นั่นคือความรู้สึกอบอุ่นอย่างที่อธิบายไม่ถูก
หลังจากสัมผัสกับความรู้สึกนี้แล้ว แม้จะรู้สึกได้ว่าศีลแปดจากไป แต่เหมียวอี้กลับเริ่มปล่อยวางความอาลัยอาวรณ์ในใจลงได้
มีคนจำนวนไม่น้อยยื่นมือไปรับแสงหิ่งห้อยอันอบอุ่นที่เหมือนหิมะโปรยปราย แม้แต่ชิงและพุทธะก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ไม่ว่าใครก็รู้สึกได้ถึงความสงบสุขไร้พิษภัยที่อยู่ในแสงหิ่งห้อยนี้ ไม่กังวลว่าข้างในจะมีกับดักอะไร ยืนฝ่ามือออกไปรับอย่างวางใจ
ชั่ววินาทีที่สัมผัสแสงหิ่งห้อย ตระหนักรู้ที่จะปล่อยวาง มีรสชาติต่างๆ พรั่งพรูขึ้นมาในจิตใจ
เมื่อแสงอันอบอุ่นจมเข้าในฝ่ามือ ฝ่ามือของอวี้หลัวช่าก็งอนิ้วกำแน่นอย่างช้าๆ แต่กลับคว้าจำอะไรไม่ได้ ได้แต่ทำแววตาเลื่อนลอย
หลังจากสองเทพสตรีผู้พิทักษ์ยืนมือไปรับแสงอันอบอุ่นแล้ว ทั้งคู่ก็หลับตาลงเงียบๆ แต่ใบหน้ากลับปรากฏรอยยิ้ม
ขณะที่จ้องแสงอันอบอุ่นที่จมลงในฝ่ามือ ประมุขไป๋ทำท่าครุ่นคิด เงียบงันไม่พูดอะไร
แสงอันอบอุ่นจมลงบนบ่าเทพพยากรณ์ หลังจากหลับตาลงครู่หนึ่ง เทพพยากรณ์ก็ลืมตาช้าๆ แล้วถอนหายใจ “พยากรณ์ผิดแล้ว ใครจะคาดคิด นึกไม่ถึงว่าคนมีวาสนายิ่งใหญ่จะเป็นคนที่ใช้ไม่ได้ คนที่ดูเป็นไปไม่ได้มากทที่สุด ลิขิตสวรรค์ยากคาดเดาจริงๆ”
ร่วงโรย โปรยปราย แสงอันอบอุ่นที่กระจายอยู่ในดาราจักรหายไปท่ามกลางความลึกลับอย่างเงียบเชียบแผ่วเบา มองไม่เห็นอีกแล้ว
พิภพเล็ก ริมทะเลสาบที่มีไอหมอก ตึกชิดภูเขาหลังหนึ่ง จางซินหูกำลังนั่งสมาธิด้วยสีหน้าสงบนิ่ง เขาลืมตาขึ้นช้าๆ แววตากระจ่างสดใส เงยหน้ามองบนท้องฟ้า
แสงอันอบอุ่นจุดหนึ่งลอยลงมาจากฟ้า ราวกับเป็นขนสีขาวบริสุทธิ์ที่ร่วงจากตัวห่าน ลอยเข้ามาตกลงผิวทะเลสาบอย่างเงียบเชียบ ผิวทะเลสาบใสสะอาดเกิดระลอกน้ำกระเพื่อม เงาคนคนหนึ่งตกลงจนละอองน้ำกระเด็น แล้วก็ลอยขึ้นมากลางทะเลสาบอีก จีรวรสีขาวพระจันทร์ ประนมมือยืนบนคลื่น บนตัวครอบด้วยรัศมีขมุกขมัว เป็นศีลแปดนั่นเอง
แม้จางซินหูจะเจอศีลแปดมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ไม่รู้ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับศีลแปด อีกทั้งสง่าราศีที่เสมือนเทพเสมือนปราชญ์ของศีลแปดก็ทำให้ใจเขาเกิดความเลื่อมใส จางซินหูยืนขึ้นอย่างช้าๆ แล้วโค้งตัวประนมมือทำความเคารพ
จางซินหูเป็นคนสงบนิ่งเยือกเย็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว เป็นคนที่มองไม่ออกว่ามีความรู้สึกนึกคิดอย่างไร ปฏิบัติต่อคนอื่นแล้วเรื่องต่างๆ อย่างสุขุมมาตลอด บนใบหน้าสงบนิ่งอยู่เสมอ ตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกกล่อมเกลาจากพุทธธรรมมาตั้งแต่เด็กหรือเปล่า
คนคนหนึ่งยืนอยู่บนกระท่อมชิดภูเขา กำลังมองศีลแปดอย่างสงบนิ่ง แววตาดูสะอาดบริสุทธิ์
