เชี่ยเซิงเผยสีหน้าเศร้าสลดอย่างอดไม่ได้ เป็นเช่นนี้จริงๆ เถิงเฟยสามารถปล่อยใครไปก็ได้ มีเพียงท่านอ๋องคนเดียวที่ปล่อยให้รอดชีวิตไม่ได้ ไม่ใช่ว่ามีความแค้นฝังลึกอะไรต่อกัน ถ้าเปลี่ยนเป็นท่านอ๋องก็ไม่เหลือหนทางรอดไว้ให้เถิงเฟยเช่นกัน ไม่ใช่เพราะอะไร เป็นเพราะอีกฝ่ายได้รับการสนับสนุนในระดับเดียวกัน เป็นไปไม่ได้ที่จะทิ้งภัยพิบัติแฝงระดับนี้เอาไว้ บรรดาท่านอ๋องที่เหลือก็คงไม่อยากเห็นทัพตะวันออกที่รวมเป็นหนึ่งเดียวแล้วถูกประมุขชิงเสี้ยมให้เกิดเรื่องนี้ ไม่อยากเห็นสถานการณ์กึ่งแข่งขันกึ่งร่วมมือของสี่ทัพถูกทำลายอีก
ทางรอดเดียวในตอนนี้ เกรงว่าคงจะมีเพียงการหนี ทิ้งกำลังพลที่เหลือแล้วหนีไปเงียบๆ ถ้านำคนกลุ่มใหญ่ไปด้วย ใครจะไปรู้ว่าในจำนวนนั้นมีหนอนบ่อนไส้อยู่เท่าไร ที่สำคัญคือหลังจากออกไปแล้วไม่มีทรัพยากรมาเลี้ยงกำลังพลมากมายขนาดนั้นได้อีก เมื่อเวลานานไปจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน…พอนึกถึงตรงนี้ เชี่ยเซิงกำลังจะชี้แนะเช่นนี้พอดี แต่กลับเห็นเฉิงไท่เจ๋อขมวดคิ้ว แววตาวูบไหวไม่หยุด สีหน้าเศร้าโศกถูกแทนที่ด้วยอารมณ์อีกแบบ ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้
เขากำลังอยากจะถาม แต่เฉิงไท่เจ๋อกลับเป็นฝ่ายจ้องเขาและพูดออกมาเอง “หนิวโหย่วเต๋อเคยบอกว่าจะให้ทางรอดกับข้าได้”
“…” เชี่ยเซิงงุนงง ถามอย่างสงสัยว่า “เป็นไปได้หรือขอรับ?”
เฉิงไท่เจ๋อเอามือลูบเคราพร้อมกล่าวอย่างไม่แน่ใจ “เมื่อไม่นานก่อนหน้านี้ จู่ๆ เขาก็ติดต่อข้ามา บอกประมาณว่าประมุขชิงทิ้งข้าแล้ว ก็ให้ข้าไปหาเขาได้เลย บอกว่าไม่มีทางเห็นคนเดือดร้อนแล้วไม่ช่วย…ตอนนั้นข้าก็ยังไม่เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญอะไร ยังรู้สึกว่าคำพูดของเขาช่างน่าขำ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังแอบบอกใบ้ข้า เขารู้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่าประมุขชิงจะทิ้งข้า เหมือนกำลังเตือนว่าวันนี้จะมาถึง ไม่อย่างนั้นคนไม่พูดอะไรแปลกๆ แบบนั้นออกมา”
เชี่ยเซิงถามอย่างระแวงสงสัยไม่หยุด “ท่านอ๋องแน่ใจเหรอ? ตามหลักแล้ว เป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรับท่านอ๋องไว้ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าคนอื่นจะยอมให้เขาขยายอำนาจแบบนี้หรือเปล่า เขาจะชี้แจงกับเถิงเฟยยังไง? ถ้าเขาทำแบบนี้ สถานการณ์กึ่งร่วมมือกึ่งแข่งขันระหว่างสี่ทัพก็จะถูกทำลายไม่ใช่เหรอ?”
