“นี่คือ?”
ฉินเวยเวยรีบร้อนเข้ามาในประตูบ้านของจวนตระกูลหยาง มาหาหยางชิ่งโดยตรง ผลก็คือพบว่าจินม่านอยู่ด้วย คำพูดที่จ่อรออยู่ที่ปากจึงไม่ได้เอ่ยออกมา กลับเป็นจินม่านที่ถามหยางชิ่งอย่างแปลกใจ ถามว่าฉินเวยเวย ตอนนี้นางยังไม่รู้จัก
“ลูกสาวข้าเอง” หยางชิ่งแนะนำพร้อมรอยยิ้ม
“อ้อ!” จินม่านกระจ่างทันที พยักหน้ายิ้ม “คำนับสนมสวรรค์”
“การคำนับจากท่านอ๋อง ข้ารับไว้มิไหว” น้ำเสียงของฉินเวยเวยไม่ค่อยพอใจนัก ที่นางรีบร้อนกลับบ้านมาครั้งนี้ ก็เพราะเกี่ยวข้องกับจินม่านอยู่บ้าง ได้ยินว่าท่านพ่อบุญธรรมเพื่อจะไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยที่แต่งงานกับจินม่าน ถึงขนาดไม่เอาตำแหน่งอ๋องสวรรค์ควบทูตตรวจการขวาแล้ว สิ่งนี้ทำให้นางค่อนข้างร้อนใจ
นางยังอยู่ในวังได้ไม่นานเท่าไร ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันแล้ว เพราะเกิดจากสภาพแวดล้อม สนมสวรรค์แต่ละคนจับจ้องจะแย่งชิงตำแหน่งสนมสวรรค์ และคนที่ถูกแต่งตั้งเป็นสนมสวรรค์ มีคนไหนบ้างที่ไร้อำนาจหนุนหลัง? กอปรกับเห็นเจตนาของราชินีสวรรค์ เหมือนต้องการจะสร้างระบบระดับชั้นมากมายที่วังหลัง สนมวังหลังก็ต้องแบ่งแยกระดับ แล้วท่านพ่อบุญธรรมก็ดันลาออกจากตำแหน่งกะทันหันตอนนี้ ลาออกจากตำแหน่งอ๋อง ทำให้นางรู้สึกไม่มั่นใจมาก
ผลปรากฏว่าพอมาถึงก็เจอจินม่านเลย ไม่น่าเชื่อว่าอีกฝ่ายจะมาถึงบ้านตัวเองอย่างสง่าผ่าเผย จะให้พวกนางสองแม่ลูกทนความรู้สึกได้อย่างไร? ท่านพ่อบุญธรรมออกจากตำแหน่งขุนนางเพื่อผู้หญิงคนนี้ เดิมทีนางก็ถือคติว่าใครเข้ามาก่อนเป็นเจ้าบ้านอยู่แล้ว ไม่ค่อยชอบจินม่านเท่าไรนัก ด้วยเหตุนี้นางจึงพูดจาไม่ค่อยเกรงใจสักเท่าไร
“ไม่ใช่อ๋องสวรรค์อะไรแล้ว เมื่อพบสนมสวรรค์ก็ย่อมต้องทำความเคารพ” จินม่านกล่าวดพร้อมยิ้มเรียบๆ
ฉินเวยเวยไม่สนใจนาง มองไปทางหยางชิ่งที่กำลังขมวดคิ้วโดยตรง “ท่านพ่อ อยู่ดีๆ ทำไมต้องออกจากตำแหน่งอ๋องกับทูตตรวจการขวา? ใช่ว่าท่านจะไม่รู้ว่าตำแหน่งทูตตรวจการขวาหมายถึงอะไร? ถ้าฝ่าบาทไม่เชื่อใจท่าน ก็คงไม่มอบตำแหน่งนี้ให้ท่าน เหตุใดท่านเป็นอย่างนี้?”
