ณ ดาวมากแฉก ต้นสนสูงเทียมเมฆต้นหนึ่งบนภูเขาหินสั่นไหว สตรีชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่บนยอดพุ่มของต้นไม้ นางชื่อว่าฝานอวี้เฟย เอวบางอกอิ่ม ผมยาวปลิวพลิ้วไหว หน้าตาสะสวยไม่ธรรมธรรรมดา ตรงหว่างคิ้วเผยวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปด แต่กลับยืนโบกดาบใหญ่พร้อมบอกคนหลายคนที่ยืนอยู่ข้างล่างว่า “ประตูดวงดาวที่น่านฟ้าติงขาลจุดตัดสินแพ้ชนะครั้งสุดท้าย จะแพ้หรือชนะก็ตัดสินกันที่ครั้งนี้ ผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วฝากความหวังไว้กับศึกครั้งนี้ ทุกคนมีแต่ต้องสู้ตายเพื่อแย่งชิงเท่านั้น ไม่มีการเอาเปรียบกินแรงกัน!”
ผู้ที่ถูกเรียกว่าผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้ว ก็คือเซี่ยโห้วหู่เฉิง เป็นน้องชายแท้ๆ ของเซี่ยโห้วหลงเฉิง แต่เหมือนจะเป็นการเป็นงานกว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเยอะ
“สู้ตาย!” เก้าคนที่อยู่ข้างล่างตอบรับเสียงดังพร้อมกัน
“ไป!” ฝานอวี้เฟยตะโกนเสียงแหลม นำทั้งเก้าเหาะพุ่งขึ้นฟ้า
ณ ดาวธรณีทรุด ในแนวภูเขาที่มืดเย็นราวกับรังแตน คนเจ็ดคนยืนเรียงแถวหน้ากระดานอยู่ตรงปากถ้ำมืดที่นูนตะปุ่มตะป่ำราวกับฟันของสัตว์ร้าย
“มากันครบหมดแล้วเหรอ?” มีเสียงของผู้หญิงที่สุขุมเยือกเย็นดังมาจากส่วนลึกในถ้ำ
“ผู้บัญชาการฮุย มากันครบแล้ว เหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ควรจะถือโอกาสรีบไปที่สนามล่านอกประตูดวงดาวของน่านฟ้าติงขาลแล้ว” ผู้บัญชาการคนหนึ่งที่ชื่อว่าหม่าอี้ชงตอบกลับเสียงดัง
วูบ! ลมหนาววูบหนึ่งพัดออกจากถ้ำ ปะปนออกมากับหมอกสีเทาที่หมนุขึ้นหมุนลง ปราณหยินน่าหวาดหวั่น ภาพมายาดอกบัวสีทองเจ็ดกลีบปรากฏให้เห็นวับแวมอยู่ท่ามกลางหมอกหยินที่ม้วนกลิ้ง ชั่วพริบตาเดียวหมอกหยินก็หดหายไป และพลันกลายร่างเป็นรูปคน เป็นสตรีวัยกลางคนสวมชุดสีขาวคนหนึ่ง เรือนร่างอวบอัดกลมกลึง หน้าตางดงามดุจภาพวาด ดวงตางามที่สดใสมีชีวิตชีวาได้เผยเสน่ห์ออกมาจนหมดสิ้น
สตรีคนนี้ชื่อว่าฮุ่ยชิงเหยียน นางวางมือสองข้างไว้ตรงหน้าท้อง พร้อมพูดกับทุกคนด้วยรอยยิ้มสนิทสนม “ผู้บัญชาการใหญ่ฮ่าวเพิ่งส่งข่าวมาให้ข้า ถามว่าพวกเรามีความมั่นใจหรือเปล่า ตอนนี้ข้าจะมาถามทุกคนต่อ การไล่ล่านอกประตูดวงดาวของน่านฟ้าติงขาล ทุกคนมีความมั่นใจหรือเปล่า?”
ผู้บัญชาการฮ่าวที่นางเรียกก็คือฮ่าวอวิ๋นตู หลานชายของอ๋องสวรรค์ฮ่าว หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ของตำหนักสวรรค์
ทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง มาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้ไม่มั่นใจก็ต้องบอกว่ามั่นใจ เพราะไม่มีทางให้ถอยเลย ใครที่กล้าเกียจคร้านทำลายเรื่องดีๆ ของฮ่าวอวิ๋นตู เกรงว่าคงจะต้องตายสถานเดียว สู้ตายดูสักตั้ง ไม่ว่าจะแพ้หรือจะชนะก็ยังสามารถอธิบายได้ พวกเขาจึงกุมหมัดตอบพร้อมกัน “ผู้บัญชาการใหญ่เชิญรอฟังข่าวดี!”
