ปรากฏการณ์ค่อนข้างแปลกประหลาด
ไป๋เหนียงจื่อเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าอิ๋งเยว่ไม่พูดพร่ำทำเพลงกับนางเลย พุ่งเข้าไปหาไป๋เหนียงจื่ออย่างนี้แล้ว พอนางโบกมือ รอยแยกมิติรอยหนึ่งก็กลายเป็นเงาแส้วิบวับฟาดออกไปราวกับงูน้อยนับไม่ถ้วน ราวกับมีสายฟ้าฟาดออกไป ไม่ว่าใครก็มองออกทั้งนั้นว่ามีอานุภาพการโจมตีสูงมาก
ไป๋เหนียงจื่อที่กำลังประนมมือเผยมือข้างหนึ่งออกมา พอผลักมือออกไป เงาฝ่ามือหยกขาวออกไปรับราวกับป้ายศิลาจารึก
บึ้ม! เงาแส้พังทลาย แก้เผ็ดได้อย่างไม่เปลืองแรง พิสูจน์แล้วว่าวรยุทธ์ของทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันเลย
อิ๋งเยว่ยังคงพุ่งเข้ามาไม่หยุด ตอนที่เข้าใกล้ นางกางแขนสองข้างโอบ ดึงเปียที่หนาแน่นอยู่ข้างหลังฟาดออกไป เปียยาวขยายอย่างรวดเร็ว ราวกับมีชามใหญ่ใบหนึ่งกำลังครอบไปที่ไป๋เหนียงจื่อ
“อามิตตาพุทธ!” ไป๋เหนียงจื่อเอ่ยนามพระพุทธเจ้าเบาๆ ประนมสองมือตรงหน้าอก ทันใดนั้นทั้งตัวก็ระเบิดแสงสีขาวอ่อนโยนออกมา ในร่างกายราวกับมีพระอาทิตย์ขึ้น เปียที่โอบเข้ามายังไม่ทันรัดพันไป๋เหนียงจื่อได้ ก็ถูกแสงสีขาวอ่อนละมุนขยายออกเหมือนลูกโป่ง ยากที่จะสัมผัสถึงตัวไป๋เหนียงจื่อได้
อิ๋งเยว่โบกแขนไม่หยุด ร่างกายถอยหลัง มองออกเลยว่านางอยากมัดให้แน่น
ฉากนี้ทำให้คนไม่น้อยตกใจ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองล้วนสามารถควบคุมแสงสว่างได้เหมือนเป็นวัตถุจริง
พระปีศาจหนานโปสังเกตความยืดเยื้อระหว่างทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ทำไมไป๋เหนียงจื่อถึงต้านทานอย่างเดียว แต่ไม่ยอมโต้ตอบล่ะ! ยังใช่ไป๋เหนียงจื่อคนโหดอยู่หรือเปล่า?” อินเอ้อร์หลางที่อยู่บนเรือมังกรอเวจีร้อนรนเล็กน้อย
เขาเพิ่งจะพูดจบ มาตั้งแต่ต้นก็เหมือนจะกระตุ้นการตอบสนองของไป๋เหนียงจื่อแล้วจริงๆ จู่ๆ แสงสีขาวอ่อนละมุนที่ห่ออยู่ในเงามิติก็เหมือนดวงอาทิตย์ที่โผล่พ่นทะเลเมฆ เบ่งบานเป็นเหมือนลำแสงหมื่นจั้ง
บึ้ม! เงาเปียที่อิ๋งเยว่พยายามดึงให้แน่นพังทลายในชั่วพริบตาเดียว ระเบิดกลายเป็นความว่างเปล่า
อั้ก! อิ๋งเยว่เงยหน้ากระอักเลือดสดออกมาคำหนึ่ง ถูกทำให้สะเทือนออกไปแล้ว