ศีลแปดที่อยู่ในครอบรัศมีกำลังมองเขาด้วยใบหน้าอมยิ้ม
สองพ่อลูกไม่พูดอะไรกันสักคำ เพียงจ้องกันอยู่อย่างนั้น แต่เหมือนทั้งสองฝ่ายจะเข้าใจอะไรบางอย่างจากแววตาของอีกฝ่าย
ตรงประตูวัดที่อยู่ตรงไหล่เขาไกลๆ เงาร่างสีขาวพระจันทร์ปรากฏตัว เป็นปีศาจโลหิตที่ห่มจีวรนั่นเอง นางใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองศีลแปดที่ดูบริสุทธิ์ดุจเทพเจ้ายามกำลังลอยอยู่เหนือผิวทะเลสาบที่มีไอหมอก นางประหลาดใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเหตุใดศีลแปดจึงมาทีนี่อย่างกะทันหัน
เมื่อปีศาจโลหิตถลันตัวออกมา ก็ลอยมาเหยียบตรงหน้าศีลแปดเบาๆ จากนั้นประนมมือทักทาย “ศิษย์พี่!”
ศีลแปดหันกลับมายิ้มให้นางเบาๆ ไอหมอกที่ผิวทะสาบพัดกระเพื่อมเข้ามาบังระลอกหนึ่ง ทำให้ร่างของศีลแปดเปลี่ยนเป็นเลือนราง
ปีศาจโลหิตไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า เห็นรางๆ ว่าศีลแปดสั่นไหวเหมือนคลื่น แล้วก็มีเสียงดังจ๋อม กลายเป็นก้อนน้ำก้อนหนึ่งตกลงบนผิวน้ำ น้ำใสกระเพื่อมเป็นคลื่น แล้วจู่ๆ คนก็หายไปอย่างนี้แล้ว
ปีศาจโลหิตยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป รีบโบกแขนเสื้อไล่หมอก แต่ก็ไม่เห็นเงาของศีลแปดแล้วจริงๆ แต่คลื่นน้ำที่กระเพื่อมตรงหน้าก็พิสูจน์แล้วว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกไปเอง
ปีศาจโลหิตรีบร่ายอิทธิฤทธิ์สำรวจโดยรอบ พลางตะโกนเรียก “ศิษย์พี่!”
บนกระท่อมชิดภูเขา จางซินหูที่ยืนประนมมืออยู่ในระเบียงกล่าวอย่างสงบใจว่า “เขาไปแล้ว!”
แม้แต่คำทักทายก็ไม่มีให้ข้าสักคำ ไปอย่างนี้แล้วเหรอ? ปีศาจโลหิตหันกลับไปมองเขา รู้สึกเลื่อนลอยเล็กน้อย
จางซินหูค่อยๆ นั่งขัดสมาธิอย่างสงบใจอีกครั้ง ประนมมืออย่างไม่สะทกสะท้าน ปากพึมพำสวดมนต์เบาๆ…
แดนโพ้นสวรรค์ สถานที่ใหญ่โตทว่าเงียบเหงาเดียวดาย มีเพียงสาวใช้สองสามคนคอยทำความสะอาด
ในตำหนักสวรรค์เก้าชั้นฟ้า เยว่เหยากำลังนั่งขัดสมาธิฝึกตน คลื่นที่ผิดปกติทำให้นางลืมตาขึ้นช้าๆ
แสงอันอบอุ่นจุดหนึ่งลอยเข้ามาตามลม ตรงนอกประตูตำหนักที่ใหญ่โตรโหฐาน แสงอันอบอุ่นขยายใหญ่ กลายเป็นศีลแปดเหยียบลงพื้น ศีลแปดที่อยู่ท่ามกลางแสงสลัวมองนางด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์
“พี่รอง?” เยว่เหยาทั้งประหลาดใจทั้งดีใจ กระโดดลุกขึ้นมาทันที เปลือยเท้ายกกระโปรงวิ่งออกไป สองเท้าเปลือยเปล่า ผมยาวที่ไม่ได้มัดปลิวสะบัด
ถ้าไม่ใช่เพราะถือข้อห้ามว่าชายหญิงมีความแตกต่าง บวกกับรู้ว่าพี่รองค่อนข้างเจ้าเล่ห์ ชอบลงไม้ลงมือลวนลามนาง ทั้งยังชอบพูดจาลามก เรื่องลามกก็ทำไม่เคยขาด ถ้าไม่ใช่เพราะแบบนี้ นางก็ดีใจจนเกือบจะโผเข้าไปกอดแล้วจริงๆ นางหยุดฝีเท้าทัน มายืนตรงหน้าศีลแปด รักษาระยะห่างที่ปลอดภัย ป้องกันไม่ให้ศีลแปดกอดนางซี้ซั้ว