“ดี!” ฮุ่ยชิงเหยียนพยักหน้าเบาๆ “ผู้บัญชาการใหญ่บอกไว้แล้ว เขาเตรียมตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่เอาไว้แปดตำแหน่งเพื่อรอฟังข่าวดีจากพวกเรา!”
“ไม่ทำให้ผู้บัญชาการใหญ่ผิดหวังแน่!” ทั้งเจ็ดคนตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ฮ่าๆ…” ฮุ่ยชิงเหยียนราวกับได้ฟังเรื่องที่น่าขำที่สุดในโลก นางหัวเราะจนตัวโยนไหล่งามสั่นเทิ้ม แล้วพุ่งตัวเหาะขึ้นฟ้าท่ามกลางเสียงหัวเราะยาว หายลับไปจากที่เดิม ในท้องฟ้ามีเสียงหัวเราะแว่วมาไกลๆ “ถ้าไม่ไปตอนนี้ แล้วจะรอถึงเมื่อไร!”
เจ็ดคนที่ยืนเรียงแถวหน้ากระดานกันจึงเหาะขึ้นฟ้าตามไปทันที
ณ ดาวหินงาม ในเนินหินระเกะระกะ ผู้ชายหยาบคายคนหนึ่งที่แต่งตัวเปลือยท่อนบน ใบหน้าเต็มไปด้วยความดุร้าย ในมือถือไหสุราใบหนึ่ง กำลังนั่งอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่ที่สีสันแพรวพราว เขาเงยหน้ากรอกสุราลงคออย่างดุดัน ดื่มจนน้ำสุราสีแดงใสกระเด็นเซ็นซ่าน ราวกับกำลังระบายอารมณ์โกรธ
สามคนที่ยืนอยู่ข้างล่างเงียบงันพูดไม่ออก คนน้อยกำลังอ่อนแอ ย่อมต้องขาดความมั่นใจอยู่แล้ว แถมด่านที่อันตรายถึงชีวิตก็มาอยู่ตรงหน้า จะเบิกบานสำราญใจได้ยังไงไหว
กลุ่มนี้คือลูกน้องของก่วงจี๋ หลานชายของอ๋องสวรรค์ก่วง หนึ่งในสี่อ๋องสวรรค์ เพียงแต่การสู้รบไม่ราบรื่น พวกเขามากันสิบคน แต่ตายกันหมดจนเหลือแค่พวกเขาสี่คน
เพล้ง! ไหสุราตกแตกกระจาย กงลิ่งผาง เป็นชื่อของผู้ชายหยาบคายที่เพิ่งกรอกสุราลงปาก เขาจ้องทั้งสามคนพร้อมกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า “ในมือพวกเรามีนักโทษหลบหนีแค่สองคน ผู้บัญชาการใหญ่โมโหมาก! ผู้บัญชาการใหญ่บอกไว้แล้ว เขาทุ่มทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือสนับสนุนพวกเราขนาดนี้ แต่พวกเรากลับตบหน้าเขา…ผู้บัญชาการใหญ่บอกว่า เขาไม่เลี้ยงลูกน้องที่เป็นขยะไร้ประโยชน์! ให้พวกเราพลิกสถานการณ์กู้หน้ากลับมา หรือไม่ก็ดึงตระกูลอิ๋งและตระกูลฮ่าวที่วางแผนร้ายกับพวกเราให้รับกรรมแทน ในบรรดาสี่ตระกูล ก่วง ฮ่าว โค่ว อิ๋ง ผู้บัญชาการใหญ่จะอยู่อันดับโหล่ไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ผู้บัญชาการใหญ่เงยหน้าอ้าปากในตระกูลก่วงไม่ได้ ผู้บัญชาการใหญ่ก็จะเด็ดหัวคนนั้นทิ้ง ทำให้คนนั้นไม่มีหัวไว้เงย ได้ยินชัดเจนรึยัง!”
ทั้งสามพยักหน้า ผู้บัญชาการถูห่าวกงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะฮุ่ยชิงเหยียนกับชิงอวี้หลาง สุนัขตัวผู้กับสุนัขตัวเมียคู่นั้นสมคบกันทำเรื่องชั่ว พวกเราจะเสียเปรียบมากขนาดนี้เหรอ!”