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองเป็นคู่ต่อสู้ที่อยู่คนละระดับ ไป๋เหนียงจื่อก็แค่ไม่โต้ตอบเท่านั้น แต่พอโต้ตอบ อิ๋งเยว่ก็ไม่มีทางต้านไหวเลย
จั่วเอ๋อร์ถลันตัวออกมา อุ้มอิ๋งเยว่กลับไป
คนตรงนี้ยังไม่ทันกลับไปถึง พระปีศาจหนานโปก็ถล่มฝ่ามือออกมาแล้ว ราวกับอัสนีจากท้องฟ้าไกลโพ้นวาดผ่านดาราจักร เงาของรอยแยกมิติราวกับเป็นสายฟ้าถล่มลำแสงที่เบ่งบานบนตัวไป๋เหนียงจื่อ เมื่ออานุภาพการโจมตีเจอกับแสงสีขาว ภายใต้การเพิ่มลดที่สวนทางกัน เผยให้เห็นเงาหมัดขนาดใหญ่เงาหนึ่ง ฝั่งหนึ่งของแสงสีขาวที่ถูกโจมตีหดลงอย่างรวดเร็ว แสงสีขาวถูกหมัดทำลายพังโดยสิ้นเชิง
ไป๋เหนียงจื่อสะเทือนจนลอยถอยหลังไปไกลกว่าจะยืนนิ่งได้ เริ่มมองพระปีศาจหนานโปด้วยสีหน้าจริงจังมากขึ้น
“นึกไม่ถึงว่าในโลกนี้จะมียอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โผล่มาอีกคน!” พระปีศาจหนานโปกล่าวเสียงเย็น เมื่อลูกศิษย์เสียเปรียบ เขาในฐานะอาจารย์ก็ลงมือทันที การลงมือครั้งนี้วัดระดับได้แล้ว พบว่าอีกฝ่ายก็แค่เท่านี้เอง เขาจ้องไปที่ไป๋เหนียงจื่อด้วยแววตากระหาย “วิชาทลายมิติ ตัดข้ามดาราจักรของเจ้าน่ะ ข้าสนใจมาก!”
ก่อนหน้านี้เขายังนึกว่าพลังของไป๋เหนียงจื่อแข็งแกร่งถึงระดับทลายมิติ ตัดข้ามดาราจักรได้ ทำให้เขาไม่กล้าวู่วามทำอะไร แต่พอประมือกันก็พบว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย ตัวเองตกใจไปเองทั้งนั้น อีกฝ่ายน่าจะรู้วิชาอะไรสักอย่างมาก วิชานี้ดึงดูดใจเขามากจริงๆ เขาอยากครอบครองมาก
ยอดฝีมือระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์? หั่วเจินจวินและอินเอ้อร์หลางที่อยู่บนเรือมังกรเผยสีหน้าตกตะลึง เหมือนไม่มีทางเชื่อได้ ไป๋เหนียงจื่อบรรลุวรยุทธ์ถึงระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างนั้นเหรอ? ไม่น่าเชื่อว่าจะผ่านด่านยากขนาดนี้ได้ จริงหรือโกหก พระปีศาจไม่ได้หลอกใช่มั้ย?
ประมุขไป๋ที่อยู่บนตึกเรือตาเป็นประหาย เหมือนจะตกตะลึงอยู่บ้างเช่นกัน
เพียงแต่คนกลุ่มนี้สังเกตสัญลักษณ์พลังตรงหว่างคิ้วไป๋เหนียงจื่อ ตอนร่ายอิทธิฤทธิ์ไม่เห็นสัญลักษณ์พลังแล้ว ก่อนหน้านี้ยังนึกว่าไป๋เหนียงจื่อใช้อะไรปิดบังไว้ ตอนนี้พอพระปีศาจหนานโปเตือนแล้ว ถึงได้รู้ว่าวรยุทธ์ของไป๋เหนียงจื่อกลับสู่สภาพเนื้อแท้แล้ว!
“ระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์…” ประมุขชิงพึมพำ เขากับประมุขพุทธะมองไปที่ไป๋เหนียงจื่อด้วยแววตาประหลาดใจ
ไม่ว่าใครก็รู้ทั้งนั้นว่าวรยุทธ์บรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หมายความว่าอะไร พลังล้วนเป็นเรื่องรอง ความหมายที่สำคัญที่สุดก็คืออายุวัฒนะ
พระปีศาจหนานโปถลันตัวพร้อมเงามิติที่ไม่หายไป พุ่งตรงไปที่ไป๋เหนียงจื่อ รัวหมัดออกมาอย่างต่อเนื่อง เกิดเสียงระเบิดตังตูมตาม ร่องรอยของรอยแยกมิติแวบผ่านไปเหมือนเงาผี รวมตัวกันถล่มไปทางไป๋เหนียงจื่อ เมื่อได้ฟังเสียงความเคลื่อนไหวที่วุ่นวายอยู่ในดาราจักร คนที่ไม่เคยเจอมาก่อนก็ไม่รู้ว่าอานุภาพเป็นอย่างไร
ไป๋เหนียงจื่อสีหน้าเคร่งเครียดมาก พลิกสองมืออย่างต่อเนื่อง ผลักเงาฝ่ามือหยกขาวที่เหมือนหลักศิลาออกมาไม่หยุด ผลักไปหาหมัดที่ถล่มเข้ามา
เงารอยแยกมิติที่ส่อเค้าจะดับสูญราวกับไม้ผุ เงาฝ่ามือหยกขาวพังทลายครั้งแล้วครั้งเล่า คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์กระจายไปรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง ทรงพลังเหมือนผลักภูเขาพลิกทะเล แม้คนที่ดูอยู่ไกลๆ ก็ราวกับถูกพายุ คนที่วรยุทธ์ต่ำพยายามร่ายอิทธิฤทธิ์ต้านไว้อย่างสุดชีวิต
ไม่รู้ว่ามีคนตั้งมากมายเท่าไรรู้สึกทึ่ง การประมือของทั้งสองเมื่อครู่นี้ การเคลื่อนไหวนั้นราวกับจะพลิกคว่ำดาราจักร
กำลังพลในทัพใหญ่ของสองฝ่ายร่ายอิทธิฤทธิ์พร้อมกัน พลังอิทธิฤทธิ์ที่มหาศาลถึงได้ทำให้คลื่นพลังอิทธิฤทธิ์ที่โหมเข้ามาอย่างบ้าคลั่งสลายไป
สู้กันผ่านอากาศยากจะตัดสินแพ้ชนะ จะเห็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายมีวรยุทธ์ต่างกันไม่มาก
พระปีศาจหนานโปตาลุกวาวด้วยความตื่นเต้น จิตวิญญาณการต่อสู้เผยให้เห็นบนใบหน้าตอนที่ปล่อยหมัดออกไป ก็กล่าวเสียงดังก้องว่า “ตั้งแต่สามเซียนโดนสังหาร ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่เคยมีใครเป็นคู่ต่อสู้ข้าอีกเลย ถึงได้รู้ว่าโลกมนุษย์มันเหี่ยวเฉา ว่างเปล่าเดียวดายขนาดนี้ ไม่น่าเชื่อว่าพอข้าลงเขา ก็ตกได้คนหนึ่งทันที ดี! แสดงฝีมือทั้งสองของเจ้าออกมา ดูซิว่าเจ้าจะต้านได้นานแค่ไหน!”
เมื่อพูดจบแล้ว ก็เหมือนว่าการต่อสู้กันทางอากาศไม่สามารถทำให้เขาสะใจได้ เงาคนพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ใช้สองแขนกุมศีรษะ แล้วใช้ร่างกายชนไปทางเงาฝ่ามือหยกขาวเหมือนแผ่นศิลายักษ์ เงาฝ่ามือถูกชนพังตลอดทาง เสียงระเบิดดังก้องดาราจักร
ชั่วพริบตาที่ร่างกายของทั้งสองชนเข้ามาใกล้กัน ทั้งสองตบฝ่ามือออกมา
จีวรดำของพระปีศาจปลิวสะบัดอย่างรุนแรง เงาฝ่ามือที่ตีออกมาราวกับเป็นทองคำ แสงสีทองเจิดจ้าสว่างไสว ขอบเงาฝ่ามือมีรอยแยกเล็กละเอียดเหมือนรอยแยกมิติ ราวกับรอบเงาฝ่ามือถูกคลุมด้วยแสงสีดำหนึ่งชั้น แสงสีทองกับแสงสีดำผสมผสานกันจนสวยงามอย่างประหลาด
ไป๋เหนียงจื่อกระโปรงพลิ้งเปลือยเท้า ผมยาวปลิวสยายไปข้างหลังอย่างรุนแรง ตบเงาฝ่ามือที่ระเบิดแสงสีขาวเข้มข้นออกมา
ชั่วพริบตาที่ฝ่ามือของทั้งสองชนกัน แสงสีทองสุกใสราวกับแสงอาทิตย์ แสงสีทองระเบิดออก แสงสีขาวบริสุทธิ์ก็ระเบิดออกเช่นกัน