“พี่รอง ท่านมาได้ยังไง?” เยว่เหยากลายเป็นสาวน้อยคนหนึ่งในชั่วพริบตาเดียว เอาสองมือไขว้หลัง บุ้ยปากทำท่าทางออดอ้อน
ถึงแม้พี่รองคนนี้จะไม่เอาไหน แต่ถ้ามองจากบางมุม พี่รองที่เหลวไหลก็ทำให้คนรู้สึกอุ่นใจมากกว่า พี่รองไม่เคยปิดบังความรักความเอ็นดูที่มีต่อนางเลย ทำให้เจ้าเข้าใจได้อย่างชัดเจน เป็นประเภทที่ว่า ถ้าใครมารังแกเจ้าสามบ้านข้า ก็สามารถตะโกนขู่ว่าจะฆ่าเจ้าทั้งตระกูลได้เลย ไม่เหมือนพี่ใหญ่ที่วางมาดเป็นคนสุขุมรอบคอบ เก็บทุกอย่างเอาไว้ในใจ แข็งกร้าวเกินไปแล้ว!
ศีลแปดเผยรอยยิ้มผุดผ่องไร้ราคี เอ่ยคำถามที่สะเทือนจิตวิญญาณและหัวใจโดยตรง “ทุกข์หรือไม่?”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เยว่เหยาเข้าใจทันทีว่าศีลแปดกำลังทำอะไรตน นางอึ้งไปเลย ในดวงตาเริ่มมีน้ำเอ่อทีละน้อย น้ำตาไหลพรากเต็มใบหน้า
ศีลแปดยื่นมือไปแตะตรงหว่างคิ้วของนางเบาๆ ความรู้สึกอบอุ่นไหลเข้าในหัวใจนาง ความตระหนักรู้ต่อการปล่อยวางแจ่มชัดเป็นพิเศษ
ในสายตาที่พร่าเลือนไปด้วยน้ำตา ศีลแปดเราวกับถูกสายลมดึงออกไป ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า และค่อยๆ หายไปในความว่างเปล่า
ยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตา เยว่เหยาเงยหน้ามองเหงาคนที่หายไปในอากาศ นางสายหน้าร้องไห้อย่างเจ็บปวด กล่าวอย่างเศร้าใจสิ้นหวังว่า “พี่รอง อยากไป พี่รอง อย่าทิ้งน้องสามไป…”
“รีบหนีไป!” จั่วเอ๋อร์ที่ประคองอิ๋งเยว่ถ่ายทอดเสียงบอกพรรคพวกตัวเอง และถือโอกาสตอนกลุ่มคนยังไม่หายเหม่อลอยรีบเลี้ยวหนีไป
ไม่หนีคงไม่ได้ พระปีศาจหนานโปหายไปแล้ว อาศัยแค่พวกเขาก็ไม่มีทางท้าทายทัพใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าได้เลย แบบนั้นเท่ากับรนหาที่ตาย มาอย่างมีปณิธาน แต่หนีหัวซุกหัวซุนกลับไป
ไป๋เหนียงจื่อที่ถูกพระปีศาจหนานโปโจมตีจนสาหัสวางสองมือลง หลังจากทอดสายตามองดาราจักรเงียบๆ ครู่เดียว ก็เอามือลูบหน้าอกและคายเลือดออกมาอีกคำ ก่อนจะหันตัวเหาะไปทางเรือมังกรอเวจี
เมื่อเหยียบลงบนเรือแล้ว เห็นนางดูเหมือนบาดเจ็บหนัก อู๋ฉาง หั่วเจินจวินและอินเอ้อร์หลางก็เข้ามาใกล้ บางคนก็ประคองไว้ บางคนก็หยิบสมุนไพรเซียนวิงหัวออกมารักษาอาการบาดเจ็บให้นาง
พระปีศาจหนานโปปรากฏตัวกะทันหัน แล้วก็หายไปอย่างกะทันหัน เหมือนเป็นคนที่อยู่นอกสถานการณ์ ไม่เข้ามาร่วมในศึกนี้ซี้ซั้ว
ส่วนไป๋เหนียงจื่อก็ถูกพระปีศาจหนานโปโจมตีจนสาหัส เหมือนไร้กำลังจะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ทุกอย่างถูกกำหนดด้วยตัวของมันเองอย่างลึกลับ
