สียงที่ทำให้คนใจสะท้านท่ามกลางเสียงดังตูมตามกำลังชะล้างอยู่ระหว่างฟ้าดิน
แสงเย็นสีดำที่ยิงออกมาทำให้เกิดรอยแยกมิติตลอดทางเรากับใยแมงมุม ก่อกวนปรากฏการณ์ธรรมชาติ ตรงจุดไหนที่ลูกธนูยิงผ่าน คนก็กระเด็นออกไป
บึ้ม! พื้นดินตรงเขาหลิงซานเป็นรอยแยก เจดีย์สยบปีศาจที่เหมือนภูเขาสูงย้ายออกไปไกลหลายพันจั้ง แสงสีทองบนเจดีย์อับแสงลงในชั่วพริบตาเดียว ตรงกลางตัวเจดีย์ปรากฏรอยแยกเหมือนใยแมงมุม ในรอยแมงมุมมีรู รูหนึ่ง ถูกลูกธนูเทพสังหารยิงจนแตก
ในเจดีย์ ภาพมายาของดาราจักรอันเวิ้งว้างหายไปแล้ว ดาวตกที่พุ่งโจมตีก็หายไปแล้วเช่นกัน ภายในเจดีย์สยบปีศาจปรากฏโครงสร้างที่แท้จริง
แสงกระบี่ที่หมุนวนกำลังวนเวียนอยู่ในท้องเจดีย์ขนาดใหญ่ สายตาเยียบเย็นของประมุขไป๋กวาดมองรูที่ถูกยิงแตกนั่น แล้วถลันตัวออกไปท่ามกลางแสงกระบี่ที่กำลังหมุนวนอย่างหนาแน่น
โลกภายนอก ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไหร่กำลังจ้องรูของเจดีย์สยบปีศาจที่ถูกยิงจนแตกเป็นโพรง
“ดักไว้!” จินหลัวคำรามอย่างโมโหสุดขีด
หลานมู่นำกองทัพพระสังหารฝ่าออกมาเป็นทางเลือดทันที เพิ่งจะพุ่งไปตรงรูนั้น ก็เห็นแสงกระบี่พุ่งออกมาแล้ว แสงกระบี่ที่มโหฬารพันลึกกำลังท่วมท้นใส่กลุ่มคนที่พุ่งเข้ามา ทำให้เกิดเสียงร้องระงมโหยหวน มีดอกเลือดสาดกระจายไม่หยุดท่ามกลางแสงกระบี่ที่ขวักไขว่อย่างดุเดือดรุนแรง
กระบี่บินวนเวียนอย่างอลังการราวกับเมฆ พอเจาะออกมาจากรูนั้น แล้วก็หมุนวนคดเคี้ยวยาวเหยียดขึ้นมาโดยตรง
ท่ามกลางเมฆกระบี่ จู่ๆ ก็พ่นคนออกมาคนหนึ่ง หลานมู่ที่โดนเสียบจนพรุนเหมือนตะแกรงตกลงกระแทกพื้น
เมฆกระบี่ที่หมุนวนขวักไขว่อยู่ในท้องฟ้าพลันกระจายออก ชายคนหนึ่งที่หล่อเหลาไร้เทียมทานอุ้มผู้หญิงที่นอนซบลอยลงเหยียบบนหลังคาเจดีย์สยบปีศาจ ดวงตาเยียบเย็นน้องเหยียบสนามรบที่ชุลมุนวุ่นวาย แล้วก็มองผู้หญิงที่หลับลึกซบอยู่บนบ่าด้วยแววตาอ่อนโยนอีก
อู๋ฉาง หั่วเจินจวิน อินเอ้อร์หลางเงยหน้ามองบนยอดเจดีย์ ดวงตาเผยแววดีใจจนแทบคลั่ง
ประมุขสิบปราสาทดำเนินมองมาพร้อมกันด้วยแววตาดีใจและโล่งใจ ลี่หัวที่มีเลือดเปื้อนมุมปากกำลังสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดประมุขไป๋ ฟันขาวกัดริมฝีปากเงียบๆ ในใจเต็มไปด้วยความขมฝาด
จินหลัวที่ถูกค่ายกลใหญ่ห้าธาตุถ่วงไว้กลับเผยสีหน้าหวาดผวา มองไปบนยอดเจดีย์ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
จินม่านที่พลิกมือคว้าลูกธนูเทพสังหารกลับมา ตอนนี้กำลังมองคนบนยอดเจดีย์ มองผู้ชายที่กำลังมองเหยียดใต้หล้าคนนั้น สีหน้าสื่อหลากหลายอารมณ์
เหยียนซิวถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเยือกเย็น “นั่นคือประมุขไป๋กับประมุขปีศาจเหรอ?”