เฉิงไท่เจ๋อโบกมือ “แม้เจ้าเด็กนั่นจะอายุไม่เยอะ แต่กลับมีวิธีการไม่ธรรมดา อาศัยแค่ที่เขาโค่นล้มฮ่าวเต๋อฟางก็รู้แล้ว ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นมีแผนชั่วอะไร ตอนนี้ข้ามีหายนะมาจ่อตรงหน้า ลองถามเขาสักหน่อย หยั่งเชิงเขาสักหน่อยก็ไม่เสียหายอะไร”
“นั่นก็ใช่ขอรับ” เชี่ยเซิงพยักหน้าเงียบๆ
เฉิงไท่เจ๋อเอามือไขว้หลังเดินไปเดินมาสองก้าว พอหยุดเดินก็เหมือนจะตัดสินใจได้แล้ว หยิบระฆังดาราออกมาติดต่อเหมียวอี้เสียเลย…
ในจวนอ๋องสวรรค์หนิว โถงหลัก สวีถังหรานใช้สองมือกำไลเก็บสมบัติให้ไว้บนโต๊ะน้ำชา จากนั้นก็ถอยออกไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เหมียวอี้ที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะชานำกำไลเก็บสมบัติมานับ ข้างในล้วนเป็นธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์สี่สิบล้านห้าแสนคัน!
พอเก็บกำไลเก็บสมบัติไว้ เหมียวอี้ก็ลุกขึ้นชมด้วยรอยยิ้ม “ทำได้ไม่เลว”
สวีถังหรานพยักหน้าโค้งตัวทันที “เป็นเพราะท่านอ๋องเตรียมวางแผนภาพรวมไว้ดี ข้าน้อยก็แค่วิ่งเต้นทำงานให้ ไม่ได้สิ้นปลืองกำลังอะไรเลย ที่สำคัญคือท่านอ๋องปราดเปรื่องไม่ธรรมดา กำหนดชะตาฟ้าดินด้วยมือเดียว ข้าน้อยนับถือมากจริงๆ”
เหมียวอี้ไม่เกรงใจเช่นกัน “ยังมีอีกเรื่องต้องให้เจ้าวิ่งเต้นอีกสักรอบ”
สวีถังหรานทำสีหน้าฮึกเหิมทันที ไม่กลัวงานเยอะงานลำบาก กลัวก็แต่จะไม่มีงานทำ ก็อย่างที่บอก ประสบการณ์ในหลายปีได้พิสูจน์แล้ว เขาไม่กลัวว่าท่านอ๋องจะก่อเรื่อง ยิ่งเรื่องราวใหญ่โตก็ยิ่งดี เพราะทุกครั้งหลังจากเกิดเรื่องใหญ่ เขาก็จะได้รับผลตอบแทนมหาศาลตามไปด้วย เรื่องในครั้งนี้เขาเห็นทิศทางที่กระบี่ของท่านอ่องชี้ไปแล้ว เร้าใจมาก รู้สึกคันยุบยิบที่หัวใจจนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ! คาดว่าเรื่องเข่นฆ่าทำศึกคงไม่ถึงคราวใช้งานเขาหรอก เขากลัวว่าจะโดนทิ้งไว้ข้างๆ กลัวไม่มีโอกาสให้เขาได้สร้างผลงาน ถ้าไม่ได้สร้างผลงานใหญ่ก็ไม่เป็นไร ขอเพียงเขาได้ลำบากทำงานก็พอแล้ว สุดท้ายถ้าตบรางวัลตามผลงาน เขาก็จะต้องได้รับส่วนแบ่งสักส่วนแน่นอน
เขารีบยื่นหน้ามาใกล้ “ท่านอ๋องกำชับมาได้เลยขอรับ ต่อให้ข้าน้อยบุกน้ำลุบไฟก็จะไม่ปฏิเสธ!”
“เจ้าชิงจะเตรียมกำลังพลกลุ่มหนึ่งให้เจ้า เจ้าไปคุมที่ตระกูลหวงฝู่เอาไว้ ไม่ว่าสุดท้ายเรื่องราวจะดำเนินไปยังไง ถ้าเกิดเหตุไหมคะคิดอะไรขึ้น จำไว้แค่อย่างเดียวว่า ต้องคุ้มครองให้หวงฝู่จวินโหรวหนีไปได้อย่างปลอดภัย ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันกับนาง เจ้าก็ไม่ต้องกลับมาพบข้าอีกเหมือนกัน!” เหมียวอี้กล่าว
สวีถังหรานยืดอก ตอบด้วยสีหน้าเคารพอย่างสูง “ท่านอ๋องวางใจได้ ข้าน้อยไม่ปล่อยให้เกิดเรื่องอะไรกับนางเด็ดขาด ถ้าทำให้นางผมหลุดแม้แต่เส้นเดียว ไม่ต้องให้ท่านอ๋องลงโทษหรอก ข้าน้อยจะเด็ดหัวตัวเองมารับผิดกับท่านอ๋องเอง!”