ไม่ว่าจะเป็นศีลแปดกับไป๋เหนียงจื่อ หรือว่าพระปีศาจหนานโป แต่ละคนทยอยกันลงสนาม แต่กลับเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้
จากนั้นไป๋เหนียงจื่อก็ออกจากสนามไปพร้อมอาการบาดเจ็บสาหัส บรรยากาศที่ทัพใหญ่สองฝั่งคุมเชิงกันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง
ความสนใจของชิงและพุทธะไม่ได้อยู่ที่ตัวเหมียวอี้ อยู่ที่ประมุขไป๋บนเรือมังกรอเวจี ทั้งสองสังเกตได้แล้วว่าประมุขไป๋กำลังจ้องมาทางนี้ด้วยสายตาเยียบเย็น
ประมุขไป๋สร้างความกดดันให้ทั้งสองมาก เดิมทีกะไว้ว่าต่อให้ทัพใหญ่ต่อสู้แพ้ พวกเขาก็ยังถอยออกจากสนามไปได้อย่างราบรื่น ตอนนี้ความมั่นใจนี้กลับเกิดความยากลำบากแล้วไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าประมุขไป๋จะออกจากเขาหลิงซานและตามมาที่นี่เร็วขนาดนี้ เหนือความคาดหมายของทั้งสองคนจริงๆ ทว่าตอนนี้ขี่หลังเสือแล้วลงยาก จะให้ทิ้งกำลังพลที่อยู่ตรงหน้าแล้วหลบหนีไป ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ รบแพ้กลับหลบหนีก่อนลงสนามรบเป็นคนละเรื่องกัน ถ้าเลือกอย่างหลัง ใจคนจะหายไปหมดแน่นอน ไม่มีโอกาสที่จะหวนกลับมาอีกครั้งแล้ว น่าทุกข์ทรมานยิ่งกว่าสังหารพวกเขาเสียอีก คนที่เดินมาถึงจุดของพวกเขาแล้ว ทำไมถึงขั้นจนตรอกก็ไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ
“ฆ่า!”
สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เหมียวอี้เพลงเรื่องของศีลแปดเอาไว้ชั่วคราว โบกมือออกคำสั่งบุกโจมตี ทำลายสันติภาพอันแสนสั้นก่อนหน้านี้ไปแล้ว
“ฆ่า!”
ชิงและพุทธะก็ออกคำสั่งบุกโจมตีพร้อมกัน
ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายระเบิดลำแสงออกมานับไม่ถ้วน ยิงใส่ฝ่ายตรงข้ามอย่างบ้าระห่ำ ชั่วพริบตานั้นเสียงการต่อสู้อันดุเดือดดังสะเทือนดาราจักร
ไม่ว่าจะเป็นพุทธธรรมอันมงคลสงบสุข หลักธรรมอันลึกซึ้ง บรรลุการปล่อยวาง ตราบใดที่ยังมีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาอยู่ ตราบใดที่ยังมีประสาทสัมผัสทั้งหก ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลงได้ยาก
ทัพใหญ่เจ็ดพันล้านของเหมียวอี้บุกโจมตีไปข้างหน้า กำลังพลที่เหลือแบ่งกลุ่มตีโอบเข้าไป ล้อมโจมตีกำลังพลหนึ่งพันล้านของชิงและพุทธะ
วิญญาณชั่วร้ายสิบล้านปรากฏตัวอีกครั้งอย่างเงียบเชียบ อาศัยทัพใหญ่อำพรางตัว เมื่อมาถึงแนวหน้าของขบวนรบ ก็ยิงธนูพร้อมกันสามดอกตามคำสั่ง ลำแสงนับไม่ถ้วนที่มีปราณชั่วร้ายลอยวนเวียนยิงโจมตีไปที่จุดเดียวอย่างบ้าระห่ำ เป็นวิธีการเดียวกับที่ใช้รับมือฉวี่ฉางเทียน โจมตีจุดป้องกันทัพใหญ่ของชิงและพุทธะแตกได้อย่างรวดเร็ว ขบวนทัพรูปลิ่มฉวยโอกาสสังหารเข้าไป ทำลายแนวป้องกันของกองทัพฝ่ายศัตรูเสียเลย