“อืม!” จินม่านถอนหายใจเบาๆ
“ธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ สังหารให้ข้า!” จินหลัวคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
ท่ามกลางกองทัพพระที่เข่นฆ่าอยู่รอบๆ มีกำลังพลอย่างน้อยแสนกว่าคนเจียดเวลาช้อนธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ขึ้นมา เสียงปั้งๆ ดังถี่ ลำแสงยิงออกมาราวกับสายฝน
บนเจดีย์สยบปีศาจ เมฆกระบี่ขยายวงหมุนอย่างรวดเร็ว คุ้มครองคนบนยอดเจดีย์ไว้ในนั้น ท่ามกลางเสียงระเบิดตูมตามดุเดือด มีกระบี่บินโปร่งแสงถูกโจมตีจนระเบิดกลายเป็นเพลิงเดือดล่องหนไม่ขาดสาย แต่ลูกธนูดาวตกที่ถูกต้านเอาไว้หลายชั้น สุดท้ายก็ยากจะโจมตีเข้ามาตรงใจกลางได้
ลูกธนูดาวตกยิงออกมาบินกลับ กองทัพพระที่คว้าลูกธนูดาวตกเอาไว้กลับส่งเสียงร้องโหยหวน
เปลวเพลิงล่องหนที่แฝงตัวอยู่บนลูกธนูดาวตกถือโอกาสกลับมาด้วย ทันใดนั้นก็เผาไหม้อยู่บนร่างกายพวกเขา ไฟบนร่างกายที่ไม่มีทางสลัดหลุด
ชั่วพริบตานั้น กองทัพพระแสนกว่าที่โจมตีก็ตกหลุมพรางทั้งหมด เสียงร้องโอดครวญดังเป็นแถบ คนที่ได้เห็นฉากนี้ตกตะลึงถึงขีดสุด
เพียงชั่วดีดนิ้วกำลังพลก็เสียหายไปแสนกว่าแล้ว เหยียนซิวสูดหายใจอย่างตระหนก
เมฆกระบี่ฝั่งที่หันเข้าหาจินหลัวพลันแหว่งเป็นโพรง เผยร่างประมุขไป๋ที่ยืนอยู่บนยอดเจดีย์ เสียงราบเรียบของประมุขไป๋ดังมา “หลีกไป!”
ห้าประมุขปราสาทดำเนินที่ใช้ค่ายกลใหญ่ห้าธาตุล้อมเงาพระพุทธรูปใหญ่รีบหลีกทางให้
เมื่อสบสายตากับประมุขไป๋ จินหลัวก็ขี้ขลาดหวาดกลัว เมื่อค่ายกลคลายออกและได้รับอิสระ ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เลี้ยวหนีทันที
เมฆกระบี่ที่เกาะกลุ่มหนาแน่นอยู่บนยอดเจดีย์พุ่งออกไปราวกับมังกรบิน ไล่ตามด้วยความเร็วสูง กองทัพพระรอบๆ ที่มาขวางทางถูกแสงกระบี่ที่ยิงออกจากเมฆกระบี่เสียบจนล้ม ไม่มีใครขวางได้เลย สาเหตุหลักเป็นเพราะเมฆกระบี่หนาแน่นเกินไปและรวดเร็วเกินไปด้วย สามารถควบคุมกระบี่บินได้จำนวนมากพร้อมกันขนาดนี้ แค่คิดก็รู้แล้วว่าสติปัญญาของเขาเป็นอย่างไร
เมื่อเห็นว่าโดนตามทัน เงาพระพุทธรูปใหญ่ก็ตบฝ่ามือมือออกมาหนึ่งครั้ง
เมฆกระบี่พังทลายกลายเป็นทะเลเพลิงเดือดล่องหน มีแสงสีฟ้าและแดงลอยขึ้นมา แตกออกเป็นหยินหยาง ชั่วพริบตาเดี๋ยวก็หลอมเผาเงาพระพุทธรูปใหญ่ที่ปกป้องร่างกายจินหลัว
ประมุขไป๋ที่ใช้แขนข้างเดียวอุ้มประมุขปีศาจถลันตัวออกจากทะเลเพลิง ถือโอกาสใช้มือรวมเพลิงให้เป็นกระบี่ ทำให้จินหลัวลนลานทำอะไรไม่ถูก กระบี่เล่มหนึ่งตัดศีรษะจินหลัวกระเด็นไปแล้ว ความเร็วนี้ทำให้จินหลัวที่ถูกพัวพันอยู่ในทะเลเพลิงยังไม่ทันรู้ตัวว่าอะไรเป็นอะไร
จินหลัวรู้เพียงว่าในทะเลเพลิง ฝ่ายตรงข้ามปรากฏตัวอยู่ข้างกายกะทันหันแล้วผ่านไป จากนั้นตัวเองก็ไม่รับรู้อะไรแล้ว
“ไป!” เสียงเรียบนิ่งของประมุขไป๋ดังก้องอยู่ระหว่างฟ้าดิน ทะเลเพลิงเดือดม้วนจมหายไปในร่างกายเขาในชั่วพริบตาเดียว มือข้างหนึ่งถือกระบี่ อุ้มผู้หญิงที่ซบไหล่เขาพุ่งขึ้นฟ้าไป ไม่หันกลับมาอีก