เชื่อใจข้า? หยางชิ่งแทบจะหลุดหัวเราะออกมา เหมียวอี้เชื่อใจเขาจริงหรือไม่ มีเพียงเขาที่รู้ชัดอยู่ในใจ ก็เพราะหนิวโหย่วเต๋อต้องมอบตำแหน่งทูตตรวจการขวานี้ให้คนที่ตัวเองเชื่อใจ เขาถึงนั่งตำแหน่งนี้ไม่ได้ ตอนที่ยังไม่ประทานรางวัลและหารือกันว่าจะแต่งตั้งอย่างไร เขาก็ปฏิเสธตำแหน่งนี้กับเหมียวอี้แล้ว แต่จนใจที่ปฏิเสธไม่สำเร็จ
เขาลองคิดดูแล้วก็เข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ได้ พูดถึงตอนประทานรางวัลตามผลงาน ถ้าจะให้พูดถึงจริงๆ ผลงานของเขาก็ไม่น้อยแน่น คนข้างกายกำลังมองอยู่ ถ้าเหมียวอี้ไม่ตบรางวัลให้เขาสักนิดเลยก็จะฟังดูเหลวไหล ดังนั้นเขาจึงคิดว่าตอนหลังจะเป็นฝ่ายไปขอลาออกเอง บังเอิญว่าจินม่านมาหาเขาพอดี มาขอคำชี้แจงจากเขา เขาจึงอาศัยเรื่องนี้เพื่อย้ำขอลาออก สิ้นเปลืองกำลังความคิดไปเต็มที่กว่าจะพ้นจากตำแหน่งขุนนางได้
เพียงแต่บางเรื่องเขาไม่จำเป็นต้องบอกลูกสาว เพราะไม่อยากให้ลูกสาวรู้ว่าระหว่างเขากับเหมียวอี้แอบมีความขัดแย้งกันมากขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นจะส่งผลกระทบมหาศาลต่อลูกสาว จะทำให้ลูกสาวที่ตัวอยู่ในวังใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความหวาดหวั่น
หยางชิ่งยิ้มเบาๆ “เหนื่อยมาหลายปีขนาดนี้ อยากจะใช้ชีวิตอิสะผ่อนคลายสักหน่อย แค่ฝ่าบาทให้ฐานะที่ปรึกษาที่มีอิสระในการเข้าออกวังกับข้าก็ดีมากแล้ว เหนียงเหนียง ข้ารู้ว่าเจ้ากังวลอะไร เจ้าอย่าคิดมากเลย ไม่ว่าข้าจะอยู่ในตำแหน่งหรือไม่ ตราบใดที่ข้ายังอยู่ ในวังก็ไม่มีใครกล้าแตะต้องเจ้าหรอก! ถ้ามีใครไม่ดูตาม้าตาเรือ ข้าก็จะไปหาราชินีสวรรค์หรือไม่ก็ผู้การใหญ่หยางเจาชิงจัดการให้โดยตรง เจ้าใช้ชีวิตตัวเองอย่างสงบใจก็พอแล้ว มีแต่ผลดีกับเจ้า ไม่มีผลเสีย” ประโยคสุดท้ายแฝงความหมายล้ำลึก
นี่ไม่ใช่คำพูดโกหก ถ้าเขายังอยู่ในตำแหน่ง ก็ไม่สะดวกจะไปพัวพันกับการต่อสู้ในวังหลังอย่างชัดเจน เขาสร้างผลงานสำคัญเพื่อให้เหมียวอี้บุกยึดใต้หล้า แต่กลับไม่ต้องการรางวัล ถ้ามีใครรังแกลูกสาวของเขาเพียงเพราในมือเขาไม่มีอำนาจ เกรงว่าเขาจะต้องบุกเข้าวังไปขอคำชี้แจงจากเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวโดยตรง ได้ทุกคนได้เห็นว่าเหมียวอี้กับภรรยาปฏิบัติต่อขุนนางผู้สร้างคุณูปการอย่างไร บางเรื่องเมื่ออยู่ในตำแหน่งขุนนางมิอาจทำได้ แต่เมื่อไม่อยู่ในตำแหน่งกลับทำได้อย่างเต็มที่ ถ้ามองจากบางระดับ การที่เขาถอยอจากตำแหน่งขุนนาง ก็คือการถอยตั้งหลักเพื่อบุกไปข้างหน้า ละทิ้งอำนาจเพื่อให้เหมียวอี้สงบใจอย่างแท้จริง หลังจากนี้จะต้องมีบางครั้งที่เหมียวอี้จำเป็นต้องให้เขาออกความคิดวางแผนงานแน่นอน ไม่มีทางปฏิบัติต่อฉินเวยเวยอย่างอยุติธรรมแน่ สามารถปกป้องตำแหน่งในวังของฉินเวยเวยได้อย่างไร้กังวล
ถ้าพูดจากบางระดับ เขาคำนึงถึงสภาพแวดล้อมของวังหลัง กังวลว่าฉินเวยเวยอยู่วังหลังนานแล้วจะบังเกิดความทะเยอทะยานขึ้นในใจ หากเหมียวอี้มองเขาเป็นภัยคุกคาม แล้วฉินเวยเวยก็อยู่ในวังอย่างไม่สงบเสงี่ยม ผลลัพธ์สุดท้ายก็เลวร้ายจนไม่กล้าจินตนาการถึง การทิ้งอำนาจก็เท่ากับปลดปล่อยการผูกมัดให้ฉินเวยเวยอย่างหนึ่ง
บางเรื่องจะต้องวางแผนระยะยาว กลยุทธ์ในตอนนี้ก็คือยอมถอยตั้งหลักเพื่อจะก้าวไปข้างหน้า ใช้วันเวลาอันยาวนานเพื่อแย่งชิงสิ่งที่สูญเสียไปก่อนหน้านี้ ใช้เวลาเพื่อพิสูจน์และแลกความไว้เนื้อเชื่อใจกลับมา เมื่อมีพื้นฐานนี้แล้วเขาค่อยวางแผนอย่างอื่นก็ยังไม่สาย ตอนนี้ไม่มีใครกล้าแข่งขันกับเหมียวอี้!