เสียงตะโกนฆ่าดังทะลุฟ้าทันที ทัพใหญ่ของทั้งสองฝ่ายชนปะทะกัน วงล้อมป้องกันทัพใหญ่ของชิงและพุทธะพังทลายทุกด้านอย่างรวดเร็ว ข้าศึกที่โอบล้อมโจมตีเข้าไปจากทุกทิศทุกทาง ต่อสู้กันในระยะใกล้ การตะลุมบอนเข้าสู่จุดเดือด กลิ่นคาวเลือดน่าอนาถ เสียงร้องโหยหวนดังไม่ขาดสาย
อวี้หลัวช่าและสองเทพสตรีผู้พิทักษ์มาคุ้มกันอยู่ข้างกายเหมียวอี้แล้ว
เหมียวอี้กับชิงและพุทธะที่อยู่ในทัพกลางของทั้งสองฝ่ายกำลังสบตากัน ต่างก็สะสมกลิ่นอายสังหารเอาไว้
ชิงและพุทธะชักช้าไม่กล้าเคลื่อนไหวเสียที เป็นเพราะมีเทพสตรีผู้พิทักษ์คอยคุ้มกัน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือประมุขไป๋บนเรือมังกรอเวจีกำลังจ้องมองอย่างดุร้าย
ประมุขไป๋ที่อยู่บนตึกเรือสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ เหมือนกำลังรอให้ชิงและพุทธะถูกกำจัด เหมือนกำลังดูทั้งสองคนรับกรรมที่ทำไว้ในปีนั้น
ขณะมองทัพใหญ่ที่เข่นฆ่าอยู่รอบกาย ในใจชิงและพุทธะเริ่มเศร้ารันทด เผชิญหน้ากับวงล้อมโจมตีที่ได้เปรียบทางด้านกำลังทหาร ทำให้เริ่มรู้สึกได้แล้วว่าสิ่งใดที่เรียกว่าสิ้นอนาคตแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเดินมาถึงวันนี้ได้ ต่อให้ก่อนหน้านี้จะไล่ตามทัพใหญ่ของเหมียวอี้ แต่พวกเขาก็ไม่หมดหนทางและใจสลายแบบนี้ ยังมีปณิธานยิ่งใหญ่ที่จะพลิกสถานการณ์
ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่งแล้วพยักหน้า ในที่สุดก็ตัดสินใจแล้วว่าจะต่างคนต่างลงมือ ชักดาบและกระบี่ออกมาสังหารออกจากทัพกลาง ใช้ดาบและกระบี่ฟันกำลังพลของเหมียวอี้ล้มตลอดทาง ตรงจุดไหนที่สังหารไปถึงก็ไม่มีใครต้านไหว
“เจ้าไม่อยากลงมือล้างแค้นเหรอ?” เกาก้วนที่อยู่บนตึกเอียงหน้าถาม
“ตราบใดที่ผลลัพธ์เหมือนกัน ใครเป็นคนลงมือก็ไม่ต่าง…ข้าไม่อยากแย่งชิงอะไรกับเขา” ประมุขไป๋ตอบเสียงเรียบ
เมื่อเห็นชิงและพุทธะสังหารเข้ามาฝั่งนี้ สังหารเข้ามาตลอดทางเหมือนฝ่าคลื่นตัดลม ไม่มีใครต้านไหว เห็นได้ชัดว่าพุ่งเป้าหมายมายังเหมียวอี้ที่อยู่ในทัพกลาง สองเทพสตรีผู้พิทักษ์กำลังจะออกไปเตรียมโจมตีสกัด แต่เหมียวอี้กลับยื่นมือขวางไว้ ห้ามสองเทพสตรีแล้ว
หยางชิ่งที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้ว กังวลว่าเขาจะทำตัวกล้าหาญโดยขาดสติปัญญาอีก มาถึงขั้นนี้แล้วถ้าเกิดเหตุอะไรไม่คาดฝันก็ไม่คุ้มจริงๆ จึงรีบห้าม “ฝ่าบาท อย่าเข้าไปยุ่งกับอันตรายง่ายๆ!”
เหมียวอี้ไม่สนใจเขา เอียงหน้ากำชับชิงเยว่ที่ทำหน้าที่บัญชาการ
ชิงเยว่พยักหน้าเอ่ยรับคำสั่ง
จากนั้นเหมียวอี้ก็เรียกยอดฝีมือกลุ่มหนึ่งมาคอยคุ้มกัน รีบออกจากทัพกลาง จากการคุ้มครองของทัพใหญ่ทางด้านข้าง
ชิงและพุทธะเปลี่ยนทิศทางอย่างที่คาดไว้ ไล่สังหารไปตามจุดที่เหมียวอี้ไป