เหยียนซู่ชะงักไป แล้วถ่ายทอดเสียงถามว่า “ฝ่าบาทกลัวว่ากองทัพองครักษ์เกาะกลุ่มกันแล้วจะกลายเป็นภัยแฝงในภายหลัง ต้องการจะฆ่าทิ้งให้หมด?”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ในที่สุดหยางเจาชิงก็เข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดในปีนั้นเหยียนซู่ได้รับความสำคัญจากฮ่าวเต๋อฟางแต่กลับไม่ได้เป็นจอมพลพี่มีอำนาจทางทหารดูแลอาณาเขต แต่ถูกฮ่าวเต๋อฟางเก็บไว้ข้างกายเพื่อเป็นผู้ตรวจการคุมทัพอารักขา เขาทำได้เพียงอธิบายทางด้านนี้ “ใต้หล้ากำลังจะรวมการปกครองเป็นหนึ่งเดียว ไม่จำเป็นต้องมีกำลังพลเยอะเกินไป ไม่จำเป็นต้องมีพวกที่เห็นต่างมากเกินไปด้วย”
เหยียนซู่เงียบไปแล้ว ไม่ได้ถ่ายทอดคำสั่งรับกำลังพลที่ยอมสวามิภักดิ์อีก
การรบราฆ่าฟันอันดุเดือดไม่มีท่าทีว่าจะหยุด กำลังพลของอู๋ฉวี่ซึ่งตกอยู่ท่ามกลางความเศร้าโศกไร้ที่สิ้นสุด กองทัพองครักษ์ผู้สง่าผ่าเผยแสดงออกแล้วว่าต้องการจะยอมสวามิภักดิ์ แต่การล้อมโจมตีของฝ่ายข้าศึกไม่มีท่าทีว่าจะหยุดแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ยอมรับทหารที่ยอมแพ้ ต้องการจะฆ่าให้หมด จำเป็นต้องอาบเลือดต่อสู้ ดิ้นรนต่อต้านสุดชีวิต การจะทำให้แหลกราญไปพร้อมกัน…
ขบวนของจั่วเอ๋อร์กำลังเร่งหลบหนีอยู่ในดาราจักรด้วยความตระหนกหวาดกลัว เร่งหนีออกจากอาณาเขตดาวนิรนามผืนนี้
ทว่าจู่ๆ กำลังพลกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหน้า สุดท้ายก็ทำลายฝันของกำลังพลที่เหลือรอดของสายตระกูลอิ๋ง!
ผู้ที่มาขัดขวางก็คือเหิงอู๋เต้าที่เร่งนำกำลังพลตามมาช่วยหลังจากโจมตีอารามแปดทิศ
เดิมทีกลุ่มของพระปีศาจหนานโปติดตามประมุขชิงมา ส่วนพวกประมุขชิงก็ตามมาเส้นทางเดียวกับก่วงลิ่งกง หลังจากกำลังพลของก่วงลิ่งกงยอมสวามิภักดิ์ต่อเหมียวอี้แล้ว สายลับที่อยู่ระหว่างทางก็ย่อมกลายเป็นคนของเหมียวอี้ เมื่อไม่มีพลังอภินิหารของพระปีศาจหนานโปคอยอำพราง ขบวนของจั่วเอ๋อร์ที่กลับทางเดิมก็ย่อมถูกสายลับจับได้
หลังจากเหมียวอี้ที่อยู่ศูนย์บัญชาการได้รับข่าว และรู้ว่ากำลังพลของเหิงอู๋เต้ากำลังมาพอดี ก็ย่อมบอกให้ไปดักไว้