แค่ชั่วพบหน้ากันก็สังหารจินหลัวได้แล้ว ถามหน่อยว่าที่เขาหลิงซานยังจะมีใครกล้าลองกับความแหลมคมของเขาอีก ตรงทางข้างหน้าไม่มีใครกล้าขวาง
อู๋ฉาง หั่วเจินจวิน อินเอ้อร์หลางหัวเราะลั่น คนของสิบปราสาทดำเนินทยอยกันเรียกศิษย์ของสำนักตัวเอง แล้วตามไปอย่างรวดเร็ว
คนกลุ่มหนึ่งหายไปในท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องรบราฆ่าฟันที่เหลือตรงนี้ พวกประมุขไป๋ไม่ได้สนใจเลยสักนิด ถึงขนาดไม่หันกลับมามองแม้แต่ครั้งเดียวด้วย
เหยียนซิวกับจินม่านมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ครั้งนี้มาก็เพื่อช่วยเหลือประมุขไป๋ หลังจากได้รับความช่วยเหลือแล้วก็ไม่พูดจาเกรงใจสักคำ บทจะไปก็ไปแล้ว
เหยียนซิวรีบนำระฆังดาราออกมารายงานสถานการณ์ทางฝั่งนี้ให้เหมียวอี้รู้
การเข่นฆ่ายังคงดำเนินต่อไป แต่มีทัพใหญ่ของหลงซิ่นมาสนับสนุนแล้ว สถานการณ์มีแนวโน้มจะไปในทิศทางเดียวแล้ว
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี กองทัพพระก็เริ่มหนีหัวซุกหัวซุน
ปูสถานการณ์สู้รบไว้มั่วเกินไป ฝั่งนี้สกัดทุกคนที่หลบหนีไม่ได้ อย่างน้อยก็มีรอดไปได้หลายล้านแล้ว…
รอเงียบๆ อยู่ในอาณาเขตดาวนิรนาม ตาทิพย์กำลังสำรวจความเคลื่อนไหวกำลังพลฝ่ายศัตรูสองฝั่ง เขาได้รับข่าวจากเหยียนซิวแล้ว รู้แล้วว่าประมุขไป๋พาประมุขปีศาจหนีไปแล้ว เหมียวอี้เกิดความรู้สึกสับสนอย่างประหลาด
ที่จริงเรื่องที่จะช่วยประมุขไป๋ออกมาหรือไม่ ในใจเขามีความลังเลนี้มาตลอด ไม่ใช่ว่าไม่อยากช่วย แต่บางเรื่องที่ประมุขไป๋ทำไว้ก็ทำให้ในใจเขามีความกังวล เขาเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองคิดมากไปหรือเปล่า ความคิดของเขาเองนั้นไม่ต้องพูดถึง รวมทั้งคนฉลาดทั้งสองคนที่เขาคลุกคลีด้วย ขนาดเซี่ยโห้วท่ากับหยางชิ่งยังหวาดระแวงกับพฤติกรรมบางอย่างของประมุขไป๋เลย
ตอนแรกแผนการโจมตีเขาหลิงซาน ช่วยเหลือประมุขไป๋ไม่ใช่เป้าหมายหลัก แต่เป็นเพราะอยากล่อกำลังพลของประมุขชิงกับประมุขพุทธะให้กลับไปช่วย เขาจะได้ลงมือกับก่วงลิ่งกงได้สะดวก ต่อให้จะช่วยชีวิตออกมาแต่ก็เป็นการถือโอกาสทำเท่านั้น ไม่นับว่าเต็มใจเท่าไหร่นัก
เขารู้สึกว่าฝั่งประมุขไป๋เหมือนจะสังเกตได้เช่นกันว่าเขาไม่ค่อยเต็มใจ ก็เลยมีกำลังพลของสิบปราสาทดำเนินโผล่มาเจอกับพวกเหยียนซิว
และสิ่งที่ทำให้เขาตัดสินใจลงมือจริงๆ ก็คือเทพพยากรณ์ที่ติดต่อผ่านระฆังดารามากะทันหัน
คำเตือนของเทพพยากรณ์เหมือนจะมีความหมายล้ำลึก
ความลับเรื่องพิภพเล็กอาจจะไม่สำคัญเท่าไหร่ แต่ความปลอดภัยของคนที่พิภพเล็กกลับเป็นของจริงที่เห็นๆ กันอยู่ เทพพยากรณ์ที่ไม่ได้ติดต่อมาหลายปีจู่ๆ ก็ส่งข้อความมา เขาพอจะตระหนักได้ว่าเบื้องหลังคำพูดของเทพพยากรณ์ยังมีอีกความหมายสำคัญซ่อนอยู่…ถ้าไม่ไปก็ต้องเตรียมตัวรับผลที่จะตามมา!
