แม่เฒ่าลวี่ตบผิวโต๊ะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก่อนหน้านี้ตอนพวกแม่ทัพต้องการจะพาตัวพวกเจ้าไป ทำไมพวกเราไม่ยอมไป ทำไมต้องขอร้องข้า?”
กลุ่มผู้หญิงเงียบไป บางคำพูดก็รู้สึกละอายที่จะเอ่ยปาก ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าหลังจากถูกพาตัวไปแล้วจะมีจุดจบเป็นอย่างไร กังวลว่าจะได้รับกรรมและถูกฆ่าไปด้วย ตอนนี้อีกฝ่ายให้สัญญาแล้วว่าจะไม่ทำอันตรายพวกนางจนถึงแก่ชีวิต แต่แค่นำพวกนางไปประทานเป็นรางวัลให้ทหารที่สร้างผลงานเท่านั้น สำหรับสตรีที่งามเลิศล้ำอย่างพวกนาง ถ้าจะให้มาทำงานเบ็ดเตล็ดอย่างนี้ พวกนางรู้สึกว่าไม่ได้รับความยุติธรรม มิหนำซ้ำยังต้องทำงานจิปาถะพวกนี้ไปทั้งชีวิตด้วย แต่ถ้าให้เป็นอนุภรรยาของขุนนางเหล่านั้นก็ไม่เหมือนกันแล้ว บางทีฉากหน้าอาจจะไม่ได้ดูดีเท่าอยู่วังสวรรค์ แต่กลับมีอิสระมาก มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง ไม่แน่ว่าอาจจะได้ดีกลายเป็นฮูหยินเอกของขุนนางใหญ่สักคนก็ได้ ถ้ามองจากบางระดับ ก็ดีกว่าเป็นสนมของประมุขชิงตั้งเยอะ อุดอู้อยู่ที่วังสวรรค์มาหลายปีขนาดนี้ ยังไม่รู้อีกหรือว่าวังหลังรสชาติเป็นอย่างไร? ยังต้องคิดมากอีกหรือว่าจะเลือกอย่างไร?
เมื่อเห็นพวกนางไม่พูดอะไร ดูเหมือนตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะไป แม่เฒ่าลวี่ก็ส่ายหน้าบอกว่า “ฝ่าบาทเพิ่งจะจากโลกนี้ไป พวกเราก็อดใจรอไม่ไหวที่จะสวมหมวกเขียวให้ฝ่าบาทแล้วหรือ?” นางกำลังจะสื่อว่า ไม่มียางอายแม้แต่น้อยเลยใช่ไหม?
สนมคนหนึ่งบอกว่า “เรื่องนี้ก็โทษพวกเราไม่ได้ ท่านก็ได้ยินแล้ว สามวัน เขาให้เวลาพวกเราเพียงสามวัน ถ้าเกินเวลาแล้วพวกเราก็จะต้องอยู่ทำงานจิปาถะที่นี่ไปทั้งชีวิต”
มีสนมอีกคนบอกว่า “แม่เฒ่า พวกเราไม่เหมือนกับท่าน ท่านอายุป่านนี้แล้วไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันอะไรมากมาย แต่พวกเรายังสาวอยู่”
ประโยคนี้ทำให้แม่เฒ่าลวี่ทรมานใจ พลันเหลือบตาขึ้นด้วยท่าทางโมโหเล็กน้อย
สนมอีกคนบ่นว่า “นายท่านผู้นั้นบอกแล้วว่าจะไม่บังคับใครทั้งนั้น พวกเราจะอยู่หรือไปก็ตามแต่ใจปรารถนา แค่จะถามแม่เฒ่าสักคำว่า ท่านรักษาคำพูดหรือเปล่า?”
พูดจาถึงขั้นนี้แล้ว แม่เฒ่าลวี่ยังจะว่าอะไรได้อีก หลับตาลงช้าๆ แล้วกล่าวว่า “ไสหัวไป! อย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าอีก!”
ดังนั้นจึงมีบางคนโค้งตัว มีบางคนย่อเข่าทำความเคารพ และมีบางคนที่ไม่พูดอะไรทั้งนั้น แล้วทยอยกันหันตัวเดินจากไป
สิบกว่าคนนี้เดินมาถึงประตูสวนกลางเขียวขจี หนึ่งในนั้นถามทหารยามด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียกว่า “พวกเราได้รับบัญชาจากฝ่าบาทว่าสามารถสมัครใจออกไปได้ ไปได้หรือยัง?”