“มาพูดตอนนี้จะมีประโยชน์บ้าอะไรล่ะ!” กงลิ่งผางพลันยืนขึ้น แล้วชี้ทั้งสามพร้อมกล่าวอย่างเดือดดาล “ทุกคนฟังข้าให้ดีนะ ใครที่มันทำให้พวกเราไม่ได้อยู่ดีมีสุขพวกเราก็จะทำให้มันไม่มีชีวิตกลับไปเสพสุขเหมือนกัน นางตัวดีฮุ่ยชิงเหยียนนั่น แล้วก็ไอ้หลานชิงอวี้หลางนั่นด้วย จับตาดูพวกมันสองคนไว้ให้ดี ต่อให้ต้องตายก็ต้องลากพวกมันลงมาซวยด้วยกัน ไป! ไปคิดบัญชีกับพวกมัน!” ก้อนหินที่อยู่ใต้เท้าระเบิดออก คนพุ่งขึ้นฟ้าไปแล้ว…
หลังจากใช้เวลาเหาะอยู่บนท้องฟ้าอย่างยาวนาน ในที่สุดปี้เยว่ฮูหยินกับโค่วเหวินหลานก็มาถึงทางเข้าประตูดวงดาวของสถานที่ไร้ชีวิตแล้ว ทั้งสองไม่ได้พาลูกน้องมาด้วย สาเหตุสำคัญเป็นเพราะในเวลานี้ที่นี่ไม่อนุญาตให้คนทั่วไปบุกเข้าไปซี้ซั้ว ทั้งสองยังต้องให้เหตุผลว่าเป็นผู้บังคับบัญชาของคนที่เข้าร่วมการทดสอบและมาเพื่อรับคนกลับ ถึงจะเข้าไปได้
ยังไม่ทันเข้าประตูดวงดาว ทั้งสองก็ถูกทหารสวรรค์ที่เฝ้าอยู่หน้าทางเข้าประตูดวงดาวขวางไว้แล้ว หลังจากรายงานตัวตนและผ่านการตรวจสอบ ทั้งสองถึงได้ป้ายคำสั่งคนละแผ่นและได้รับอนุญาตให้เข้าไป ปรากฏว่าพอผ่านประตูดวงดาว ก็ถูกทหารสวรรค์มาดักไว้อีก หลังจากตรวจป้ายคำสั่งของทั้งสองแล้ว ทหารยามถึงได้ชี้ไปยังก้อนหินใหญ่ที่ลอยเงียบๆ อยู่ไม่ไกลกลางอากาศ พร้อมบอกอย่างไม่เกรงใจว่า “ไปรอตรงนั้น นายท่านผู้คุมมีคำสั่ง ไม่ว่าผู้ที่มาจะมีฐานะและประวัติเป็นอย่างไร หากฝ่าฝืนคำสั่ง ประหาร!”
ปี้เยว่ฮูหยินและโค่วเหวินหลานก็โวยวายไม่ได้เช่นกัน นี่คืองานที่ตำหนักสวรรค์เป็นผู้จัด ทั้งสองไม่กล้าทำกำเริบเสิบสาน ทำได้เพียงเชื่อฟังคำสั่งอย่างซื่อสัตย์
ภายใต้การเฝ้าจับตามองของทหารสวรรค์ ทั้งสองเหาะไปยังก้อนหินใหญ่ที่กำลังลอยอยู่เงียบๆ ก้อนนั้น มองไกลๆ เห็นเป็นหินก้อนใหญ่ หลังจากไปเหยียบลงบนนั้นก็พบว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว
หลังจากเหยียบลงพื้นแล้ว ก็มีทหารสวรรค์มาตรวจป้ายคำสั่งของทั้งสองคนอีก แล้วก็บอกอีกว่าเคลื่อนไหวได้ในขอบเขตไหนบ้าง ห้ามเพ่นพ่านไปทั่ว
ทั้งสองมองไปรอบๆ ยอดเขาหินลูกหนึ่งที่ยื่นออกมาถูกขุดเจาะให้เป็นเหมือนตำหนักชั่วคราว นั่นคงจะเป็นสถานที่กำกับดูแลงานของการทดสอบครั้งนี้ ทางซ้ายและขวาของตำหนักหลังนั้นยังขุดห้องถ้ำทั้งเล็กทั้งใหญ่ไว้มากมาย บางครั้งก็จะคนแวบเขาแวบออก บางครั้งก็มีคนโบกมือให้โค่วเหวินหลานจากที่ไกลๆ เห็นได้ชัดว่ารู้จักกับโค่วเหวินหลาน
โค่วเหวินหลานพยักหน้าให้ แต่กลับทิ้งปี้เยว่ฮูหยินไว้คนเดียวไม่ได้ ถึงอย่างไรนางก็เป็นผู้บังคับบัญชา
สายตาของปี้เยว่ฮูหยินไปหยุดอยู่ตรงประตูดวงดาวสีดำมืดไกลๆ ที่ถูกทหารสวรรค์ปิดผนึกไว้ นางชี้พร้อมถามว่า “นั่นคงเป็นประตูดวงดาวสำหรับไปน่านฟ้าติงขาลใช่มั้ย?”