แสงสีทองสวยสดตระการตรา แสงสีขาวสง่าผ่าเผย มีลักษณะซื่อตรงและยิ่งใหญ่
ท่ามกลางเสียงดังตูมตาม มิติรอบเงาฝ่ามือใหญ่ทั้งสองที่ชนกันสะเทือนแตก แล้วก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก
แสงสีทองกับแสงสีขาวไม่หายไป แต่แสงสีดำหนึ่งชั้นที่ครอบเงาหมัดสีทองข้ามไปยังแสงสีขาวแล้ว เหมือจะติดอยู่ระหว่างสองฝ่ามือ
ดวงตางามของไป๋เหนียงจื่อเบิกกว้างขึ้นหลายส่วน พบว่าในเงาฝ่ามือของพระปีศาจหนานโปเกิดแรงดึงดูดมหาศาล ไม่ว่าตัวเองจะถอนฝ่ามือกลับมาอย่างไรก็ถอนกลับมาไม่ได้ จึงใช้พลังอิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่งเพื่อจะผลักออกไป แต่กลับพบว่าแสงสีดำที่ก่อตัวจากรอยเล็กที่คล้ายรอยแยกมิตินั้นเหมือนเป็นรอยแตกนับไม่ถ้วน ต่อให้ใช้พลังอิทธิฤทธิ์แข็งแกร่งมากแค่ไหน แต่ก็ซึมหายเข้าไปในนั้นหมดอยู่ดี เหมือนจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อพระปีศาจเลย
เงาฝ่ามือของทั้งสองฝ่ายหดเล็กลงอย่างต่อเนื่อง ในสายตาของคนนอก เหมือนจะถูกสองฝ่ายที่ประมือกันผลักเบียดให้เล็กลงแล้ว
มีเพียงไป๋เหนียงจื่อที่รู้ชัดอยู่แก่ใจที่สุด ว่าตัวเองถูกพระปีศาจกักไว้จนสลัดไม่หลุด ยิ่งทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กัน นางก็ยิ่งมีอันตรายมากขึ้น ฝ่ามืออีกข้างที่ตั้งตรงหน้าอกพลิกจีบนิ้วดีดอย่างต่อเนื่อง เงานิ้วแสงสีขาวยิงออกไปที่ฝ่ายตรงข้าม
พระปีศาจหนานโปแสยะยิ้ม ใช้ฝ่ามือข้างเดียวดึงจีวรดำบนบ่า นำมาตีในมือราวกับเป็นม่านสีดำ ต้านเงานิ้วสีขาวที่ยิงเข้ามาจนหายไป แล้วฉวยโอกาสสะบัดจีวร จีวรกระเพื่อมออกราวกับระลอกคลื่น ไป๋เหนียงจื่อรีบหดมือกลับมาต้านไว้ แต่พระปีศาจกลับฉวยโอกาสสะบัดมือฟัน จีวรดำฟันไปทางไป๋เหนียงจื่อราวกับเป็นคมมีดสีดำ
นิ้วเรียวของไป๋เหนียงจื่อพลิกขยับ หลบหลีกคมสีดำ เอียงหน้าคว้าจีวรดำเอาเอาไว้
ทว่าความเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจก็ได้เกิดขึ้น พระปีศาจหนานโปดึงจีวรสะบัด อีกฝั่งของจีวรในมือไป๋เหนียงจื่อพลันขยายออก ยาวขึ้นเหมือนมังกรคะนองน้ำ ชั่วพริบตาเดียวก็พันขึ้นไปบนแขนไป๋เหนียงจื่อ พันม้วนไป๋เหนียงจื่อไว้อย่างรวดเร็ว
ไป๋เหนียงจื่อตกใจมาก บนตัวระเบิดแสงสีขาวแสบตาออกมา
พระปีศาจกลับต้านฝ่ามือข้างนั้นไว้โดยพลัน แล้วถือโอกาสชกหมัดออกมา โจมตีออกมาอย่างกะทันหันเหมือนฟ้าผ่า
ไป๋เหนียงจื่ออยากจะหลบ แต่กลับถูกพระปีศาจใช้จีวรดึงไว้ ไม่มีทางหลบได้เลย โดนหมัดโจมตีทันที แสงสีขาวจ้าตาที่ระเบิดออกจากตัวก็ถูกหมัดชกกระจายหายไปเช่นกัน
“อุบ!” ไป๋เหนียงจื่อที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรงกระอักเลือดสดออกมาอย่างบ้าคลั่ง
จีวรดำที่ม้วนนางไว้เหมือนจะแบกรับพลังมหาศาลของทั้งสองฝ่ายไม่ไหวจนปรอออก ไป๋เหนียงจื่อที่หลุดออกจากม้วนจีวรถูกสะบัดออกไปแล้ว
พอพระปีศาจสะบัดจีวร จีวรดำก็ลอยกลับมาเบาๆ มาห่มเฉียงไว้บนบ่าอีกครั้ง ชำเลืองมองไป๋เหนียงจื่อด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “ข้ายังทันใช้ฝีมือเต็มที่เลย แค่นี้ก็ทนไม่ไหวแล้วเหรอ? ยังนึกว่าเก่งกาจขนาดไหน ฝีมือแค่นี้ยังกล้าโผล่มาตรงหน้าข้า ช่างไม่ประเมินกำลังตัวเอง!”
