ประมุขชิงเหมือนไม่อยากให้แม่เฒ่าลวี่เห็นว่าตัวเองทนไม่ไหวแล้ว เห็นสภาพที่ตัวเองโกรธกระฟัดกระเฟียด พยายามดึงลักษณะท่าทางของราชันกลับมา
ซือหม่าเวิ่นเทียน เกาก้วน อู๋ฉวี่ก็มองแม่เฒ่าลวี่เดินเข้ามาเงียบๆ เช่นกัน รู้สึกผิดคาดนิดหน่อยที่นางเป็นฝ่ายมาที่นี่เอง
พอเดินเข้ามาในตำหนัก แม่เฒ่าลวี่ก็ประคองไม้เท้าโค้งตัวเล็กน้อย “คำนับฝ่าบาท!”
ประมุขชิงขานรับ “อืม”
“ได้ยินว่าหนิวโหย่วเต๋อก่อกบฏแล้วเหรอ?” แม่เฒ่าลวี่ถาม
ประมุขชิงแสยะยิ้ม “เป็นตัวตลกที่กระโดดเล่นบนเวที ข้าต้องกำจัดทิ้ง! ได้ยินว่าเจ้าไม่ยอมย้ายเหรอ?”
“เรื่องราวร้ายแรงจนถึงขั้นต้องทิ้งวังสวรรค์ไปเชียวหรือ?” แม่เฒ่าลวี่ถาม
ประมุขชิงบอกนางว่า “บนสนามรบ ถ้ายึดติดอยู่กับที่เดียวจะถูกโจมตีได้ง่าย แค่ย้ายไปชั่วคราวเท่านั้น ไม่นับว่าทิ้งวังสวรรค์ไป แต่เป็นการหลีกเลี่ยงอันตรายที่ไม่จำเป็น หลังจากจบเรื่องแล้วก็ย่อมกลับมา ทำไมต้องดึงดันในความคิดตัวเองขณะนี้?”
แม่เฒ่าลวี่ถอนหายใจ “ไม่ใช่ดึงดันในความเห็นของตน แต่ไม่อยากย้ายจริงๆ ได้แก่ตายอยู่ที่นี่ก็ดีมากอยู่แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลอะไร ในเมื่อหนิวโหย่วเต๋อก่อกบฏ ข้ากับเขายังมีความสัมพันธ์กันบ้างนิดหน่อย เขาน่าจะไม่ถึงขั้นกลั่นแกล้งหญิงแก่ไร้ประโยชน์อย่างข้า เมื่อสังหารข้าแล้ว เขาก็แบกรับชื่อเสียงที่ไม่ดีไม่ไหว อีกฝ่ายไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นด้วย ใช่หรือไม่?”
ประมุขชิงเงียบไปครู่เดียว คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่บ้าง กล่าวยังไม่แน่ใจว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ คิดว่าทางเจ้ายังมีอะไรจำเป็นต้องใช้อีกไหม?”
พอได้ยินถึงตรงนี้ แม้แต่พวกจ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ในมุมกดไม่ได้ที่จะมองมาอย่างประหลาดใจ ไม่เคยเห็นประมุขชิงใช้น้ำเสียงอย่างนี้คุยกับคนมาก่อน เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเจรจากันอย่างเท่าเทียม จึงอดไม่ได้ที่จะเริ่มมองพินิจหญิงชราที่อาศัยอยู่ในอุทยานหลวงอย่างเงียบสงบและไม่ค่อยโผล่หน้าออกมา
สำหรับแม่เฒ่าลวี่คนนี้ พวกนางรู้เพียงว่าอีกฝ่ายใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบ ไม่มีชนชั้นสูงคนไหนใช้อำนาจข่มเหงนางได้ โดยส่วนใหญ่ไม่มีใครไปรบกวนนางที่สวนกลางเขียวขจี แม้แต่ราชินีสวรรค์เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เป็นแต่ไหนแต่ไรมาก็ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างโหดร้าย ก็ยังไม่กลั่นแกล้งนางเลย นางสุขุมเยือกเย็นมาตลอด ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าเป็นเพราะนางไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใดๆ ถึงได้อิสระอย่างนี้ แต่พอมาดูตอนนี้แล้ว ก็เหมือนว่าจะไม่ใช่อย่างนั้น ในนั้นต้องมีความจริงอะไรซ่อนอยู่แน่นอน ไม่อย่างนั้นบ่าวชราคนหนึ่งที่ดูแลต้นไม้ใบหญ้าจะเข้าตำหนักใหญ่มาเจรจาต่อหน้าประมุขชิงอย่างเยือกเย็นได้อย่างไร เมื่อครู่นี้เพิ่งได้ยินซ่างกวนชิงเรียกนางว่าพี่หญิงลวี่ใช่มั้ย?