ฉินเวยเวยนึกไม่ถึงว่าหยางชิ่งจะทำลายความกังวลของตัวเองโดยตรง ทำเอานางอึดอัดเล็กน้อย นางไม่พูดอะไรต่อแล้ว หันหน้าแล้วเดินหนีไปทันที “ข้าจะไปหาท่านแม่!”
นางใช้การกระทำแสดงความไม่พอใจของตัวเอง
ที่จริงนางมีความรู้สึกที่ลึกซึ้งมากต่อฉินซี หลายปีที่อยู่พิภพเล็กนางรู้สึกได้อย่างแท้จริง ว่าฉินซีปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นบุตรสาวแท้ๆ แต่หลังจากท่านพ่อบุญธรรมมีเรื่องของซูอวิ้น แล้วตอนนี้ก็มีจินม่านโผล่มาอีกคนอีก นางพบว่าผู้ชายในโลกนี้ไม่มีใครดีสักคน!
ชิงจวี๋ที่อยู่ข้างๆ อึกอักเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง นางอยากจะตามไปโน้มน้าวฉินเวยเวย อยากจะบอกฉินเวยเวยว่า เจ้ารู้หรือเปล่าว่าพ่อของเจ้าต้องยอมจ่ายราคามากขนาดไหนกับการตัดสินใจในตอนแรกของเจ้า? เจ้าคิดว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือสิ่งที่พ่อเจ้าต้องการเหรอ?
หยางชิ่งยิ้มเจื่อนๆ ลูกสาวคนนี้คือความเจ็บปวดในใจของเขาตลอดกาล ที่จริงแล้วเจ้าคือลูกสาวแท้ๆ ของข้านะ!
เวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ชั่วพริบตาเดี๋ยวก็ผ่านไปร้อยปี!
ในบ่อน้ำคลื่นมรกตใต้น้ำตกในหุบเขา ร่างเปลืองสองร่างกำลังนัวเนียกันอยู่ในน้ำ หวงฝู่จวินโหรวที่กอดข้างหลังเหมียวอี้กัดหูเหมียวอี้ไม่ปล่อย เหมียวอี้จบจนแยกเขี้ยวยิงฟัน ออกแรงตีก้นนาง ไม่ง่ายเลยว่าจะผลักนางออกไปได้ แล้วตำหนิด้วยเสียงโกรธเคืองว่า “กำเริบเสิบสาน!”
หวงฝู่จวินโหรวที่ผมเปียกลู่คลุมบ่าใช้สายตาฉ่ำเยิ้มมองยั่วยวน แล้วกล่าวรับผิดอย่างออดอ้อนว่า “ฝ่าบาทโปรดระงับโทสะ บ่าวก็กล้ากำเริบเสิบสานแค่ในที่ลับตาคนนี่แหละเพคะ หรือไม่ท่านก็ให้โอกาสบ่าวได้กำเริบเสิบสานอย่างสง่าผ่าเผยดีไหมเพคะ?”
“…” เหมียวอี้พูดไม่ออก ตอนนี้เขาบารมีราชันของเขาฝังลึกอยู่ในใจคน พวกผู้หญิงในวังจะกำเริบเสิบสานต่อหน้าเขาก็ไม่เป็นไรเลยจริงๆ คนที่อยู่นอกวังคนนี้ก็นับเป็นหนึ่งคน ใจกล้ายิ่งกว่าคนที่อยู่ในวังเสียอีก
สองแขนที่ขาวหมดจดวาดบนคลื่นสีมรกต หวงฝู่จวินโหรวยืดหน้าอกอวบอิ่มเข้ามาใกล้อีกครั้ง แล้วโอบจูบเขาอย่างเร่าร้อนเหมือนไฟ กล่าวเสียงงุ้งงิ้งว่า “ครอบครองข้า!”