ทหารยามที่เดินไปเดินมาอยู่ตรงหน้านางหยุดอยู่กับที่ ในใจรู้สึกคันยิบๆ มองเห็นแต่กินไม่ได้ แต่กลับไม่มีทางเลือก เพราะมีเบื้องบนเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ถ้าใครกล้ากำเริบเสิบสาน ก็แสดงว่าเบื่อหน่ายที่จะมีชีวิตอยู่แล้ว เขาชี้ไปตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล ตรงนั้นมีกำลังพลกลุ่มเล็กหลบแดดอยู่ใต้ต้นไม้ “นั่น ไปลงชื่อทางนั้น เดี๋ยวจะมีคนพาพวกเจ้าไปเอง” น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยสบอารมณ์
สาวงามสิบกว่าคนออกจากสวนกลางเขียวขจีได้อย่างราบรื่น ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดใดๆ ทหารที่นำพวกนางจะไปก็ไม่แตะต้องแม้แต่ผมเส้นเดียวเช่นกัน
ที่จริงในสวนกลางเขียวขจีมีสาวงามไม่น้อยแอบสังเกตการณ์เงียบๆ เมื่อเห็นคนกลุ่มแรกไร้อันตราย สามารถออกไปได้อย่างปลอดภัยจริงๆ ก็วางใจลงแล้วไม่น้อย
ผ่านไปไม่นาน คนที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนก็ไปหาแม่เฒ่าลวี่ กล่าวอำลาจากไปเป็นกลุ่มๆ
แม่เฒ่าลวี่ที่นั่งอยู่หลังโต๊ะยาวถอนหายใจเบาๆ “ไปเถอะๆ ไปกันให้หมด!”
คนรวมกลุ่มกันมา แล้วก็รวมกลุ่มกันออกไป รวมกลุ่มกันออกไปจากสวนกลางเขียวขจี
ตามที่กลุ่มคนที่ทยอยกันมาบอกลามากขึ้นเรื่อยๆ แม่เฒ่าลวี่ก็เหมือนจะทนกับการยั่วโมโหนี้ไม่ได้ ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ สั่งเทพธิดาอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ถ้าอยากจะไปก็ให้พวกนางไปกันเองเลย ไม่ต้องมาบอกลาข้า”
นางยันไม้เท้าหันตัวเดินออกไป เหมือนแก่ชราลงแล้วไม่น้อย
นางพยายามช่วยคนเหล่านี้จะดาบของประมุขชิง แล้วก็พยายามทุ่มเทความคิดไปไม่น้อยกับฝั่งเหมียวอี้ อยากจะรักษาศักดิ์ศรีของสาวงามเหล่านี้ไว้ แต่ใครจะคิดว่าความพยายามของนางจะน่าขำขนาดนี้ ขนมเหล่านั้นเหมือนจะไม่ซึ้งน้ำใจเลยสักนิด กลับดูเหมือนเป็นการทำลายเรื่องดีๆ ของพวกนาง ทำเหมือนไปขวางทางของพวกนางไว้ ที่แท้สิ่งที่นางให้ความสำคัญกับเป็นสิ่งที่คนอื่นไม่แยแสเลย
ตอนนี้นางพอจะเข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนนั้นประมุขชิงจึงโหดเหี้ยมแบบนั้น เหตุใดจึงต้องการสังหารหมู่วังหลัง คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ยากจะต้านความปรารถนาส่วนตัว
บรรดาสนมที่รวมตัวกันอยู่ในสวนกลางเขียวขจี วันแรกยังมีคนมาดู แต่คนที่ไปวันที่สองเห็นว่าคนที่ไปวันแรกเหมือนจะไม่เป็นอะไร คนส่วนใหญ่จึงไม่ลังเลอีก สาวงามหลักหมื่นเหมือนจะออกไปหมดภายในวันที่สอง ไม่รอให้ถึงวันที่สาม
วังสวรรค์ เฟยหงรีบร้อนเดินออกมา
เฟยหงพี่อยู่ข้างกายอวิ๋นจือชิวหนึ่งวัน ในที่สุดตอนนี้ก็ได้รับอิสระแล้ว พอออกจากวังสวรรค์ก็รีบไปที่สวนกลางเขียวขจีทันที นางก็สังเกตได้เช่นกันว่าอวิ๋นจือชิวเหมือนจงใจจะถ่วงเวลานางไว้ นางกังวลว่าทางฝั่งนี้จะไม่เกรงใจแม่เฒ่าลวี่ จึงรีบร้อนไปตรวจดู
ขณะมองตามเฟยหงเดินออกไป อวิ๋นจือชิวก็ก็หันกลับมาถามว่า “ไปกันพอสมควรแล้วใช่ไหม?”
