นางตัวแสบคงพอใจแล้วสินะ!” ประมุขชิงแสยะยิ้ม แต่ในใจกลับปวดแปลบ ภาพเหตุการณ์ในอดีตปรากฏตรงหน้าฉากแล้วฉากเล่า เด็กน้อยที่กอดต้นขาเขาพร้อมเรียกว่าเสด็จพ่อ…
ปั้ง! หลังจากปิดกล่องแล้ว ประมุขชิงแสยะยิ้ม “ถ่ายทอดคำสั่งให้ฉวี่ฉางเทียน ถอนกำลังทหารตามแผน!”
ขณะเดียวกันก็ชำเลืองอู๋ฉวี่ ส่งสายตาให้อย่างแนบเนียน…
“ท่านอ๋อง เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ฉวี่ฉางเทียนไปแล้ว!”
ในจวนอ๋องสวรรค์เฉิง พอเชี่ยเซิงเข้ามาในจวนท่านอ๋องก็ไม่หยุดฝีเท้า ถลันตัวเหาะเข้ามาในศาลาของเรือนชั้นในโดยตรง พอเห็นเฉิงไท่เจ๋อก็รีบรายงานทันที
“ไปไหนแล้ว?” เฉิงไท่เจ๋อคิดตามไม่ทัน หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง ก็เข้าใจอะไรบางอย่างจากสีหน้าของเชี่ยเซิง ถามอย่างตกใจว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
“ตอนแรกฉวี่ฉางเทียนบอกว่าออกไปลาดตระเวนดูกำลังพลที่วางไว้ข้างนอก ใครจะคิดว่าหลังจากเขาออกไปข้างนอกแล้ว กองทัพองครักษ์ที่อยู่ตามจุดต่างๆ ก็ระดมพลกะทันหัน ทยอยกันถอนกำลังออกไปแล้ว ดูจากแนวโน้มสถานการณ์ เหมือนจะออกจากอาณาเขตของทัพตะวันออก” เชี่ยเซิงรายงานอย่างกังวล
เฉิงไท่เจ๋อพลันถลันตัวออกไป เชี่ยเซิงตามไปทันที
พอทั้งสองออกจากจวนท่านอ๋อง แม้แต่ทหารอารักขาก็ไม่พาไป เหาะขึ้นฟ้าไปโดยตรง ไม่นานก็ไปถึงเรือนพักที่แบ่งให้ฉวี่ฉางเทียนทำเป็นศูนย์บัญชาการของกองทัพองครักษ์
เชี่ยเซิงที่ตามหลังมาเข้าใจความรู้สึกของเขา เป็นเพราะยากจะยอมรับความจริงนี้ได้ ต้องการจะเห็นกับตาตัวเอง
ทว่ารีบหาจนทั่วเรือนพักแล้ว ยังจะเห็นเงาของกองทัพองครักษ์เสียที่ไหนกัน เดินไปหยุดตรงข้างศาลาริมน้ำ เฉิงไท่เจ๋อก็ใจเสียไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เขายังไม่ตัดใจ รีบหยิบระฆังดาราขึ้นมาติดต่อฉวี่ฉางเทียน ทว่าฉวี่ฉางเทียนไม่ตอบอะไรเลย เขาจึงติดต่อไปทางตำหนักสวรรค์อีก ไม่ว่าจะเป็นประมุขชิงหรือซ่างกวนชิง ก็ไม่มีใครสนใจเขาเลย
ชั่วพริบตานั้นเขาก็เข้าใจแล้ว ว่าเขากลายเป็นตัวหมากที่ประมุขชิงทิ้งแล้ว พอคิดได้ก็กล่าวอย่างเดือดดาลมาก “ไม่น่าเชื่อว่าจะกล้าปั่นหัวข้า ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไป สั่งให้แต่ละด่านสกัดกองทัพองครักษ์ไว้ อย่าให้พวกเขาหนีไป!”
“ท่านอ๋อง…” เชี่ยเซิงอึกอัก แต่ก็พูดไม่ออก
ที่จริงพอพูดจบ เฉิงไท่เจ๋อเองก็รู้ตัวแล้วเช่นกัน เงยหน้าหลับตาลงช้าๆ สกัดเหรอ? จะสกัดได้อย่างไร? ยังไม่ต้องพูดถึงว่ากองทัพที่เฝ้าอยู่แต่ละด่านจะสกัดกองทัพองครักษ์ได้หรือไม่ ถ้าทำให้อีกฝ่ายโมโหจริงๆ เขาก็จะมีศัตรูเพิ่มขึ้นอีก ตายเร็วเกินไป ไม่มีทางที่ประมุขชิงจะวู่วามตัดสินใจถอนกองทัพองครักษ์ไปด้วย จะต้องผ่านการครุ่นคิดพิจารณามาแล้วแน่นอน มีหรือที่จะให้เขาโวยวายนิดเดียวแล้วกู้ทุกอย่างกลับมาได้?
“เข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว หนิวโหย่วเต๋อปล่อยให้ทัพกบฏยึดครองสายมะเส็ง ก็เพราะต้องการจะร่วมมือกับฝ่ายอื่นกดดันประมุขชิง ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อปราบทัพกบฏได้แล้ว เงื่อนไขในการแลกเปลี่ยนก็คือให้ประมุขชิงถอนทัพออกไป เลิกสนับสนุนข้า ค่ากลายเป็นเครื่องสังเวยให้ไอ้สารเลวพวกนั้นแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กัน! ฮ่าๆ…” เฉิงไท่เจ๋อเงยหน้าหัวเราะลั่น กำลังหัวเราะเยาะตัวเอง หัวเราะจนแทบน้ำตาไหลออกมาแล้ว
เชี่ยเซิงกุมหมัดคารวะ กล่าวโน้มน้าวว่า “ท่านอ๋อง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาดูถูกตัวเองด้วย ไม่ควรยอมแพ้ง่ายๆ ด้วย ควรหาวิธีการอื่นขอรับ!”
เฉิงไท่เจ๋อตบระเบียงฝืนยิ้มอย่างน่าเวทนา “ยังจะมีวิธีการอะไรอีก? ประมุขชิงเห็นข้าเป็นตัวหมากที่ใช้แล้วทิ้ง แล้วข้าก็ล่วงเกินอ๋องที่เหลือไปแล้วด้วย ความตั้งใจที่อ่องเหล่านั้นจะรวมทัพตะวันออก ยังต้องให้ข้าพูดมากอีกเหรอ? เผชิญความกดดันใหญ่หลวงขนาดนี้ รู้ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่แพ้แน่นอน เจ้าคิดว่ากำลังพลของข้าจะยังเหลือจิตวิญญาณการต่อสู้อยู่สักเท่าไหร่? อย่าบอกนะว่าจะให้ข้าคุกเข่ายอมแพ้ต่อเถิงเฟย? ไม่ว่าใครก็ยอมแพ้ต่อเขาได้ มีแต่ข้าเท่านั้นที่ยอมแพ้ไม่ได้ เถิงเฟยให้ทางรอดชีวิตกับใครก็ได้ แต่มีเพียงข้าเท่านั้นที่เขาให้ทางรอดไม่ได้! เพื่อสนับสนุนให้เถิงเฟยยึดอาณาเขตทัพตะวันออก คนอื่นจะต้องไว้หน้าเขาแน่นอน”
……………