เหมียวอี้โดนยั่วจนเกิดไฟราคะ จับนางกดไว้ที่ขอบสระแล้วย่ำยี พร้อมด่าว่า “ผู้หญิงหมกมุ่น!”
“ครั้งหน้าไม่รู้ว่าเจ้าจะมาเมื่อไร ถ้าครั้งนี้ป้อนข้าไม่อิ่ม ก็ห้ามไปไหน…”
ในจวนขุนนางของทูตตรวจการซ้าย สวีถังหรานที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงในโถงหลักเก็บระฆังดารา จากนั้นยกมือตบหน้าผากด้วยสีหน้ากังวล
เมื่อได้รับข่าว ก็เป็นอย่างที่เขาคาดไว้ ฝ่าบาทเสด็จเยี่ยมเยียนราษฏรจนเยี่ยมเยียนไปถึงหวงฝู่จวินโหรวแล้ว ทั้งยังแอบมั่วอยู่กับหวงฝู่จวินโหรว เดิมทีนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาควรยุ่ง แต่เขากลัว เพราะราชินีสวรรค์ลั่นวาจาแล้ว ว่าถ้าจับได้ว่าเขารู้เรื่องแล้วไม่รายงานก็จะเด็ดหัวเขา!
“ฝ่าบาท ในวังมีสาวงามล้ำเลิศตั้งมากมายขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าเทียบหวงฝู่จวินโหรวไม่ติดสักคน?” ทูตตรวจการซ้ายผู้สง่าผ่าเผยหมอบลงบนโต๊ะอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ ทุบโต๊ะร่ำร้องอย่างจนใจ ทุกครั้งที่เหมียวอี้ไปลักลอบเจอกับหวงฝู่จวินโหรวก็คือเวลาที่เขาอำสั่นขวัญแขวน นี่มันเรื่องอะไรกัน…
ในจุดลึกของดาราจักรอันไกลโพ้น
ทะเลมรกตใต้ห้าครามเมฆขาว หาดทรายขาวริสุทใต้ต้นมะพร้าวธิ์ ลมทะเลโชยมาอย่างอ่อนโยน
ชายผมยาวสยายที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นมะพร้าวสวมกางเกงสั้นแค่เข่า กำลังเขียนอะไรบางอย่างอยู่บนโต๊ะตัวเล็ก เขาคือประมุขไป๋ ไป๋ชางไห่นั่นเอง
บนผิวทะเลมีปลาสีทองตัวหนึ่งสะบัดหาง ตีฟองคลื่นแล้วจมหายไป ร่างกายท่อนบนที่ลอยขึ้นมาเป็นสาวงามคนหนึ่ง นางก็คือประมุขปีศาจ รั่วสุ่ย
รั่วสุ่ยเงยหน้าอ้าปาก พ่นละอองน้ำออกมา ละอองน้ำกระเด้นไปบนต้นมะพร้าว แล้วตกกระทบลงพื้น ประมุขไป๋ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้กลายเป็นไก่ในน้ำแกงทันที
ประมุขไป๋ถลันตัวไล่ตามไปที่ทะเลทันที รั่วสุ่ยส่งเสียงร้องกรี๊ด แล้วรีบดำหนีลงในน้ำ…
ในป่าลึกที่อยู่ห่างจากตรงนี้ไม่ไกล มีลำธารสายหนึ่งหุบหุบผา น้ำในลำธารไหลส่งเสียงคำราม บนลำธารมีสะพานหินแห่งหนึ่ง
สาวน้อยคนหนึ่งของเผ่าปีศาจเพิ่งจะอายุครบสิบแปดเต็ม นางเพิ่งได้รับมงกุฏดอกไม้จากคนในเผ่าและกระโดดโลดเต้นเข้ามาอย่างร่าเริง นางชื่อว่ามู่หลิงเอ๋อร์
เมื่อสามปีก่อนนางถูกเลือกจากคนในเผ่าให้เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ สาเหตุที่ถูกเลือกให้เป็นธิดาศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะนางหน้าตาเหมือนมู่น่า อดีตธิดาศักดิ์สิทธิ์เผ่าปีศาจทุกอย่าง เพียงแต่มู่หลิงเอ๋อร์ไม่รู้ก็เท่านั้นเอง
นางกระโดดโลดเต้นผ่านสะพานหินไป อดไม่ได้ที่จะมองพระพุทธรูปแกะสลักหินองค์หนึ่งใต้เท้าตรงปลายสะพาน