ไป๋เหนียงจื่อกระอักเลือดออกมาคำแล้วคำเล่า เลือดแดงย้อมหน้าอกแล้ว เมื่อครู่โดนโจมตีแบบจริงจังเกินไป นางได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว
“คุณชายไป๋! ท่านไม่มีวิธีการเหรอ? ไป๋เหนียงจื่ออยู่ในอันตรายแล้ว ยังไม่รีบห้ามพระปีศาจอีก!”
อู๋ฉางที่อยู่บนเรือมังกรพลันหันไปมองประมุขไป๋ที่อยู่บนตึกเรือ ร้องบอกอย่างกระวนกระวาย ชัดเจนว่ากำลังถามว่าจะทำอย่างไรดี
ประมุขไป๋เหมือนไม่มีท่าทีว่าจะแทรกแซง เพียงส่ายหน้าเบาๆ “ไม่ต้องรีบ ถ้าข้าเดาไม่ผิด ถ้าข้าเดาไม่ผิด ยอดฝีมือที่แท้จริงเบื้องหลังยังไม่ปรากฏตัว!”
“ยอดฝีมือที่แท้จริง?” อู๋ฉาง หั่วเจินจวิน อินเอ้อร์หลางงุนงง
สิบปราสาทดำเนินมองหน้ากันเลิกลั่ก พระปีศาจปรากฏตัวแล้ว แล้วก็มีไป๋เหนียงจื่อที่บรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โผล่มาอีก แค่นี้ก็น่าตกใจพอแล้ว ตอนหลังยังจะมียอดฝีมือที่แท้จริงอะไรอีก?
เกาก้วนเอียงหน้ามองมา แล้วถามว่า “ใคร?”
อู๋ฉางพลันเอามือตบหน้าผาก ถามว่า “ใช่คนที่ไป๋เหนียงจื่อเรียกว่าอาจารย์หรือเปล่า?”
ประมุขไป๋พยักหน้าเบาๆ “ตั้งตารอดูเถอะ!”
พวกหั่วเจินจวินกระจ่างในฉับพลัน ใช่แล้ว ยอดฝีมือที่สอนให้ไป๋เหนียงจื่อบรรลุระดับวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้มีหรือที่จะธรรมดา ขนาดไป๋เหนียงจื่อยังเก่งกาจถึงเพียงนี้ เช่นนั้นผู้เป็นอาจารย์ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงเลย ลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไรกัน
ทุกคนจับจ้องการต่อสู้บนสนามนี้อีกครั้ง
เห็นเพียงไป๋เหนียงจื่อใช้มือข้างหนึ่งกุมหน้าอก ใช้มืออีกข้างหยิบระฆังดาราออกมา ไม่รู้ว่าติดต่อไปที่ไหน
ดาวพิษ ในคลังสมบัติสำนักหนานอู๋ ศีลแปดที่กำลังนั่งสมาธิอย่างนิ่งสงบราวรูปปั้นบนบัลลังก์ดอกบัวพลิกมือเบาๆ ระฆังดาราอันหนึ่งลอยขึ้นมา ลอยมาอยู่ตรงหน้าเขา
ไป๋เหนียงจื่อส่งข่าวมาว่า : ท่านอาจารย์ เคราะห์กรรมทางโลกของท่าน ศิษย์แก้ไขให้ไม่ไหว เกรงว่าท่านต้องลงมือแก้เคราะห์กรรมด้วยตัวเองแล้ว
ศีลแปดตอบว่า : ข้ากำจัดจิตมารได้ยาก ไม่อยากพบพวกเขาอีด อยากตัดทางโลกนี้ หากพบกันอีก เกรงว่าจิตมารจะยิ่งมากขึ้น
ไป๋เหนียงจื่อ : เคราะห์นี้ใหญ่มาก ผู้สร้างเคราะห์คือพระปีศาจหนานโป ศิษย์บาดเจ็บสาหัส สู้ไม่ไหว!
พระปีศาจหนานโป? ศีลแปดที่นิ่งสงบดุจสาวบริสุทธ์พลันลืมตา พึมพาว่า: “อาจารย์ มู่น่า…”