พวกจั่วเอ๋อร์ที่สูญเสียการสนับสนุนด้านข่าวกรองไปแล้ว ยามเผชิญหน้ากับกำลังพลที่เข้มแข็งทั้งยังได้เปรียบด้านข่าวกรองของเหมียวอี้ การอยู่ในอาณาเขตดาวนิรนามนี้ก็เหมือนคนตาบอด เล็กน้อยราวกับมด ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องให้เหมียวอี้จับตาดูเลย เพียงเพราะพวกเขาอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเหมียวอี้ พวกเขาจึงทำให้ตัวเองตกอยู่ในสภาพจนตรอกแล้ว
กำลังพลที่มาขวางอยู่ด้านหน้า กำลังพลที่อยู่โดยรอบปรากฏตัว เหิงอู๋เต้าที่เฝ้าต้นไม้รอกระต่ายแค่เปิดปากกระเป๋ารอ ก็เก็บพวกจั่วเอ๋อร์เข้ากระเป๋าได้แล้ว
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ จั่วเอ๋อร์ก็ตกใจกลัว เรียกทุกคนออกมาทันที หันหลังพึ่งพิงกัน ในมือถืออาวุธเตรียมป้องกัน
อิ๋งเยว่ที่ถูกไป๋เหนียงจื่อโจมตีสาหัส ในตอนนี้ถูกอิ๋งเยว่คุ้มครองไว้ตรงกลาง ใบหน้าฉายแววสิ้นหวัง ทนลำบากเคี่ยวกรำมาหลายปีขนาดนี้ เดิมทีนึกว่าจะสามารถพลิกสถานการณ์ได้ในรวดเดียว แต่กลับตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง ได้แต่แค้นที่สวรรค์ไร้ความยุติธรรมต่อตระกูลอิ๋งถึงเพียงนี้!
เหิงอู๋เต้ามองคนกลุ่มนี้ด้วยสายตาเยียบเย็น เขาแอบรู้สึกสะท้อนใจ ในปีนั้นลิ่งหูโต้วจงได้รับความสำคัญจากอิ๋งจิ่วกวง ตอนหลังอิ๋งจิ่วกวงรบตายตระกูลอิ๋งเสื่อมโทรม ลิ่งหูโต้วจงพาเขามาสวามิภักดิ์ต่อหนิวโหย่วเต๋อ ตอนนี้เวลาผันผ่าน นึกไม่ถึงว่ากำลังพลเก่าของสายตระกูลอิ๋งอย่างเขาจะต้องลงมือกับคนของตระกูลอิ๋ง ช่างมีรสชาติหลากหลายเกิดขึ้นในจริงๆ
ผู้ช่วยผู้บัญชาการฝั่งนี้เผยสีหน้าเย้าหยอก กล่าวด้วยรอยยิ้มกระหายเล็กน้อย “จอมพล ผู้หญิงที่อยู่ตรงกลางเหมือนจะเป็นอิ๋งเยว่ หลานสาวของอิ๋งจิ่วกวงนะ หน้าตาก็ไม่เลว จอมพล ไม่สู้ลิ้มลองสักหน่อยเป็นไร?” เขาใจเต้นนิดหน่อย แม้อิ๋งเยว่จะไม่ได้งามล้ำเลิศอะไร แต่ก็อยากจะลิ้มรสหลานสาวของอ๋องสวรรค์ผู้สง่าผ่าเผยสักหน่อย
เหิงอู๋เต้าเอียงหน้าเหล่ตามอง กล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าลืมพื้นเพของพวกเราไปแล้วเหรอ? ใต้หล้ากำลังจะรวมเป็นหนึ่งเดียว เกรงว่าการกวาดล้างคงจะเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ ถ้ารับคนของตระกูลอิ๋งในเวลานี้ เกรงว่าจะเป็นการทิ้งจุดอ่อนไว้ในมือคนอื่น เบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง?”