เสวี่ยเอ๋อร์พยักหน้า “ทางสวนกลางเขียวขจีส่งข่าวมา เหลือเพียงประมาณร้อยคนที่ยังไม่ไป ที่เหลือไปหมดแล้วเพคะ”
อวิ๋นจือชิวส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “ทำให้ผู้หญิงอย่างพวกเราเสียหน้าหมดแล้วจริงๆ หัวใจของคนจะนับถือคุณธรรม แต่กลัวอำนาจบาตรใหญ”
เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวว่า “ไม่ว่าจะอย่างไร หยางชิ่งก็เหมือนจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้แล้วจริงๆ จากนั้นก็พูดสองสามคำ แล้วก็ไปแล้ว”
อวิ๋นจือชิวถอนหายใจ “เขาใช้วิธีการนี้ พวกที่สวนกลางเขียวขจีจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้ยังไง ถ้าจะพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่ได้มองสนมนักโทษพวกนั้นเป็นมนุษย์เลย ไม่ได้เห็นความทุกข์ของแม่เฒ่าลวี่เป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย เขากำลังโยนกระดูกออกไปล่อ เอาเรื่องที่ต้องทำงานเบ็ดเตล็ดไปทั้งชีวิตมาขู่ผู้หญิงพวกนี้ สุดท้ายก็โยนปัญหาไปให้แม่เฒ่าลวี่จัดการเอง ให้สนมนักโทษกดดันแม่เฒ่าลวี่เอง แต่จะว่าไปเจ้าก็พูดถูก เขาแก้ไขปัญหานี้ได้แล้ว ฝ่าบาทไม่ได้บังคับ เป็นสนมนักโทษพวกนั้นที่ต้องการไปเอง เป็นแม่เฒ่าลวี่ที่ปล่อยไปเอง เฟยหงเองก็ไม่โทษฝ่าบาท ผู้ชายที่จ้องมองตาเป็นมันก็ได้สมดังใจหวังเช่นกัน”
“สมาชิกพักอยู่ในพระตำหนักอุทยานชั่วคราว จะจัดการเมื่อไรเพคะ?” เสวี่ยเอ๋อร์ถาม
“คงจะต้องรอกวาดล้างผู้รอดชีวิตส่วนใหญ่ก่อน แล้วค่อยเริ่มตบรางวัลตามผลงาน ใกล้แล้ว!” จากนั้นก็วางเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว “พวกซวงเอ๋อร์คงใกล้จะมาแล้วใช่มั้ย?” อวิ๋นจือชิวถาม
“อยู่บนเส้นทางแล้ว พรุ่งนี้ใกล้จะถึงแล้ว” เสวี่ยเอ๋อร์กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
อวิ๋นจือชิวกลับยิ้มไม่ออก หลังจากได้ยินว่าอวิ๋นรั่วซวงสูญเสียสามี ตระกูลอวิ๋นยังไม่สองแม่ลูกเข้าร่วมการกวาดล้างด้วย นางรู้สึกว่าเกินไปหน่อย ที่จริงนางก็รู้เช่นกัน เพราะนางกลายเป็นราชินีสวรรค์แล้ว มีหลายคนกำลังจับจ้องตระกูลอวิ๋น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลานี้ ตระกูลอวิ๋นไม่อยากสร้างปัญหาอะไรให้อวิ๋นจือชิว ทำอย่างนี้ก็เพราะหวังดีกับอนาคตของตระกูลอวิ๋น จำเป็นต้องขอร้องตระกูลอวิ๋นอย่างเข้มงวด บีบให้สองแม่ลูกเข้าร่วมรบแนวหน้าต่อไป
นางไม่สะดวกจะไปก้าวก่ายเรื่องทำศึกของกำลังพลเบื้องล่าง ถึงได้ออกหน้ามาบอกด้วยตัวเอง บอกว่าคิดถึงน้องสาว ต้องการจะพบหน้าสักหน่อยเรื่องเล็กแบบนี้ย่อมไม่มีใครขัดขวาง แต่หลังจากรู้ว่าน้องสาวกำลังจะมา นางก็ไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้าอย่างไร เพื่อให้ครอบครัวของนางได้เป็นใหญ่ในใต้หล้า ทำให้น้องสาวกลายเป็นแม่หม้ายแล้ว กอปรกับความในใจของน้องสาวที่พูดออกมาหลังจากดื่มสุราในปีนั้น ทำให้นางรู้สึกผิดในใจจริงๆ
ขณะที่นางกำลังใช้ความคิดอย่างเหม่อลอย จู่ๆ เบื้องล่างก็มารายงานว่า “รายงานเหนียงเหนียง ซิงขอเข้าเฝ้าเพคะ!”