พระพุทธรูปแกะสลักหินนี้ เห็นรางๆ ว่าเหมือนภาพคนกำลังนั่งสมาธิ ผ่านล้มผ่านฝนมาเต็มที่ มีลายพร้อยและต้นมอสงอกครึ่งหนึ่ง
ดังนั้นทุกครั้งที่เดินผ่าน นางก็จะหยุดยืนมอง เป็นเพราะเคยได้ยินคนในเผ่าพูดถึง ว่ามีอยู่วันหนึ่งเกิดฟ้าผ่าบนภูเขาหินลูกนี้ ทำให้ภูเขาหินลูกนี้กลายเป็นภาพคนนั่งสมาธิ และนางก็ถือกำเนิดขึ้นที่นี่ ดังนั้นนางจึงรู้สึกว่าตัวเองกับรูปสลักหินนี้มีวาสนาต่อกันมาก เกิดในวันเดียวกัน
บนภูเขาเหมือนมีคลื่นลึกลับบางอย่าง มู่หลิงเอ๋อร์เงยหน้ามอง เห็นเพียงแสงสีขาวอ่อนละมุนเหมือนขนนกกำลังลอยล่อง ลอยมาตกลงบนรูปสลักหิน
ชั่วพริบตานั้น มู่หลิงเอ๋อร์ก้าวถอยหลังอย่างตกใจ ไม่น่าเชื่อว่ารูปสลักหินจะกลายร่างเป็นคนคนหนึ่ง กลายเป็นพระศีรษะล้านสวใจีวรขาวรูปหนึ่ง
พระศีรษะโล้นมีรัศมีสีขาวอ่อนโยนครอบทั้งร่างกาย ใบหน้าเจือรอยยิ้มนุ่มนวลอันผุดผ่องไร้ราคี สัมผัสไม่ได้ถึงเจตนาร้ายใดๆ กลับทำให้นางรู้สึกอยากเข้าใกล้ด้วยซ้ำ
“เจ้าเป็นใคร?” มู่หลิงเอ๋อร์ที่ดวงตาเต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
พระยิ้มพร้อมตอบด้ววยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ายอมให้ร่างกายกลายเป็นรูปสลักหิน ทนผ่านฝนผ่านพายุมานับแสนปีเพื่อเจ้า อธิษฐานความสุขให้เจ้า ปกป้องให้เจ้าสงบสุขปลอดภัย!” บนใบหน้ายิ้มน้ำตารื้น น้ำตาหยดหนึ่งที่มีแสงสว่างเจ็ดสีไหลอาบแก้ม
“หลิงเอ๋อร์!” ด้านหลังมีเสียงตะโกนเรียกดังขึ้น ผู้อาวุโสเผ่าปีศาจมู่เซินปรากฏตัวเดินเข้ามา
มู่หลิงเอ๋อร์หันกลับไปมองแวบหนึ่ง ตอนที่หันกลับมาอีกครั้ง นางก็ตะลึงงันแล้วเอามือขยี้ตา ยังนึกว่าตัวเองมองผิดไป พบว่ารูปสลักหินก็ยังเป็นรูปสลักหินที่มีรอยด่างพร้อย มีพระเสียที่ไหนกัน?
แต่ว่า…มู่หลิงเอ๋อร์เดินมาตรงหน้ารูปสลักหิน เห็นเพียงตรงขาของรูปสลักหินมีวัตถุเปล่งแสงวิบวับเม็ดหนึ่ง นางหยิบมาดูในมือ เหมือนเป็นอัญมณีรูปหยดน้ำตาที่ใสแวววาวเหมือนผลึก เปล่งแสงสีรุ้งให้เห็นรางๆ
กำอัญมณีไว้ในมือแล้ว มู่หลิงเอ๋อร์สัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนที่ไม่เหมือนใคร แต่นัยน์ตาแดงก่ำแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไร อยู่ดีๆ ก็อยากร้องไห้
“หลิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นอะไรร้องไห้?” มู่เซินเดินเข้ามาถาม
มู่หลิงเอ๋อร์ส่ายหน้า มู่เซินจูงมือนางเดินกลับมา “กลับไปกับข้า ข้าจะบอกเจ้าอีกครั้ง ข้างนอกอันตรายมาก คราวหลังอย่าเพ่นพ่านไปไหนซี้ซั้วอีก!”
มู่หลิงเอ๋อร์ที่กำอัญมณีไว้ในมือเดินไปได้สามก้าวแล้วเหลียวหลังอีก มองรูปสลักหินที่มีร่องรอยและผ่านโลกมาอย่างโชกโชน…