ยื่นมือชี้ไปยังตะปูยาวบนตัวตะขาบ ใช้นิ้วชี้เสยขึ้นเล็กน้อย ตะปูยาวแท่งหนึ่งบนตัวตะขาบก็เด้งออกมา ทำให้น้ำขุ่นมัวไปด้วยเลือดสีดำ
ยืนนิ่งครู่หนึ่ง แน่ใจหรอว่าไม่มีอะไรผิดปกติ หลินไห่ก็ตวัดนิ้วขึ้นไม่หยุด ตะปูยาวเด้งออกมาเส้นแล้วเส้นเล่า สุดท้ายก็เหลือแค่โซ่ที่ล่ามตะขาบเอาไว้
ตอนนี้หลินไห่วางสองมือลง แล้วยืนรอเงียบๆ
ตอนที่ตะปูยาวแท่งสุดท้ายเด้งออกมาได้ไม่นาน ปากของตะขาบก็พ่นหมึกดำออกมาช้าลงเรื่อยๆ จนสุดท้ายก็หยุดพ่นแล้ว
คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์พรั่งพรูออกมาจากร่างกายตะขาบทีละน้อย คลื่นเริ่มขยับแรงขึ้น น้ำที่สะสมอยู่ในทางน้ำเหมือนเดือดพล่านอย่างช้าๆ
แสงสีเขียวสองสายพลันกะพริบขึ้นมา ตะขาบลืมตาแล้ว ร่างกายบิดไปบิดมาอย่างช้าๆ สะบัดโซ่ที่พันอยู่บนร่างกาย
จนกระทั่งดวงตาสีเขียวจ้องมาบนตัวหลินไห่ ร่างมหึมาของตะขาบก็สงบลงอีกครั้ง
หลินไห่เผยรอยยิ้มอ่อนๆ ขณะพยักหน้าให้มัน
ร่างของตะขาบดิ้นไปดิ้นมาอีกครั้ง ดิ้นรุนแรงขึ้น เสียงโซ่ที่กระทบกันอยู่ในน้ำดังแสบหู
“เอื้อ…” เสียงครางที่อึดอัดเก็บกดดังมา กระแสลมแรงกลุ่มหนึ่งทำให้น้ำที่สะสมอยู่ในทางน้ำเบียดทะลักออกมาทันที
บึ้ม! ตะขาบพลันบิดตัว เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น
หินดินที่อยู่ตรงหน้าหลินไห่พังกระเด็น ราวกับฟ้าถล่มแผ่นดินแยก เห็นรางๆ ว่าร่างมหึมาของตะขาบโผล่พ้นผิวดินขึ้นมา แล้วก็โบกฝ่ามือหนึ่งที ปัดหินดินที่พุ่งเข้ามาออกไป ก่อนจะพุ่งขึ้นฟ้า
พื้นดินสั่นสะเทือน น้ำทะเลสาบระเบิดพุ่งขึ้นฟ้าราวกับเสา
เงาร่างที่สวมชุดสีเขียวเหาะลงมาจากฟ้า มาเหยียบลงบนสนามหญ้าริมทะเลสาบ
ชายชราคนหนึ่งใช้สองมือดึงโซ่ยาว ผมเคราหนวดคิ้วล้วนเป็นสีเขียว ในดวงตาสีเขียวกระพริบแสงอ่อนๆ บนใบหน้าเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหด ปล่อยให้น้ำทะเลสาบพุ่งขึ้นมาชำระล้างร่างกายตัวเอง
หลังจากน้ำทะเลสาบที่สาดกระจายตกลงพื้นแล้ว หลินไห่ที่สวมชุดสีเขียวเช่นกันก็ลอยเบาๆ มายืนอยู่ตรงหน้าชายชราชุดเขียวชุดสีเขียวของอีกฝ่ายเป็นมันวาวสะท้อนแสง
“อู๋ฉาง พวกเราพบกันอีกแล้วนะ” หลินไห่ถอนหายใจ
สองมือที่คว้าโซ่ไว้แน่นโบกซ้ายโบกขวา โซ่กระเด็นออกไป ตกลงพื้นเสียงดังแกร๊ง ชายชราชุดเขียวที่ถูกเรียกว่าอู๋ฉางมองไปรอบๆ ด้วยแววตาดุร้าย เมื่อม่เห็นเงาคนอื่น ความดุร้ายในแววตาก็ค่อยๆ เลือนหายไป จ้องหลินไห่พร้อมถามเสียงต่ำว่า “หลินไห่ ทำไมเป็นเจ้า?”