ผู้ช่วยผู้บัญชาการชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากคิดได้แล้วก็หัวใจกระตุกวูบ รีบกุมหมัดคารวะกล่าวว่า “สิ่งที่จอมพลเตือนนั้นถูกต้อง เป็นข้าน้อยที่เลอะเลือน”
จั่วเอ๋อร์ชำเลืองกลุ่มคนที่อยู่ข้างกาย ถ่ายทอดเสียงบอกอิ๋งเยว่ว่า “คุณหนู ครั้งนี้เกรงว่าจะไม่มีทางหนีพ้นแล้ว”
อิ๋งเยว่ย่อมเข้าใจเช่นกัน หลับตาลงพร้อมน้ำตา กล่าวอย่างยากลำบากว่า “หลายปีมานี้ลำบากพวกเจ้าแล้ว ยอมแพ้เถอะ!”
จั่วเอ๋อร์ถอนหายใจเบาๆ หันกลับมาตะโกนบอกเหิงอู๋เต้าว่า “เหิงอู๋เต้า พวกเรายอมแพ้!”
เหิงอู๋เต้าไม่สะทกสะท้าน กล่าวเสียงเรียบด้วยสีหน้าเย็นชา “ฆ่า!”
พอออกคำสั่งทางทหาร ผู้ช่วยผู้บัญชาการหันมองลำแสงที่ยิงมาจากทั่วทิศ แอบส่ายหน้าด้วยความปลง ถ้าอิ๋งเยว่ตกอยู่ในมือคนอื่นอาจยังพอมีทางรอดชีวิต อย่างไรเสียเบื้องบนก็สั่งให้สกัดไว้เฉยๆ แต่ดันมาตกอยู่ในมือกำลังพลเก่าสายตระกูลอิ๋งอย่างพวกเขา และพวกเขาก็จำเป็นต้องขีดเส้นแบ่งกับตระกูลอิ๋งให้ชัดเจน…
ในดาราจักร ศพที่ร่างไม่สมบูรณ์ลอยเกลื่อน
เหยียนซู่ยกมือขึ้น การกระทำนี้หมายความการต่อสู้สนามนี้จบลงโดยสมบูรณ์แล้ว
กำลังพลที่นำโดยเหยียนซู่มองไปที่จุดเดียวพร้อมกัน อู๋ฉวี่ที่ทั้งตัวเปื้อนเลือดไม่มีเกราะรบแล้ว เสื้อผ้าขาดหลุดรุ่ย ผมยุ่งกระเซิง บนตัวมีธนูหลายสิบดอกปักอยู่ ดาบตัดม้าในมือยกขึ้นเล็กน้อย ชี้ไปทางเหยียนซู่ มุมปากมีเลือดไหลออกมาไม่หยุด สองตาแดงก่ำ ตะโดนด่าในขณะประคองหายใจว่า “ไอ้โจรกบฏ!”
มือธนูที่อยู่รอบๆ ร่ายอิทธิฤทธิ์ควบคุมลูกธนูที่ปักบนตัวเขาทันที ต้องการจะดึงกลับมา
อู๋ฉวี่เกร็งสองแขน เกร็งลำตัว พยายามใช้พลังอิทธิฤทธิ์ที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดกักลูกธนูดาวตกบนตัวเอาไว้ น้ำตาไหลพราก ใช้ชีวิตคราวสุดท้ายเพื่อสู้กับทัพฝ่ายศัตรู
ทว่าพลิกสถานการณ์อะไรไม่ได้แล้วจริงๆ แม่ทัพคนหนึ่งถลันตัวผ่านไป พร้อมคำรามอย่างดุดัน “รับความตายซะ!”