หยางเจาชิงที่ยืนอยู่ข้างๆ มีสีหน้าเรียบเฉย แต่ที่จริงแล้วปวดประสาทนิดหน่อย
ทว่าเหมียวอี้ชื่นชมท่าทีของสวีถังหราน ไม่ใช่เพราะสวีถังหรานประจบสอพลอจนเขาสบายใจ แต่เป็นเพราะไม่ว่าเรื่องอะไรที่สวีถังหรานรับประกันต่อเขา ก็ล้วนทำสำเร็จเสมอ ไม่เพียงแค่ทำได้ แต่ยังทำได้ดีมากด้วย แม้แต่สิ่งที่เจ้าคิดไม่ถึง อีกฝ่ายก็ยังรับใช้จนเจ้าสบายอกสบายใจได้
แม้แต่อวิ๋นจือชิวก็ยังพูดถึงสวีถังหรานในทางที่ดี บอกว่าสวีถังหรานใช้งานถนัดมือ ถ้ามีเรื่องอะไรแค่อธิบายให้ชัดเจนแล้วให้เขาไปจัดการ ต่อให้ตัวเองจะลำบากแต่ก็ไม่ยอมปล่อยให้งานพัง เป็นคนที่ทำงานตามคำสั่งได้ดีคนหนึ่งเลย
แน่นอน เจ้าหนุ่มนี่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน ขอเพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ว่าจะวิธีการสั่งชาอะไรก็งัดออกมาใช้ได้หมด ไม่เคยแยแสเลยว่าคนอื่นจะมองอย่างไรหรือคิดอย่างไร
“อืม!” เหมียวอี้พยักหน้า “จับตาดูทางโถงชุมนุมอัจฉริยะให้ดีด้วย ในเวลานี้ข้าไม่อยากให้เกิดความวุ่นวายอะไร”
“จะไม่ให้ส่งผลกระทบต่องานใหญ่ของท่านอ๋องแน่นอน!” สวีถังหรานรับประกันอีกครั้ง
“ดี! เรื่องนี้ชักช้าไม่ได้ เจ้ารีบไปเตรียมการเถอะ” เหมียวอี้โบกมือ
หยางเจาชิงยื่นมือเชิญ สวีถังหรานกลับทำความเคารพก่อนแล้วเดินตามเขาไป
ระหว่างทาง บังเอิญเจอกับหยางชิ่งที่กลับมาแล้ว หลังจากเห็นหยางชิ่งกับหยางเจาชิงพยักหน้าทักทายให้กันแล้วเดินเข้าไปข้างในโดยไม่มีใครขวาง ทหารยามก็ไม่ขวางเช่นกัน สวีถังหรานจึงเดินไปสองสามก้าวแล้วหันกลับมาจองเงาหลังของหยางชิ่ง ในใจรู้สึกสงสัยนิดหน่อย…
“ท่านอ๋อง!” หยางชิ่งเข้ามาในโถงแล้วทำความเคารพ
เหมียวอี้พยักหน้า “ลำบากแล้ว ทางฝั่งนั้นจัดการเรียบร้อยแล้วสินะ?”
“เตรียมการเรียบร้อยแล้วขอรับ คงจะไม่มีปัญหาอะไร” หลังจากหยางชิ่งตอบแล้ว ก็นำกระบี่ด้ามหนึ่งออกมาจากกำไลเก็บสมบัติ ยาวครึ่งจั้ง ตัวกระบี่เป็นสีขาวดุจหิมะทั้งด้ามแต่กลับเปล่งรัศมีสีทอง ระดับความคมของกระบี่ แค่ใช้สายตาประเมินก็มองออกแล้ว
กลับด้านกระบี่แล้วยื่นให้ แสดงออกว่าไม่มีเจตนาเป็นศัตรู ใช้สองมือถือกระบี่มอบให้
เหมียวอี้อึ้งเล็กน้อย รับกระบี่มาไว้ในมือเงียบๆ พลิกดูกระบี่ด้ามใหญ่ไปมา พอใช้นิ้วดีดตัวกระบี่เบาๆ ก็มีเสียงดังทึบๆ “ตึก” ไม่ใช่เสียงทองและเสียงหยก จึงถามอย่างสงสัยว่า “อย่าบอกนะว่านี่คือกระบี่เก้าเตาของประมุขชิง?”