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า?” หลินไห่ถาม
อู๋ฉางสูดหายใจลึกแล้วบอกว่า “ในปีนั้นที่ควบคุมข้าไว้ที่นี่ คุณชายไป๋ก็เคยบอกไว้แล้ว ว่าลูกศิษย์ของเขาจะมาปลดผนึกให้ข้า อย่าบอกนะว่าเจ้าคือลูกศิษย์ของคุณชายไป๋?”
หลินไห่ส่ายหน้า “เรื่องนี้ไม่ต้องรู้หรอก ข้าเองก็เพิ่งได้รับแจ้งจากคุณชายไป๋ให้มาช่วยเจ้าเหมือนกัน ถึงได้รู้ว่าเจ้าถูกจองจำอยู่ที่ดาวแมกไม้”
อู๋ฉางเงียบไป แล้วทำช้าๆ อีกว่า “ในปีนั้นคุณชายไป๋บอกไว้แล้ว ว่าตอนที่ข้าหลุดพ้นจะได้มาพบประมุขปีศาจอีกครั้ง ไม่ทราบว่าประมุขปีศาจอยู่ที่ไหน ให้ข้าได้ไปยอมรับผิดและขอโทษเถอะ!”
“ประมุขปีศาจยังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจ” หลินไห่ตอบ
อู๋ฉางเบิกตากว้าง “อย่าบอกนะว่า อาศัยความสามารถของคุณชายไป๋ ทุกวันนี้ก็ยังช่วยประมุขปีศาจออกมาไม่ได้? พูดจาเชื่อถือไม่ได้ เขามีสิทธิ์อะไรมาจองจำข้าไว้หลายปี…”
“ใต้หล้าไม่ใช่ใต้หล้าในปีนั้นอีกแล้ว แม้แต่คุณชายไป๋เองก็ยังถูกขังอยู่…” หลินไห่เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหลายปีหลังจากที่อีกฝ่ายถูกขังให้ฟังคร่าวๆ “ตอนนี้ใต้หล้าเปลี่ยนไปมาก คงจะเป็นเพราะโอกาสมาถึงแล้ว คุณชายไป๋ถึงได้เรียกรวมพวกเรา เป็นเพราะเรื่องนี้…”
“ชิงกับพุทธะ โดนสุนัขไร้ยางอาย!” อู๋ฉางเงยหน้าคำรามเสียงดัง โกรธจนขนพองหนวดพอง แล้วถามเสียงต่ำอีกว่า “ตามที่เจ้าบอก ตอนนี้เกิดศึกใหญ่ในใต้หล้า เกรงว่าประตูดวงดาวแต่ละแห่งก็ถูกควบคุมไว้ด้วย แล้วพวกเราจะผ่านไปได้ยังไง?”
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวล คุณชายไป๋เตรียมตัวไว้นานแล้ว บอกเส้นทางลับให้ข้ารู้แล้ว ข้าเรียกรวมลูกศิษย์ทุกคนของปราสาทแมกไม้แล้ว เจ้าแค่ตามข้าไปก็พอ!” หลินไห่ตอบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ยังจะชักช้าทำไมอีก?”
ทั้งสองเหาะขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว…
ดาวดำเนินนภา
บึ้ม! ยอดเขาของภูเขาไฟแห่งหนึ่งถล่มและปลิวกระจาย หินหนืดระเบิดพุ่งขึ้นฟ้า
ตอนหินหนืดที่พุ่งขึ้นฟ้าหมดแรงตกลง กิ้งก่าเพลิงยักษ์ที่บนตัวถูกล่ามโซ่เอาไว้ก็พุ่งขึ้นมาท่ามกลางหินหนืดที่ตกลง แล้วสะบัดหางลอยวนอยู่บนฟ้า