โบกดาบพร้อมแสงสะท้อนคม ตัดศีรษะอู๋ฉวี่ขาดกระเด็นเสียเลย
อู๋ฉวี่เลือดไกลแทบหมดตัวแล้ว ตรงคอที่ขาดไปมีเลือดไหลไม่มากเท่าไร ลูกธนูที่อยู่บนตัวก็ถูกชักออกมาแล้วเช่นกัน กลับมาอยู่บนมือของคนยิงธนู
รอบข้างเงียบงัน บรรดาผู้รอดชีวิตที่ผ่านศึกใหญ่มามองร่างที่ชักกระตุกของอู๋ฉวี่ นี่ก็คือผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์ซ้ายที่เคยมีบารมีสะท้านใต้หล้า แค่ได้ยินชื่อก็ทำให้คนหวาดกลัว…
ศึกใหญ่อีกฝั่งหนึ่งก็ใกล้จะจบแล้วเช่นกัน
ตรงหน้าเหมียวอี้มีคนยืนอยู่สองคน คนหนึ่งประคองถือศีรษะของประมุขพุทธะ คนหนึ่งประคองถือศีรษะของประมุขชิง
เหมียวอี้ไม่มีอารมณ์มาชื่นชมศีรษะ แต่สีหน้าก็ไม่เปลี่ยนไปเช่นกัน ชื่นชมดาบและกระบี่ที่ถืออยู่ในมือ เป็นอาวุธของชิงและพุทธะนั่นเอง
มีคนส่งอาวุธหลายชิ้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง เหมียวอี้โบกกระบี่และดาบฟันไม่หยุด ทุกครั้งล้วนมีเสียงขานรับ กำลังพลเข้ามาประสมโรงและกล่าวชมอย่างร่าเริง “ดาบดี! กระบี่ดี!”
บนเรือมังกรอเวจี เกาก้วนเอียงหน้ามองไปทางประมุขไป๋อีกครั้ง ส่วนประมุขไป๋ก็แค่กวาดสายตาเย็นเยียบมองไปทางเหมียวอี้เป็นครั้งคราวเท่านั้น
สถานการณ์บนสนามรบถูกกำหนดแล้ว แต่ประมุขไป๋เหมือนไม่มีท่าทีว่าจะไปเจอเหมียวอี้ และเหมียวอี้ก็เหมือนไม่มีท่าทีว่าจะมาเจอประมุขไป๋เช่นกัน ต่างก็แค่ชำเลืองมองอีกฝ่ายเป็นบางครั้ง ระหว่างทั้งสองบอกไม่ถูกว่ามีอะไรบางอย่างกั้นอยู่
กลับเป็นหยางชิ่งที่เข้ามาใกล้ข้างกายเหมียวอี้ แล้วถ่ายทอดเสียง “ฝ่าบาท รักษาชีวิตซือหม่าเวิ่นเทียนไว้สักคนก็ได้ เขาควบคุมหน่วยตรวจการซ้ายมาหลายปี เกรงว่าจะรู้ความลับของขุนนางน้อยใหญ่ในตำหนักสวรรค์ไม่น้อย สายลับบางส่วนของหน่วยตรวจการซ้ายอาจจะยังไม่เปิดเผยตัวออกมาก็ได้ ยังมีประโยชน์ให้ใช้งานอยู่บ้าง! คนนี้ไม่ใช่นักรบหาญกล้าเบื้องล่าง อาจจะไม่สู้ตายจนถึงที่สุด ถ้ายังมีหนทางรอดชีวิตอยู่ อาจจะทำงานรับใช้ฝ่าบาทได้”
เหมียวอี้ชำเลืองซือหม่าเวิ่นเทียนที่กำลังอาบเลือดต่อสู้เหมือนสัตว์ในกับดัก แล้วขานรับอย่างสบายๆ
หยางชิ่งออกไปทันที ไปหาชิงเยว่เพื่อแอบเสนอแผนรับมือของตัวเอง
ผ่านไปไม่นาน นักรบหลายคนที่ชิงเยว่เลือกก็เข้าไปล้อมโจมตีข้างๆ ซือหม่าเวิ่นเทียน ขณะเดียวกันก็แอบถ่ายทอดเสียงบอก
ซือหม่าเวิ่นเทียนที่ฆ่าคนจนตาแดง ตอนนี้สติสัมปชัญญะเริ่มกลับมาทีละนิด แววตาเป็นประกาย สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าทำอย่างไร จู่ๆ ก็พลาดแล้วถูกคนเก็บเข้ากระเป่าสัตว์แล้ว หายไปจากสนามรบตรงนั้นแล้ว
“ชนะ! ชนะ! ชนะ…”
กระทั่งสมาชิกกองทัพองครักษ์คนสุดท้ายล้มอยู่ภายใต้ดาบที่รัวฟัน กำลังพลใต้บังคับบัญชาของเหมียวอี้ที่กำลังเข่นฆ่าก็หันมองรอบๆ ไม่มีข้าศึกอีกแล้ว เข้าใจว่าการต่อสู้ช่วงชิงใต้หล้าจบลงโดยสมบูรณ์แล้ว เสียงโห่ร้องแห่งความดีใจก็ดังขึ้นทันที เสียงโหร้องดังสะท้านดาราจักร
เห็นศพนับไม่ถ้วนลอยเกลื่อนดาราจักร น้ำเลือดลอยอยู่ทั่วทุกที่ บนเรือมังกรอเวจี หัวลี่ส่ายหน้าถอนหายใจเบาๆ “เป็นสิงห์ร้ายห่อเหิมทะเยอทะยานที่ช่วงชิงใต้หล้าจริงๆ นี่กำลังจะฆ่าล้างบางชัดๆ!”