อวิ๋นจือชิวเรียกสติกลับมา แววตาวูบไหวเล็กน้อย พยักหน้าบอกว่า “เชิญ!”
ผ่านไปครู่เดียว ซิงรีบเดินเข้ามา พอเห็นอวิ๋นจือชิว ก็ขอร้องอย่างจริงใจ “เหนียงเหนียงได้โปรดคืนความยุติธรรมให้เผ่าอสรพิษดำด้วยเพคะ!”
อวิ๋นจือชิวแปลกใจ “ทำไมพูดอย่างนี้?” นางรู้ดีอยู่แก่ใจแต่ยังแกล้งถาม นางรู้ถึงปัญหาของเผ่าอสรพิษดำ เรื่องที่เกี่ยวข้องกับวังหลัง เหมียวอี้ยังนับว่าให้เกียรตินาง เคยให้หยางเจาชิงมาหยั่งท่าทีของนางแล้ว ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากนาง เหมียวอี้ก็ไม่กล้าทำอะไรซี้ซั้ว อวิ๋นจือชิวเส้นแบ่งกับเรื่องในด้านนี้ไว้ชัดเจนตั้งแต่แรก ไม่อนุญาตให้เหมียวอี้ล้ำเส้นแม้แต่ก้าวเดียว อย่านึกว่าตอนนี้กลายเป็นราชันสวรรค์แล้วจะทำอะไรได้ตามอำเภอใจ อวิ๋นจือชิวยังกล้าอาละวาดจนทำให้เหมียวอี้เสียหน้าเหมือนเดิม
ในจุดนี้ เหมียวอี้ก็รู้อยู่แก่ใจเช่นกัน อย่างอื่นคุยง่ายหมด มีเพียงเรื่องผู้หญิงที่เจรจากันไม่ได้ ก็อย่างที่บอก อวิ๋นจือชิวใจกว้างถึงขั้นนี้แล้ว อย่านำค่านิยมในสังคมมากดดันนาง ไม่มีประโยชน์! สรุปก็คือถ้านางไม่อนุญาต ไม่ว่าใครก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้แต่งงานเข้ามาในบ้านหลังนี้ ในปีนั้นตอนจูเก๋อชิงถูกขังอยู่ที่ตำหนักเย็น จะเป็นจะตายก็ไม่ยอมปล่อยออกมาก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ต่อให้จูเก๋อชิงตายแล้วก็ยังฝังศพไว้ที่นั่น ต่อให้ตายก็อย่าได้คิดว่าจะได้ออกไปจากที่นั่น นี่ก็คือท่าทีของนาง
ถ้าเหมียวอี้กล้าทำซี้ซั้ว นางก็กล้า ‘มาหนึ่งคนก็ฆ่าทิ้งหนึ่งคน’ เรื่องนี้นางทำได้จริงๆ และมีความสามารถที่จะทำด้วย!
“ทัพใหญ่ของฝ่าบาทบุกเข้าสระน้ำมังกรดำแล้ว บอกว่าจะตรวจสอบเรื่องที่เผ่าอสรพิษดำสมคบกับชิงและพุทธะ ควบคุมตัวอ๋องอรพิษดำโม่โหยว จับลูกหลานของเผ่าอสรพิษดำมาแล้วไม่น้อย…” หลังจากซิงรายงานด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด ก็ขอร้องอีกครั้ง “เหนียงเหนียง ช่วยพูดให้เผ่าอสรพิษดำสักหน่อยเถอะเพคะ!”