ชายที่สวมชุดคลุมสีน้ำเงินเขียวยืนอยู่บนตัวกิ้งก่าไฟผมขาวทั้งศีรษะรวบเป็นหางม้า ชุดคลุมยาวปลิวสะบัดตามลม ตรงหว่างคิ้วไฝสีแดงชาดอยู่จุดหนึ่ง ร่างกายซูบผอม ราวกับกำลังขี่มังกรบินอยู่บนฟ้า เขาก็คือเวินหวนเจิน ประมุขปราสาทดำเนินนภา
เวินหวนเจินสะบัดแขนเสื้อสองข้าง เหาะถอยหลังลงข้างล่าง พอใช้ฝ่ามือตบลงไปหนึ่งที หินหนืดที่ปลิวว่อนกระจัดกระจายอยู่ข้างล่างก็หยุดเคลื่อนไหวทันที หินหนืดที่กระเพื่อมขึ้นลงอยู่ในภูเขาไฟก็สงบลงแล้วเช่นกัน จากนั้นลอยเบาๆ ไปเหยียบลงบนยอดของภูเขาไฟสีดำเกรียมที่ถล่มพังไปแล้วครึ่งหนึ่ง คลื่นความร้อนด้านล่างทำให้ชุดคลุมกระเพื่อม เขาเงยหน้ามองกิ้งก่าเพลิงยักษ์ที่อยู่บนท้องฟ้า
“กรร!” กิ้งก่าเพลิงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ราวกับเป็นสัตว์ป่าดุร้าย ร่างกายโผลงมา พุ่งเข้าเข้าหาเวินหวนเจินที่อยู่ข้างหลัง
ตอนที่พุ่งลงมา ดวงตาสีแดงทั้งคู่พลันมีเพลิงเดือดลุกโชน มันรีบห่อคลุมร่างกายขนาดยักษ์ แล้วเผาโซ่ยาวสองเส้นที่ลากอยู่ในมือ โซ่ที่มีไฟลุกสองเส้นราวกับเป็นปีกเพลิง กระแทกไปยังเวินหวนเจินที่อยู่บนภูเขาไฟ
ลูกไฟก้อนหนึ่งที่พุ่งมาจากฟ้าพลันระเบิดอย่างรุนแรง แสงเพลิงกระจายไปทั่วทิศ กิ้งกายักษ์ที่อยู่ในลูกไฟกลายร่างเป็นชายชราชุดแดง
ชายชราสะบัดสองแขนทะยานขึ้นกลางอากาศ โบกมังกรเพลิงสองตัวฟาดไปยังคนที่อยู่บนยอดเขา
เวินหวนเจินสะบัดแขนเสื้อ แสงเย็นสายหนึ่งพุ่งออกจากกระบอกแขน ราวกับมีสายฟ้าโผล่ออกมา ฟันไปยังโซ่ไฟที่ฟาดเข้ามา
แกร๊งๆ! เสียงโลหะกระทบกันต่อเนื่องสองครั้ง สะเทือนจนก้อนหินที่อยู่บนพื้นไกลๆ สั่นไหว
สายฟ้าสองสายนั้นกระพริบฝั่งซ้ายและขวา ตัดโซ่เพลิงสองเส้นขาดอย่างต่อเนื่อง โซ่เพลิงกระเด็นออกไปทางซ้ายและขวา
สายฟ้าพุ่งกลับมา พอเวินหวนเจินโบกมือ สายฟ้าก็หายเข้ามาในแขนเสื้อ
ชายชราที่มาพร้อมเปลวเพลิงเดือดเหยียบลงตรงข้าม ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ร่างกายพ้นจากเปลวเพลิงเดือด แล้วเปลวเพลิงเดือดที่เปล่งแสงแวววับอยู่ข้างหลังก็พลันหายไป ชั่วพริบตาเดียวก็จมมิดเข้าไปในแผ่นหลังของเขาแล้ว เปลวเพลิงหายไปอย่างไร้ร่องรอย ชายชราสวมชุดสีแดง หนวดและผมก็เป็นสีแดงเช่นกัน ตะคอกถามอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เวินหวนเจิน ทำไมเป็นตาแก่อย่างเจ้าได้? คุณชายไป๋บอกว่าเป็นลูกศิษย์ของเขาไม่ใช่เหรอ?”