โหยวอีส่ายหน้า “ดูจากแนวโน้มสถานการณ์นี้ การกวาดล้างกำลังที่เหลือคงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เกรงว่าคงต้องมีคนตายอีกมาก!”
กลุ่มคนที่อยู่บนหัวเรือได้แต่เงียบ ว่ากันว่าชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร คนที่ได้รับผลกระทบไปด้วยกับผู้แพ้คงจะนับไม่ถ้วน คนที่มีข้อมูลอยู่ในใจล้วนเข้าใจแจ่มแจ้ง กำลังหลักบนสนามรบแม้จะดูเหมือนเยอะมาก แต่สมาชิกที่กระจัดกระจายอยู่เบื้องหลังกำลังพลพวกนี้ต่างหากที่มีจำนวนไม่ชัดเจน
ฉากอันโหดร้ายของดาราจักรที่ย้อมด้วยเลือด ทำให้ไป๋เหนียงจื่อหลับตาประนมมือด้วยสีหน้าหดหู่ ปากพึมพำสวดมนต์ นางกำลังบาดเจ็บสาหัส ไร้กำลังจะหยุดยั้งอะไร ได้แต่มองดูทุกสิ่งเกิดขึ้นโดยที่ทำอะไรไม่ได้
ทัพใหญ่กำลังเก็บกวาดสนามรบ ในที่สุดความสนใจของเหมียวอี้ก็มาอยู่ทางฝั่งนี้แล้ว ทำให้คนบนเรือมังกรอเวจีรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
เหมียวอี้มาทางนี้แล้ว เรียกได้ว่านำทัพใหญ่มาด้วย ข้างหลังมีกำลังพลนับไม่ถ้วน กดดันเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน
สุดท้าย ขบวนของเหมียวอี้ก็เข้ามาใกล้แล้วหยุดอยู่ตรงหน้าตรงหน้าเรือมังกรอเวจี เหมียวอี้กับประมุขไป๋สบตากัน ในสายตาที่กำลังคุมเชิงกันมีองค์ประกอบบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกซ่อนอยู่
สายตาของหยางชิ่งกำลังสังเกตทั้งสอง
เหมียวอี้พลันเอ่ยถามว่า “ข้าควรจะเรียกเจ้าว่ายังไงดีล่ะ?” ในคำถามซ่อนแฝงความโมโหอยู่ลึกๆ คนที่ไม่รู้ก็ไม่มีทางเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในคำถามนี้
ประมุขไป๋เงียบไปครู่เดียว สุดท้ายก็ยิ้มบางๆ “ถ้าเจ้าไม่ถือสา ก็เรียกเหมือนเดิมแล้วกัน เรียกว่าเหล่าไป๋เถอะ!”
เหมียวอี้โบกมือชี้ไปยังดาราจักรที่เกลื่อนกลาดไปด้วยศพคน “นี่คือสิ่งที่เจ้าอยากเห็นใช่ไหม?”