ซือหม่าเวิ่นเทียน เกาก้วน อู๋ฉวี่รวมทั้งซ่างกวนชิงเหมือนไม่รู้สึกแปลกใจกับสิ่งนี้เลยสักนิด
แม่เฒ่าลวี่เอียงหน้ามองที่มุมหนึ่งในตำหนักใหญ่ จ้องประเมินจ้านหรูอี้อยู่พักหนึ่ง
ประมุขชิงหันกลับมามองตามสายตาของนาง เมื่อเห็นนางกำลังจ้องจ้านหรูอี้ เขาก็ขยับมุมปากเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว เหมือนทำสีหน้าอึดอัดเล็กน้อย
สายตาของแม่เฒ่าลวี่มาหยุดอยู่บนใบหน้าเขาอีก “ได้ยินว่าสนมที่วังหลังพวกนั้น ฝ่าบาทจะประหารให้หมดเหรอ?”
พวกจ้านหรูอี้ตกใจจนขนลุก ต้องการจะประหารสนมให้หมดวังหลังเหรอ? นั่นเป็นคนจำนวนเท่าไหร่กัน?
ประมุขชิงถลึงตาจ้องซ่างกวนชิงที่อยู่ข้างๆ อย่างเยียบเย็นดุร้ายแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดเจนมาก เรื่องนี้ยังไม่ถูกประกาศ ถ้าซ่างกวนชิงไม่พูด แล้วอีกฝ่ายจะรู้ได้อย่างไร และซ่างกวนชิงก็เพิ่งไปพบนางด้วยตัวเองมาด้วย
ซ่างกวนชิงก้มหน้าอย่างกินปูนร้อนท้อง
แม่เฒ่าลวี่บอกว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับผู้การใหญ่ แต่ข้ารู้ว่าเจ้าอาจจะทำอย่างนี้ ถึงได้ถามเขา เขายังไว้หน้าข้าอยู่บ้าง เลยหลุดปากพูดด้วยความจนใจเท่านั้น เจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องโทษเขา”
ประมุขชิงขมวดคิ้ว “แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าก็อยู่อย่างสงบไม่เข้ามาเกี่ยวข้องอะไร ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้?”
แม่เฒ่าลวี่ถอนหายใจ “ไม่ว่าจะดีจะเลว ไม่เกี่ยวว่าเจ้าจะโปรดปรานหรือไม่โปรดปรานพวกนาง แต่พวกนางล้วนมีชะตาขื่นขมงทั้งนั้น ไว้ชีวิตคนเถอะ ส่งมาที่สวนกลางเขียวขจีแล้วกัน รอเจ้ากลับมาแล้ว ถ้าเจ้ายังอยากให้พวกนางกลับวัง ก็ค่อยเรียกกลับไปอีกที ถ้าสถานที่นี้ถูกหนิวโหย่วเต๋อยึดไปจริงๆ ทางฝั่งหนิวโหย่วเต๋อยังไว้หน้าข้าอยู่บ้าง ข้าย่อมมีคำพูดที่จะขัดขวางเขาได้อยู่แล้ว ไม่ให้หนิวโหย่วเต๋อแตะต้องพวกนางง่ายๆ ในภายหลังเก็บพวกนางไว้เป็นลูกมือของข้า ให้คอยช่วยดูแลดอกไม้ก็แล้วกัน”
ประมุขชิงขมวดคิ้วมุ่น ยอดหญิงงามมากมายขนาดนั้น เขาทำใจเชื่อได้ยากว่าผู้ชายคนอื่นจะอดใจไม่แตะต้องได้ ต่อให้ผู้ชายคนอื่นไม่เป็นฝ่ายมาแตะต้องพวกนางก่อน แต่ในบรรดาผู้หญิงพวกนั้น ก็มีหลายคนที่เขารู้นิสัยดีอยู่แก่ใจ เกรงว่าจะมีหลายคนที่ทนเหงาและสิ้นหวังอยู่ที่สวนกลางเขียวขจีไม่ไหว จะเป็นฝ่ายหาทางออกไปเอง ยิ่งเป็นผู้หญิงสวยก็ยิ่งไม่อยากทรยศต่อความงามที่สวรรค์ประทานให้ตัวเอง
เมื่อเห็นเขายังลังเลนิดหน่อย แม่เฒ่าลวี่ก็ถอนหายใจแล้วบอกว่า “หลายปีมานี้ข้าไม่เคยขออะไรเจ้าเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เอ่ยปาก”
พอนางกล่าวเช่นนี้ ประมุขชิงก็หลุบตาลงเล็กน้อย แล้วโบกมือบอกซ่างกวนชิงทันที “ทำตามที่นางยอก ส่งคนไปที่สวนกลางเขียวขจี เตือนพวกนางว่าให้ซื่อสัตย์หน่อย”
“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงก้มหน้ารับปาก แล้วหยิบระฆังดาราออกมาถ่ายทอดคำสั่ง
“เฮ้อ เจ้าก็รักษาตัวให้ดีแล้วกัน” แม่เฒ่าลวี่ย่อตัวพูดทิ้งท้าย แล้วหันตัวเดินค้ำไม้เท้าออกไปพร้อมเงาร่างแก่ชรา
กลุ่มคนในตำหนักมองตามเงียบๆ มองตามจนกระทั่งเงานางหายไป
และในตอนนี้ นอกตำหนักก็มีอีกคนเดินเข้ามา ดึงดูดสายตาของทุกคนอีกครั้ง โพ่จวิน!