เวินหวนเจินกล่าวอย่างสง่าว่า “หั่วเจินจวิน ยังเจ้าอารมณ์ไม่เปลี่ยนแปลง ข้าไม่เข้าใจว่าจะพูดอะไร คุณชายไป๋ให้ข้ามาพาเจ้าไปพบประมุขปีศาจ…”
สถานที่ไร้ชีวิต ในทุ่งหิมะที่มีหิมะขาวปกคลุม แผ่นน้ำแข็งที่มีหิมะหนาแตกออก รอยแตกขยายไปโดยรอบเร็วมาก รอยนั้นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตรงรอยที่ใหญ่ที่สุดราวกับเป็นหุบเขา หิมะที่สะสมบนพื้นดินทยอยตกลง
เงาคนคนหนึ่งถลันขึ้นมา ลอยอยู่กลางอากาศ สวมชุดคลุมสียาวดุจหิมะทั้งตัว ผมสีขาวเงินยาวถึงเท้า บนร่างกายราวกับคลุมด้วยผ้าไหมสีเงิน บางครั้งก็จะปลิวไสวตามลมหนาวบนทุ่งหิมะ ใต้ริมฝีปากใหญ่หนามีเคราสีขาวยาวถึงหน้าอก ตรงหว้างคิ้วเป็นลายเมฆสีทอง บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่น ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นเซียนโหยวอี ประมุขปราสาทดำเนินเซียนนั่นเอง กำลังมองเบื้องล่างอย่างเงียบๆ
ในหุบเขาน้ำแข็งที่มีรอยแยก ใต้น้ำแข็งที่ปกคลุมราวกับมีของบางอย่างกำลังหายใจ หิมะที่กระเพื่อมขึ้นลงพลันแตกออกจากกัน เผยคากคกร่างมหึมาตัวหนึ่ง ทั้งตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง ใต้เกล็ดน้ำแข็งทุกแผ่นล้วนมีเปลวเพลิงรูปคนกำลังกระโดดโลดเต้น ตาใหญ่ของคากคกเปิดลืมขึ้นอย่างช้าๆ มองไปบนฟ้าที่มีลมหนาวพัดวูบ พอบนตัวกระพริบแสง ก็หดกลายเป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนพุ่งขึ้นฟ้าอย่างฉับพลัน
ส่วนชุดสีขาวดุจหิมะเช่นกัน เพียงแต่ร่างกายอ้วนไปหน่อย ลอยอยู่กลางอากาศ กำลังสบตากับโหยวอี
“อินเอ้อร์หลาง นอนหลับสบายไหม?” โหยวอีถามเสียงเรียบ
ชายอ้วนชุดขาวที่ถูกเรียกว่าอินเอ้อร์หลางมองไปรอบๆ แล้วขมวดคิ้วถาม “โหยวอี? ทำไมเป็นเจ้าได้…”
ยามค่ำคืน ดวงดาวเดียรดาษ คลื่นน้ำจากมหาสมุทรตัดกระเพื่อมบนทรายละเอียดระลอกแล้วระลอกเล่า
จั่วเอ๋อร์เดินออกมาท่ามกลางป่าทึบภายใต้ทิวทัศน์ยามราตรี เดินเข้าไปในถ้ำที่มืดสลัวแห่งหนึ่ง
พอมาถึงปลายสุด ก็หยุดอยู่ริมหน้าผาในท้องภูเขา มองลงไปที่แอ่งกระทะเบื้องล่าง
ในแอ่งกระทะ กระดูกขาวกองเป็นชั้นๆ เสาทองแดงต้นหนึ่งตั้งอยู่กลางกระดูกขาว หนานโปที่เปลือยท่อนบนอยู่ใต้เสาทองแดงกำลังหลับตานั่งสมาธิ ไม่น่าเชื่อว่าบนร่างกายที่แข็งแรงกำยำจะมีลำแสงหลากสีไหลเวียน เหมือนลายมังกร แล้วก็เหมือนลายเมฆด้วย
แอ่งกระทะตรงท้องเขาที่เดิมทีควรจะมืดมิด หนานโปเราก็เป็นหิ่งห้อยหยุดทำกลางราตรี หิ่งห้อยที่ส่งแสงวิบวับสะดุดตา
หนานโปอยู่ในสภาพนี้มาเป็นเวลาสิบปีเต็มแล้ว นั่งสมาธิอยู่ที่นี่เป็นเวลา สิบปีเต็มโดยไม่ขยับไปไหน และลำแสงหลากสีบนร่างกายกลับยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
สิบปีนี้หนานโปไม่ได้ให้นางส่งคนมาให้เขาฝึกตนอีก นางไม่รู้ด้วยว่าหนานโปจะอยู่ในสภาพนี้อีกนานแค่ไหน ช่วงนี้นางมาเยี่ยมหลายครั้ง เป็นเพราะความเคลื่อนไหวที่เหมือนพลิกแผ่นฟ้าแผ่นดินด้านนอก นางคิดว่านี่คือโอกาสดี ทว่าหนานโปเคยบอกแล้วว่าการฝึกตนของเขาสำคัญกว่าทุกอย่าง ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเขา ก็ห้ามเคลื่อนไหวโดยพลการ ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่กล้าวู่วามทำอะไร
แอบถอนหายใจเงียบๆ เฮือกหนึ่ง แล้วจั่วเอ๋อร์ก็หันตัวไป เดินไปบนชายหาดแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ไม่รู้ว่าต้องหลบซ่อนไปจนถึงเมื่อไหร่