อวิ๋นจือชิวทำสีหน้าลำบากใจ “ข้าไม่สะดวกจะก้าวก่ายเรื่องในกองทัพ แล้วอีกอย่าง เรื่องนี้ฝ่าบาทก็จะให้คำชี้แจงกับเผ่าอสรพิษดำแน่นอน วางใจเถอะ คงจะไม่เป็นอะไร”
ไม่ว่าซิงจะขอร้องอย่างไร อวิ๋นจือชิวก็ปฏิเสธทางอ้อม สุดท้ายซิงที่ขอร้องคนไปทั่วแต่ก็ถูกตอกกลับมาเบาๆ ก็เข้าใจแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว มีเพียงทางเลือกที่ซูอวิ้นบอก
“เหนียงเหนียง ซิงติดตามฝ่าบาทมาหลายปี เมื่อเวลาผ่านไปนาน จึงแอบเกิดความรักต่อฝ่าบาท หวังว่าเหนียงเหนียงจะช่วยให้สมปรารถนา!” ซิงพลันก้มหน้ากล่าวประโยคนี้
อวิ๋นจือชิวกะพริบตา จ้องนางนานมาก…
ในสวนกลางเขียวขจี เฟยหงรีบร้อนมาถึงแล้ว นางมาพบแม่เฒ่าลวี่ที่กำลังนั่งยองๆ ดูแลดอกไม้อยู่ในแปลงดอกไม้ นางผ่อนฝีเท้าให้ช้าลง เดินเข้าไปใกล้แล้วยกกระโปรงนั่งยองๆ ข้างกัน ลองถามว่า “ท่านแม่บุญธรรม ท่านไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
แม่เฒ่าลวี่กำลังปลูกดอกไม้ กล่าวอย่างนิ่งสงบว่า “ยายแก่อย่างข้าไร้อำนาจอิทธิพล จะเป็นอะไรไปได้? สังหารข้าทิ้งยังต้องแบกรับชื่อเสียงที่ไม่ดี ไม่คุ้มที่จะแตะต้องข้า”
เฟยหงก้มหน้า “ท่านแม่บุญธรรม อย่าเก็บมาใส่ใจเลย เป็นทางที่พวกนางเลือกเอง ท่านทำเต็มที่แล้ว”
“เป็นยายแก่อย่างข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป วิธีการเทียบคนบางพวกไม่ติดเลย ทำตัวเป็นตั๊กแตนห้ามรถ ไม่ประเมินกำลังตัวเอง เหมาะแล้วที่จะดูแลต้นไม้ใบหญ้าอยู่ที่นี่ นางหนูเอ๊ย เจ้าอยู่ในวังก็ไร้อำนาจให้พึ่งพาเหมือนกัน จำคำยายแก่คนนี้ไว้นะ อย่าไปคิดเพ้อฝันอะไรเด็ดขาด เจ้าเล่นไม่ชนะคนพวกนั้นหรอก…”
กลางดึก ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ในตำหนักบรรทมห้องหนึ่ง ซิงที่อาบน้ำแล้วกำลังนั่งสยายผมอยู่ข้างเตียง
เหมียวอี้ผลักประตูเข้ามา แล้วนางในที่อยู่ด้านนอกก็ปิดประตูเอาไว้เบาๆ
ซิงก้มหน้าไม่พูดอะไร
เหมียวอี้ยืนอยู่ตรงหน้านาง จ้องนางครู่หนึ่ง แล้วกล่าวช้าๆ ว่า “เห็นแก่ไมตรีเก่าๆ และคุณงามความดีในอดีตของเผ่าอสรพิษดำ เจิ้นให้ทางเลือกกับเจ้าอีกทาง เจ้าไม่จำเป็นต้องรับความอยุติธรรมอย่างนี้ ตอนนี้เจ้าสามารถออกจากวังสวรรค์ ข้าก็จะออกคำสั่งปล่อยเผ่าอสรพิษดำไปเช่นกัน จะไม่ทำให้เผ่าอสรพิษดำลำบากอีก บุญคุณความแค้นทุกอย่างจบสิ้นเท่านี้! จากนี้ไปถ้าเผ่าอสรพิษดำพบปัญหาอะไรอีก ทุกอย่างต้องทำตามหน้าที่ ไม่มีการจงใจกลั่นแกล้งแน่นอน!” พูดจบก็หันตัวหลีกทาง แล้วยื่นมือเชิญ
ซิงยืนขึ้นเงียบๆ ไม่มีท่าทีว่าจะเดินไป ยื่นมือถอดผ้าคาดเอว ชุดคลุมตัวนอก ไม่น่าเชื่อว่าข้างในจะไม่สวมชุดชั้นใน เผยเรือนร่างเย้ายวนออกมาหมด เสื้อผ้าไหลจากไหล่ตกลงพื้น เผยเรือนร่างยั่วราคะแบบเผ่าอสรพิษดำ ร่างเปลือยขาวหมดจดดุจหิมะ ตัวสั่นเล็กน้อย…
…………………………