พอเข้ามาในตำหนักแล้ว สายตาของโพ่จวินก็กวาดมองกลุ่มคน สุดท้ายก็ไปตกอยู่บนตัวจ้านหรูอี้ที่ยืนอยู่ในมุม แล้วก็ต้องไม่รับสายตาอย่างนั้น…
แดนสุขาวดี ภูเขาหลิงซาน วัดต้าเหลย
ประมุขพุทธะที่สวมจีวรสีทองเดินเท้าเปล่าออกมานอกอุโบสถ ทอดสายตามองเขาหลิงซานที่ปกคลุมไปด้วยหมอก พลางกล่าวช้าๆ ว่า “ครั้งนี้ราชันสวรรค์ประสบปัญหายุ่งยากแล้วจริงๆ อาจจะเป็นภัยคุกคามต่อแดนสุขาวดีของข้าโดยตรง ต้องทำให้สถานการณ์สงบให้ได้ ถ้าต้องการนำศิษย์พุทธแปดร้อยล้านไปขู่ด้วยตัวเอง! ทางฝั่งอารามแปดทิศ ศิษย์น้องของเจ้าจะนำศิษย์พุทธหนึ่งร้อยล้านไปเฝ้าไว้ จะเหลือศิษย์พุทธร้อยล้านไว้ให้เจ้าเฝ้าเขาหลิงซาน จำไว้นะ ถ้าเกิดสถานการณ์อะไรที่เหนือการควบคุม ต้องเปิดใช้ค่ายกลใหญ่ทันที สังหารคนที่อยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ เข้าใจแล้วใช่ไหม?”
พระรูปร่างผอมสูงที่ติดตามอยู่ข้างกายชื่อว่าจินหลัว เป็นลูกศิษย์ของเขา อีกฝ่ายประนมมือตอบ “ศิษย์เข้าใจแล้ว!”
จวนท่านอ๋องเถิง ในตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง เถิงเฟยที่วางระฆังดาราในมือโมโหจนกระหืดกระหอบ เดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้น
หลังจากเขาได้รับข่าวจากโค่วหลิงซวีกับก่วงลิ่งกงอย่างต่อเนื่องกัน ถึงได้รู้สถานการณ์ของอาณาเขตทัพใต้ ถึงได้รู้ว่าเฉิงไท่เจ๋อนำกำลังพลเข้าไปในอาณาเขตทัพใต้แล้ว ไม่น่าเชื่อว่าเฉิงไท่เจ๋อจะช่วยหนิวโหย่วเต๋อล้อม โจมตีกองทัพองครักษ์? หนิวโหย่วเต๋อกำลังร่วมมือกับเขา กำลังสนับสนุนเขาไม่ใช่เหรอ? เฉิงไท่เจ๋อที่โดนหนิวโหย่วเต๋อเล่นงาน ทำไมถึงถ่อไปสนับสนุนหนิวโหย่วเต๋อได้?
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วก็เดาไม่ยากอีกต่อไป ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว ว่าตัวเองโดนหนิวโหย่วเต๋อหลอกใช้ประโยชน์ โดนหลอกใช้ประโยชน์อย่างโหดร้ายมาก! ตอนนี้หนิวโหย่วเต๋อกับเฉิงไท่เจ๋อเข่นฆ่ากันมาถึงบริเวณนี้แล้ว จะไม่ให้เขากังวลก็คงยาก ถ้าวันไหนหนิวโหย่วเต๋อช่วยเฉิงไท่เจ๋อโจมตีกลับมาทางนี้ล่ะ เขาจะไปร้องไห้กับใคร?