หยางชิ่งตอบว่า “ใช่แล้ว เดิมทีประมุขชิงประทานให้หวังติ้งเฉา ตอนหลังหวังติ้งเฉาโดนชิงหยวนจุนฆ่า มันจึงตกอยู่ในมือชิงหยวนจุน ว่ากันว่าเป็นอาวุธที่ประมุขชิงใช้บุกยึดใต้หล้าในปีนั้น การที่เขาประทานให้หวังติ้งเฉาได้ จะเห็นได้ว่าเชื่อใจหวังติ้งเฉาขนาดไหน แต่น่าเสียดายที่หวังติ้งเฉาติดตามรับใช้ชิงหยวนจุน ได้รับใช้ผิดคน ไม่ได้เสพสุขจากความเมตตาของประมุขชิง ได้ยินว่ากระบี่นี้หลอมสร้างมาจากแร่ผลึกประหลาดที่หายากที่สุด ในเหมืองแร่แห่งหนึ่งอาจจะหาแร่ผลึกประหลาดชนิดนี้ไม่เจอเลยก็ได้ สามารถหลอมสร้างกระบี่วิเศษแบบนี้ออกมาได้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าเป็นยังไง ได้ยินว่ากระบี่ด้ามนี้ตระกูลเซี่ยโห้วเคยมอบให้ประมุขชิงเมื่อนานมาแล้ว มีความหมายแฝงว่าอยู่ยงคงกระพัน ว่ากันว่าในมือหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้วยังมีกระบี่วิเศษที่ทำจากผลึกประหลาดสีดำอยู่อีกด้ามหนึ่ง คมกว่ากระบี่ด้ามนี้ ว่ากันว่าเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนของหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้ว”
“อยู่ยงคงกระพัน! ของดีที่ประมุขชิงใช้บุกยึดใต้หล้าตกอยู่ในมืออ๋องผู้นี้แล้ว ถือว่าเป็นลางดี!” เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ พลิกมือหยิบกระบี่วิเศษผลึกแดงด้ามหนึ่งออกมา นำกระบี่สองด้ามมาโบกฟันกัน เกิดเสียงดังแกร๊ง กระบี่วิเศษสีแดงแตกหักทันที เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวชม “เป็นกระบี่วิเศษที่คมดีมาก!”
แกร๊ง! เขาโยนกระบี่วิเศษที่หักครึ่งทิ้ง แล้วนำกระบี่เก้าเตามาจ่อบนคอตัวเองอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ท่านอ๋อง…” หยางชิ่งตกใจ นึกว่าเขาจะปาดคอ ผลก็คือพบว่าเหมียวอี้ก็แค่ดึงเชือกเส้นหนึ่งบนคอมาปาดหั่นเท่านั้น
จี๊ด! คมกระบี่กับเชือกเสียดสีกันจนเกิดเสียงดังแสบหู ทว่าเชือกกลับไม่ขาด
หยางชิ่งสงสัยไม่หยุด ไม่รู้ว่าเชือกที่เหมียวอี้ใส่ไว้บนคอคืออะไรกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่ากระบี่วิเศษที่คมขนาดนี้ก็ยังต้านทานได้!
หลังจากหันซ้ำไปซ้ำมา ในที่สุดเชือกเส้นนั้นก็ขาดแล้ว
พอเก็บเชือกที่ตกลงพื้นขึ้นมา มองดูลูกประคำสีเขียวเข้มในฝ่ามือ ในใจเหมียวอี้ก็รู้สึกทึ่งไม่หยุด ในปีนั้นหลังจากสวมใส่สร้อยเส้นนี้ไว้บนคอ เขาก็ไม่เคยถอดออกอีกเลย ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะถอดออกมาดู แต่เป็นเพราะไม่มีทางถอดออกได้ ใช้อาวุธแหลมคมมาทุกอย่าง แต่ก็ไม่สามารถตัดเชือกเส้นนี้ให้ขาดได้ ตอนนี้ใช้กระบี่เก้าเตา ในที่สุดก็ตัดขาดแล้ว
เมื่อเห็นเหมียวอี้ทำสีหน้าตกตะลึง หยางชิ่งก็อดไม่ได้ที่จะถามว่า “ท่านอ๋อง นี่คือวัตถุอะไรกัน?”