เขาคิดว่าคงจะได้พบหน้ากับประมุขไป๋ในเร็วๆ นี้แล้ว เมื่อพบกันอีกครั้ง ก็ไม่รู้ว่าระหว่างทั้งสองจะเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร ไม่รู้ว่าช่วยเหลือภัยพิบัติใหญ่หลวงออกมาแล้วหรือเปล่า!
ตาทิพย์จ้องไปยังรถมังกรที่อยู่ลึกในดาราจักร สายตาดีมากขึ้นกว่าเดิม มองทะลุเข้าไปในรถมังกรโดยตรง เหมียวอี้เดาว่าสองคนนั้นน่าจะรู้ความจริงแล้ว
ในรถมังกรเงียบเชียบ ประมุขชิงกับประมุขพุทธะรู้เรื่องแล้วจริงๆ รู้แล้วว่าจินหลัวโดนประมุขไป๋สังหารเพียงแค่ชั่วพบหน้ากัน สิ่งนี้เท่ากับอธิบายแล้วว่าประมุขไป๋ที่ถูกขังอยู่ในเจดีย์สยบปีศาจมาหลายปีขนาดนี้ แต่พลังไม่ได้ลดหายไปเลย
ทั้งสองมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่มีใครรู้ความรู้สึกของพวกเขาในตอนนี้
อย่าว่าแต่พวกเขาสองคนเลย แม้แต่ซ่างกวนชิงกับพวกโพ่จวินก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน
ต่อให้เป็นโพ่จวิน ก่อนหน้านี้พูดเรื่องหลักการแยกแยะความสำคัญก็ส่วนหลักการ แต่เมื่อรู้ว่าประมุขไป๋หลุดออกมาแล้วจริงๆ ความกดดันที่ตามมาด้วยก็ยังคงอยู่ สิ่งที่ประมุขไป๋พูดทิ้งท้ายไว้ในปีนั้นยังชัดเจนอยู่ข้างหู บอกว่าสักวันจะกลับมาคิดบัญชีกับพวกเขา!
ในห้องเล็กด้านใน จ้านหรูอี้เงี่ยหูฟังบทสนทนาด้านนอก กำลังทำสีหน้าครุ่นคิดปนประหลาดใจ เคยได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับประมุขไป๋คนนั้นมาเยอะเกินไป ไม่รู้ว่าเป็นตัวละครแบบไหนกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้คนพวกนี้หวั่นเกรงขนาดนี้ นางรู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าถ้าปล่อยข่าวที่ประมุขไป๋หลุดออกไป บรรยากาศข้างนอกก็จะเปลี่ยนเป็นกดดันทันที
“อารามแปดทิศไม่จำเป็นต้องเฝ้าแล้ว บอกให้พวกเขาคิดหาทางมาผนึกกำลังกับฝั่งนี้” ประมุขพุทธะบอกจินฉื้อ แล้วก็บอกประมุขชิงอีกว่า “ข้าจะกลับไปเตรียมตัวสักหน่อย”
“อืม!” ประมุขชิงพยักหน้า ประมุขพุทธะนำคนกลับไปที่รถมังกรของตัวเอง
เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ประมุขชิงก็กวาดสายตามองคนที่เหลือ “โพ่จวินอยู่ก่อน”
พวกซ่างกวนชิงได้ยินแล้วก็รู้ว่าหมายความว่าอะไร เป็นฝ่ายถอยหลบออกไปเอง
โพ่จวินมองเขา ไม่รู้ว่าเขาจะกำชับอะไร
“มากับข้าหน่อย” ประมุขชิงเรียก แล้วนำโพ่จวินเข้ามาในห้องโดยตรง ตามหลักแล้วนี่คือสถานที่ที่ห้ามไม่ให้ผู้ชายคนอื่นเข้ามา
หยินซวง ไป๋เสวี่ยที่ม้วนม่านไข่มุกขึ้นก็แปลกใจเช่นกัน ไม่รู้ว่าประมุขชิงพาโพ่จวินเข้ามาทำไม แบบนี้ไม่เหมาะสม
“หรูอี้” ประมุขชิงตะโกนเรียก บอกใบ้ให้จ้านหรูอี้ยืนขึ้น ชี้ไปที่โพ่จวินพร้อมบอกว่า “ถึงแม้ข้าจะไม่พอใจโพ่จวิน แต่โพ่จวินกลับเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุด เข้าใจใช่ไหม?”