แต่จนใจที่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าไม่มีแม้แต่ที่ให้ทวงความยุติธรรมด้วยซ้ำ ฉีกหน้ากันหมดแล้ว ใครจะมาสนใจที่เจ้าได้รับความไม่เป็นธรรมล่ะ?
“ท่านอ๋อง เป็นอะไรไป?” เถิงจงถาม
“หนิวโหย่วเต๋อรังแกกันเกินไปแล้ว…” เถิงเฟยเล่าสถานการณ์ที่รู้ให้ฟังรอบ
เถิงจงสีหน้าบิดเบี้ยว นี่คือการโดนหลอกใช้แล้วจริงๆ ปั่นหัวฝั่งนี้เล่นเหมือนเป็นลิง อดไม่ได้ที่จะกล่าวอย่างเครียดแค้น “ไอ้หนิวจัญไรช่างกลับกลอกเจ้าเล่ห์จริงๆ อย่าบอกนะว่าอ๋องสวรรค์โค่วกับก่วงก็ไร้เหตุผลเหมือนกัน?”
เถิงเฟยหันหน้ามา “อธิบายเหตุผลบ้าอะไรล่ะ! ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่พวกเขาจะขัดแย้งภายใน จะให้ข้าเคลื่อนทัพเข้าอาณาเขตทัพเหนือ ต่อต้านกำลังพลจากแดนพุทธ ทั้งยังขู่ข้าด้วยว่า ถ้าข้ากล้านิ่งดูดาย ต่อไปพวกเขาจะร่วมมือกันสู้กับข้า รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ!”
เถิงจงขมวดคิ้ว “ท่านอ๋อง เช่นนั้นพวกเรายังจะเคลื่อนทัพอยู่ไหม?”
“หึหึ!” เถิงเฟยเแสยะยิ้ม “พวกเขาเห็นข้ากลายเป็นอะไรไป? ข้าใช่คนที่พวกเขาจะมาชี้นิ้วสั่งให้ไปนั่นไปนี่หรอ? สู้เถอะ ให้พวกเขาสู้กันไป สองฝั่งฉีกหน้ากันจนถึงที่สุดแล้ว เมื่อทำศึกกันขึ้นมา หากคนตายน้อยแล้วเรื่องจะสำเร็จได้ยังไง? ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ อย่างมากทั้งสองฝั่งก็ทำได้เพียงขู่ข้า ใครจะกล้ามาขู่ข้าล่ะ! ข้าไม่ช่วยทั้งสองฝั่ง จะนั่งดูเสือสู้กัน ไม่ว่าสุดท้ายใครจะแพ้หรือจะชนะ แพ้แล้วก็ไม่มีอะไรต้องพูด ชนะแล้วก็ต้องเสียหายหนักมากแน่นอน มีเพียงข้าคนเดียวที่ไม่เป็นอะไร!”
เถิงจงเข้าใจทันที เข้าใจความคิดของเขาแล้ว ถึงตอนนั้นท่านอ๋องมีกำลังพลจำนวนมากอยู่ในมือ รักษากำลังเอาไว้ได้ครบสมบูรณ์ ใครจะกล้ามาโจมตีง่ายๆ ล่ะ? นั่นก็คือสิทธิ์ในการเรียกร้องส่วนแบ่งผลประโยชน์ในใต้หล้า! เขาพยักหน้าสั้นๆ ต้องยอมรับว่าท่านอ๋องพูดถูก แต่เขาก็รู้สึกว่ามีบางอย่างที่อธิบายไม่ถูก อำนาจใหญ่แต่ละฝ่ายต่างก็เข้าร่วม ท่านอ๋องมีอำนาจอ่อนแอที่สุด จะสามารถสนใจแต่ตัวเองได้จริงเหรอ?