เสียงฉินติงติงตังตังดังขึ้น นิ้วของประมุขไป๋กำลังดีดสายฉิน นี่คือทำนองที่เหมียวอี้คุ้นเคย เป็นทำนองที่เหมียวอี้ได้ยินตอนเข้าแดนหมอกเลือดหมื่นจั้งในปีนั้น ประมุขไป๋กล่าวเสียงเบา “ถ้าต้องการจะไป เมื่อครู่ข้าก็คงไปแล้ว เจ้าเองก็ไม่น่าจะมีโอกาสหาข้าพบอีก ที่ยังอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ก็เพราะจะรอให้เจ้ามาหา เรื่องบางเรื่องต้องชี้แจงให้เจ้ารู้ก่อนจะไปสักหน่อย ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เป็นสิ่งที่ข้าอยากเห็นหรือไม่ เจ้าก็ต้องถามตัวเอง ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ผลงานหรือความผิดพลาดก็ล้วนเป็นเจ้าที่แบกรับ หากเป็นวาสนาให้เจ้าเสพสุข หากเป็นบาปให้เจ้ารับไว้ ใต้หล้านี้คือใต้หล้าของเจ้า ข้าไม่สนใจสิ่งเหล่านี้ สิ่งที่ช่วยได้ข้าก็ช่วยเจ้าแล้ว สิ่งที่เจ้าช่วยข้าได้ เจ้าก็ช่วยข้าแล้วเช่นกัน เราต่างได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ ไม่ติดค้างอะไรกัน!”
กล่าวเช่นนี้ออกมาต่อหน้าทุกคน กลับทำให้ก้อนหินหนักในใจเหมียวอี้ตกลงพื้นแล้ว เขาเดินมาถึงทุกวันนี้ แบกรับบุญคุณความแค้นเยอะเกินไป แบกรับบาปกรรมและความผิดพลาดมากเกินไปแล้ว ถ้าจะให้เขายอมยกใต้ได้ให้แต่โดยดี จะให้เขามอบสิ่งที่ใช้เวลาหลายปีเพื่อเอาชีวิตแลกมาให้คนอื่น จะให้เขามอบความดีความชอบให้คนอื่น เขาทำไม่ได้จริงๆ กำลังพลเบื้องล่างก็คงไม่ยอมเช่นกัน
หลังจากทั้งสองเงียบไปพักหนึ่ง ประมุขไป๋ก็ถามอีกว่า “ยังมีอะไรอยากจะถามอีกไหม? สิ่งที่บอกเจ้าได้ก็บอกเจ้าไปแล้ว ถ้าไม่มีอะไรอยากถามแล้ว ดาราจักรกว้างใหญ่ ไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด ตอนนี้ข้าจะไปแล้ว เจ้าปกครองใต้หล้าของเจ้า ข้าก็เป็นอิสระเสรี จากนี้ไปยินดีที่จะไม่เจอกันอีก!”
“ข้ามีคำถามเยอะมาก” เหมียวอี้กล่าว
“เช่นนั้นก็ขึ้นเรือเถอะ! คาดว่ามีบางอย่างที่เจ้าคงไม่อยากให้คนรู้เยอะเกินไป” ประมุขไป๋เอามือข้างหนึ่งไขว้หลัง ย้ายนิ้วออกจากสายฉิน ยื่นมือส่งสัญญาณเชิญ เมื่อเห็นเหมียวอี้ค่อนข้างลังเล ก็อดไม่ได้ที่จะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เป็นอะไรไป? กังวลว่าข้าจะทำร้ายเจ้าเหรอ? ในปีนั้น ข้าก็เคยกล่าวเช่นนี้กับอีกสองคนเหมือนกัน ข้าเคยบอกว่าข้าไม่สนใจใต้หล้านี้ แต่พวกเขาสองคนไม่เชื่อ ถึงได้มีบุญคุณความแค้นในหลายปีมานี้”
………