เหมียวอี้ยิ้มบางๆ “เป็นของขวัญแรกพบจากท่านผู้นั้น”
หยางชิ่งขานรับ “อ้อ” คิดในใจว่า มิน่าล่ะ เป็นของทนทานที่ขนาดกระบี่เก้าเตายังตัดทำลายไม่ได้ง่ายๆ เกรงว่าคงไม่ใช่ของที่คนธรรมดาจะมีได้เช่นกัน
พอกลับด้านกระบี่วิเศษ เหมียวอี้ก็ยื่นให้ “ท่านบุรุษสร้างผลงานใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่มีอะไรจะเป็นรางวัล มอบกระบี่นี้ให้ท่านบุรุษแล้วกัน!”
หยางชิ่งรีบถอยหลังและโบกมือ กล่าวด้วยรอยยิ้มเจื่อนว่า “กระบี่นี้เป็นอาวุธชั้นดีที่ประมุขชิงใช้บุกยึดใต้หล้าในปีนั้น มีที่มาที่ไปแบบนี้ ก็แสดงว่าไม่ใช่กระบี่วิเศษธรรมดา เปป็นของที่มีความหมายแฝงพิเศษ กลายเป็นกระบี่แห่งราชันสวรรค์ มีแต่คนที่มีอำนาจคู่ควรกับกระบี่ด้ามนี้เท่านั้นถึงจะนำออกมาใช้ได้ คนส่วนใหญ่ไม่มีวาสนาใช้มันได้เลย ดีไม่ดีอาจจะนำภัยมาสู่ตัวเองก็ได้ หวังติ้งเฉาก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว! ข้าน้อยมิบังอาจรับรางวัลนี้เด็ดขาด กระบี่ดังนี้มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่คู่ควร”
เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าไปเรียนประจบสอพลอมาจากไหน? ก็ได้ ในเมื่อเจ้าพูดซะร้ายแรงขนาดนั้น ข้าก็ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจแล้วกัน” เขาพลิกมือเก็บกระบี่วิเศษ แล้วเพ่งมองจี้ในมืออย่างละเอียด
ของสิ่งนี้อยู่กับเขามาหลายปี เขาคุ้นชินมาตั้งนานแล้ว พอถอดออกอย่างกระทันหัน ก็รู้สึกว่าขาดอะไรไป หลังจากลังเลซ้ำๆ เขาก็ใส่กลับคืนมาที่คออีก ผูกมันไว้อีกครั้ง
พอวางมือลงก็ถือโอกาสหยิบระฆังดาราอันหนึ่งขึ้นมา แล้วเลิกคิ้วอุทานว่า “เฉิงไท่เจ๋อ!”
ทั้งสองสบตาให้กันอย่างรู้อยู่แก่ใจ
หลังจากเชื่อมสัญญาณระฆังดาราแล้ว เหมียวอี้ก็ถามว่า : ไม่ทราบว่าท่านอ๋องเฉิงมีอะไรจะชี้แนะ?
เฉิงไท่เจ๋อ : น้องชายรู้อยู่แก่ใจแล้วยังจะถามอีกทำไม น้องชายบอกว่าจะให้ทางรอดข้า ไม่ทราบว่าทางรอดอยู่ที่ไหน?
เฉิงไท่เจ๋อ : ทุกคนล้วนเป็นคนชัดเจน อ้อมค้อมไปจะมีความหมายอะไร?
เหมียวอี้ : ข้าบอกแล้วว่าให้มาหาข้า นี่ยังตรงไม่พออีกเหรอ? ขออเพียงเจ้ามาหาข้า ข้ารับรองว่าตระกูลเฉิงไม่ต้องกังวลเรื่องที่อันตรายถึงชีวิต!
เฉิงไท่เจ๋อ : ง่ายขนาดนี้เชียวหรือ?
เหมียวอี้ : ท่านอ๋องกำลังล้อเล่นอยู่เหรอ? ถ้าเจ้าไม่ให้กำลังพลกลุ่มนั้นกับข้า ข้าจะอาศัยอะไรไปทำเรื่องที่เปลืองแรงทั้งยังล่วงเกินคนอื่น?
เฉิงไท่เจ๋อตกใจมาก ถามว่า : เจ้าอยากได้กำลังพลในมือข้าเหรอ? ต่อให้ข้าให้ แต่เจ้าจะกล้ารับไว้เหรอ?
เหมียวอี้ : กลัวว่าจะให้น้อย ไม่กลัวว่าจะให้เยอะ เจ้าว่าข้ากล้ามั้ยล่ะ?
………………