บนสนามต่อสู้หลักที่ใหญ่ที่สุดในดาราจักร กำลังพลของชิงเยว่กับกำลังพลของฉวี่ฉางเทียนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
พลังรบของกองทัพองครักษ์เข้มแข็งเกรียงไกรจริงๆ มีการประสานงานระหว่างการโจมตีและป้องกันอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำเลย กอปรกับมีอาวุธชั้นดี แล้วก็มีการบัญชาการที่ชำนาญของฉวี่ฉางเทียน ยามเผชิญการล้อมโจมตีของทัพใหญ่หนึ่งพันห้าร้อยล้าน ก็ป้องกันได้แน่นหนาจนน้ำเล็ดรอดไม่ได้สักหยด ไม่ว่าฝั่งนี้จะพุ่งเข้าไปสุดชีวิตอย่างไร แต่ก็ยากที่จะบุกโจมตีเข้าไปได้
เหมียวอี้กับเฉิงไท่เจ๋อที่เข้ามาดูการต่อสู้ในขบวนรบลุ้นมีสีหน้าจริงจัง
“ท่านอ๋องหนิว ฉวี่ฉางเทียนสมกับเป็นขุนพลเก่า ป้องกันได้แน่นหนามาก ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป อย่าว่าแต่กำลังพลของท่านอ๋องจะเสียหายหนักมาก ถ้าตีไม่แตกอย่างนี้ต่อไป กำลังพลของพวกเราก็ไม่มีทางหลุดออกมาได้เช่นกัน ถ้ารอจนทัพใหญ่ของประมุขชิงตามมาถึงก็จะยุ่งยากแล้ว” เฉิงไท่เจ๋อเอียงหน้าเตือน
เหมียวอี้ไม่ได้พูดต่อจากเขา แต่หันตัวไปมองเฮยทั่น “ให้คนของเจ้าลงสนาม!”
เดิมที ถ้าฝั่งนี้สามารถโจมตีได้โดยตรง เขาก็ยังไม่อยากเผยไพ่ใบนี้เร็วเกินไป ดูท่าแล้ว ตอนนี้จะไม่ใช้งานก็คงไม่ได้ ถ้ากำลังพลเสียหายอย่างนี้ต่อไป แล้วตอนหลังเขาจะเอาอะไรไปสู้กับอีกฝ่ายล่ะ?
เฉิงไท่เจ๋อก็หันไปมองเฮยทั่นตามเช่นกัน รู้สึกสงสัยนิดหน่อย เขาไม่คุ้นหน้าเฮยทั่น ไม่รู้ด้วยว่าเฮยทั่นจะมีกำลังพลอะไรที่แก้ไขสถานการณ์ได้ ฉวี่ฉางเทียนตั้งกระบวนทัพเป็นรูปทรงกลมเพื่อป้องกัน ในนั้นมีกำลังพลเพียงพอที่จะเติมพลังงานในภายหลัง ต่อให้เพิ่มกำลังพลที่โจมตีมากกว่านี้ เกรงว่าคงไม่ได้ผลมากนัก
เฮยทั่นกลับตกหน้าอกพลางกล่าวอย่างตื่นเต้น “ท่านอ๋องวางใจได้ เรื่องนี้ข้ารับเอง”
เหมียวอี้ทำสีหน้าจริงจัง “อย่าสนแต่ความสะใจของตัวเอง เชื่อฟังคำบัญชาการ ห้ามทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ไม่อย่างนั้นประหารไม่ละเว้นแน่นอน!”
เฮยทั่นตัวสั่นด้วยความกลัว พยักหน้าซ้ำๆ “เข้าใจแล้วๆ ฟังคำบัญชาการ!”
“ไปเถอะ!” เหมียวอี้โบกมือ
เฮยทั่นเลี้ยวและถลันตัวออกจากทับใหญ่ทันที ออกมานอกสนามรบ ปล่อยวิญญาณชั่วร้ายจำนวนหนึ่งแสนออกมา ทั้งตบหน้าอกทั้งโบกหมัดและแยกเขี้ยวยิงฟันให้กลุ่มวิญญาณชั่วร้ายดู ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร
สรุปก็คือ วิญญาณชั่วร้ายกลุ่มนั้นเคยเห็นฉากการเข่นฆ่าขนาดใหญ่เท่านี้เสียที่ไหนกัน พวกเขาตกตะลึงพรึงเพริด แต่ละคนเผยสีหน้ากังวลหวาดกลัว
วิญญาณชั่วร้ายหนึ่งแสนใช้งานธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ จัดขบวนทัพและเดินหน้าไปยังขบวนรบขนาดใหญ่มหึมา
หลังจากเหมียวอี้กับชิงเยว่ประสานงานกันแล้ว ก็รีบให้กำลังพลที่รวมตัวกันเว้นช่องว่างให้เป็นทางผ่านทางหนึ่ง
เมื่อเห็นกำลังพลหนึ่งแสนหน้าตาแปลกประหลาด บางคนจะเหมือนคนก็ไม่ใช่จะเหมือนผีก็ไม่ใช่ บนตัวมีปราณมรณะ ปราณสังหาร ปราณอาฆาตและปราณเหี้ยมโหด เฉิงไท่เจ๋องุนงงอยู่พักหนึ่ง จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเหมียวอี้ฝึกตนอยู่ในแดนมรณะดึกดำบรรพ์ระยะยาว จึงหันกลับมาถามอย่างตกใจ “นี่คือวิญญาณชั่วร้ายเหรอ?”
…………………………