ทันใดนั้น ข้างหลังก็มีแสงสว่างวาบ จั่วเอ๋อร์หันกลับไปมอง เห็นเพียงในถ้ำภูเขามีแสงสว่างแวววาวส่องยิงออกมา คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กลุ่มหนึ่งที่โหมซัดสาดจนทำให้คนเกือบหยุดหายใจ มันกระเพื่อมไปสี่ด้านแปดทิศโดยมีจุดศูนย์กลางเป็นถ้ำภูเขา
จั่วเอ๋อร์หันตัวมาช้าๆ แล้วเบิกตากว้าง
คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่กระจายออกไปพลันหดกลับเข้ามาในถ้ำภูเขา แสงสว่างในถ้ำก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ช่วยปิดตาเดียวก็กลับสู่ความมืดมิดอีกครั้ง
นางรีบเดินเข้าไปในถ้ำ อยากจะดูคืออะไรกันแน่ พอเดินมาถึงปากถ้ำก็ชะงักไป จากนั้นก็ถอยหลังมายืนข้างๆ โค้งตัวเล็กน้อยพร้อมกล่าวทำความเคารพ “ผู้อาวุโส!” พอนางเหลือบตาขึ้นมองก็อึ้งนิดหน่อย พบว่าสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วของหนานโปหายไปแล้ว
หนานโปผิวกายสีทองแดง ศีรษะล้านสะท้อนแสงอยู่ภายใต้แสงจันทร์ กำลังเดินเท้าเปล่าไปบนชายหาดอย่างช้าๆ ต้นมะพร้าวต้นหนึ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าเขาพลันกลายเป็นผุยผงปลิดปลิวไปอย่างเงียบเชียบ แล้วหนานโปก็หยุดยืนนิ่งๆ อยู่บนชายหาด
จั่วเอ๋อร์ไม่รู้ตัวเองมองผิดไปหรือเปล่า รีบเดินตามไป พอตามไปถึงด้านข้างก็มองอย่างเงียบๆ อีก พบว่าสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วหนานโปหายไปแล้ว นางนึกเชื่อมโยงไปถึงลำแสงแวววับก่อนหน้านี้ เดี๋ยวลองถามว่า “ผู้อาวุโส วรยุทธ์ของทางกลับมาแล้วใช่ไหม?”
หนานโปที่จมูกโด่งและหน้าเป็นโครงกระดูกชัดเจนเงียบไปครู่เดียว ก่อนจะตอบช้าๆ ว่า “ยังไม่ฟื้นกลับมาในระดับสูงสุด แต่ก็ได้ระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กลับมาแล้ว เพียงพอแล้วเช่นกัน ต่อให้เป็นในปีนั้นตอนที่ผู้แข็งแกร่งหลายคนยังอยู่ ก็ไม่มีคนไหนที่เป็นคู่ต่อสู้ของข้า”
จั่วเอ๋อร์ดีใจมาก ขณะกำลังจะกล่าวชม จู่ๆ ก็เห็นหนานโปเงยหน้ามองฟ้า นางมองตามเขา เห็นเพียงดาวตกหลายสายแฉลบผ่านท้องฟ้าราตรีไป
ไม่รู้แขนข้างหนึ่งของหนานโปยื่นออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ขยุ้มนิ้วทั้งห้าไปทางท้องฟ้า คว้าไปทางดาวตกหลายดวงที่วาดผ่านท้องฟ้า รอบกายมีกระแสลมพัดแรง ปรากฏการณ์ธรรมชาติเปลี่ยนแปลงทันที อีกทั้งทะเลที่นับว่าเงียบสงบก็เกิดคลื่นโหมซัดสาดภายในชั่วพริบตาเดียว
จั่วเอ๋อร์ไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า พบว่าดาวตกดวงนั้นเหมือนจะค้างอยู่กลางท้องฟ้า ไม่ใช่สิ เหมือนมันจะเปลี่ยนทิศทางแล้ว
พอใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองไป ก็พบว่าดาวตกดวงนั้นกำลังพุ่งมาทางนี้แล้ว
ลำแสงแวบผ่านไปอย่างรวดเร็ว กลายเป็นอุกกาบาตสีดำขลับพุ่งมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง
อุกกาบาตที่ขนาดใหญ่เท่าโต๊ะหนึ่งตัวพุ่งเข้ามาท่ามกลางลมพายุ ตอนที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง จู่ๆ หนานโปก็ขยุ้มมือบีบไว้
ปั้ง! อุกกาบาตระเบิดกลายเป็นผุยผง ลมแรงที่พัดเข้ามาก็หยุดชะงักและหายไปเช่นกัน
จั่วเอ๋อร์ตกใจจนอ้าปากค้าง ในหัวมีความคิดหนึ่งแวบเข้ามา เอื้อมมือเก็บดาว!
…………………………