หลายคนที่อยู่ในนี้ไม่รู้ว่าเขาพูดแบบนี้หมายความว่าอะไร โพ่จวินเม้มริมฝีปากแน่น
ประมุขชิงชี้ไปที่จ้านหรูอี้พร้อมพูดกับโพ่จวินอีก “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่พอใจนางมาก แต่ไม่ใช่เพื่ออะไรอย่างอื่น ได้โปรดเห็นแก่หน้าข้า เห็นแก่หน้าเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า” เขาชี้ไปบนท้องนูนของจ้านหรูอี้ “วันนี้ ข้าฝากฝังนางไว้กับเจ้า!” จากนั้นก็นำแผ่นหยกแผ่นหนึ่งยื่นให้โพ่จวิน “นี่คือแผนที่ดาวสำหรับผ่านไปอาณาเขตดาวนิรนามแห่งหนึ่ง มีดาวเคราะห์ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยดวงหนึ่ง เป็นทางหนีทีไล่สุดท้ายที่ข้าเตรียมไว้ให้ตัวเองมานานแล้ว คนที่รู้เรื่องนี้ข้าปิดปากไว้หมดแล้ว ทางนั้นปลอดภัยมาก เจ้าพาหรูอี้ไปหลบที่นั่นก่อน!”
พอกล่าวสิ่งเหล่านี้ออกมา หลายคนในห้องก็สะเทือนใจ
โพ่จวินที่ใช้สองมือรับแผ่นหยกก็ยิ่งตกใจไม่เบา “ฝ่าบาท ยังไม่ทันตัดสินแพ้ชนะ เหตุใดจึงท้อแท้สิ้นหวัง?”
ประมุขชิงโบกมือ “ไม่ใช่ท้อแท้สิ้นหวัง แต่กันไว้ดีกว่าแก้ ถ้าเรื่องนี้ราบรื่นก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ราบรื่น…ข้านำสนมรักและเลือดเนื้อเชื้อไขของข้าฝากฝังไว้ที่เจ้าแล้ว ข้าเตรียมทรัพยากรฝึกตนไว้ที่นั่นล่วงหน้าเพียงพอแล้ว เพียงพอให้พวกเจ้าใช้ไปทั้งชาติ ถ้าข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าช่วยข้าดูแลพวกนางแม่ลูกด้วย แน่นอน ถ้าทุกอย่างราบรื่น ข้าย่อมรับพวกเจ้ากลับมา”
จ้านหรูอี้ก้มหน้าเล็กน้อย หยินซวง ไป๋เสวี่ยกลับระแวงสงสัย อย่าบอกนะว่าสถานการณ์ไม่ดีจนถึงขั้นที่ฝ่าบาทต้องเตรียมตัวสั่งเสียแล้ว?
โพ่จวินตาแดงแล้ว นี่คือการฝากฝังสิ่งที่สำคัญที่สุดไว้ให้ตัวเอง นี่ต้องเป็นความไว้เนื้อเชื่อใจมากขนาดไหนกัน เขาส่ายหน้าบอกว่า “ฝ่าบาท ข้าน้อยบัญชาการกองทัพองครักษ์ได้คล่องแคล่ว ถ้าอยู่ข้างกายฝ่าบาทยังสามารถช่วยได้บ้าง ฝ่าบาทฝากฝังเรื่องสำคัญเช่นนี้ให้คนอื่นเถอะ!”
…………………………