“คงจะใช่ขอรับ หลังจากการทดสอบจบลง พวกเขาก็จะออกจากสถานที่ไร้ชีวิตผ่านตรงนั้น” โค่วเหวินหลานที่อยู่ข้างๆ ตอบ
ในขณะนี้เอง มีคนร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนโวยวายเสียงดังว่า “ใครมันมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนั้น?”
เสียงตะโกนเหมือนฆ้องแตกนี้คุ้นหูเกินไปแล้ว โค่วเหวินหลานไม่หันไปมองก็รู้ว่าเป็นคนไหน นอกจากเซี่ยโห้วหลงเฉิงแล้วยังจะมีใครอีก
ปี้เยว่ฮูหยินหันกลับไปมอง ก็แอบถอนหายใจ เป็นเจ้าคนไม่เอาถ่านนี่อีกแล้ว แต่กลับยังยิ้มพลางพยักหน้าเบาๆ ทักทายเซี่ยโห้วหลงเฉิง
เซี่ยโห้วหลงเฉิงกลับพ่นเสียงทางจมูก ใบหน้าไม่เป็นใบหน้า ทำสีหน้าบึ้งตึงไม่แยแส ตอนแรกที่เป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยิน เขาก็ยังหวั่นเกรงอยู่บ้างหลายส่วน แต่ตอนนี้น่ะเหรอ…ที่จริงตอนเป็นลูกน้องของปี้เยว่ฮูหยิน เขาก็ก่อเรื่องจนไม่ได้จากกันด้วยดีอยู่แล้ว ตอนนั้นเป็นปี้เยว่ฮูหยินที่สั่งให้คนจับตัวเขาไป เขายังจดจำความแค้นนี้ได้
ปี้เยว่ฮูหยินโดนชักสีหน้าใส่ ทำให้นางหน้าชานิดหน่อย แต่ทำได้เพียงหันหน้าไปข้างๆ โดยไม่พูดอะไรแล้ว
“ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นไอ้หมีควายเน่านี่เอง!” แต่โค่วเหวินหลานไม่ได้เกรงใจเขา พูดกระแนะกระแหนไปตรงๆ เลย
สำหรับเขาในตอนนี้ เซี่ยโห้วหลงเฉิงไม่ได้สร้างภัยคุกคามอะไรต่อเขาอีกแล้ว
เพราะว่าเซี่ยโห้วหลงเฉิงสูญเสียโอกาสสุดท้ายที่ตระกูลเซี่ยโห้วมอบให้ไปแล้ว เพราะว่าแพ้ให้กับโค่วเหวินหลาน อนาคตของเซี่ยโห้วหลงเฉิงจึงดับสนิทแล้ว ต่อไปนี้นอกจากจะเป็นคนไร้ความสำคัญของตระกูลเซี่ยโห้ว ทั้งชาตินี้ก็เป็นได้แค่ลูกคนรวยที่กินดื่มเที่ยวเล่นไปวันๆ ยันแก่ตาย ถึงขั้นหมดสิทธิ์ให้กำเนิดลูกหลานด้วยซ้ำ ในตระกูลแบบนั้น ทั้งยังเป็นนักพรตที่อายุยืนยาวแทบทั้งหมด ถ้าปล่อยให้ทุกคนให้กำเนิดลูกหลานจริงๆ แบบนั้นก็แย่น่ะสิ แถมยังมีอำนาจและอิทธิพลด้วย ถึงตอนนั้นตำหนักสวรรค์จะต้องถูกตระกูลของพวกเขายึดครองหมดแน่นอน
ภายใต้ข้อห้ามแบบนี้ ตระกูลใหญ่ทุกตระกูลล้วนสำนึกตัวในด้านนี้ ใช่ว่าใครอยากจะมีลูกก็มีได้ มีเพียงผู้ที่มีฐานะในตระกูลระดับหนึ่ง ต้องจัดอยู่ในประเภทหัวกะทิของตระกูลเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ให้กำเนิดทายาท และมีเพียงลูกหลานที่เป็นหัวกะทิเท่านั้น ถึงจะมีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรจากจระกูลทันทีที่เกิดมา ไม่อย่างนั้นต่อให้ทรัพยากรของตระกูลเยอะจะกว่านี้ แต่ก็แบ่งให้ลูกหลานนับพันนับหมื่นไม่ไหวเหมือนกัน ต้องรวบรวมทรัพยากรที่ยอดเยี่ยมไว้พยุงลูกหลานหัวกะทิ เพื่อให้พวกแหล่านั้นปกป้องผลประโยชน์ระยะยาวให้ตระกูล ดังนั้นจึงมีการแข่งขันเกิดขึ้น และเป็นสาเหตุว่าทำไมในการทดสอบครั้งนี้ คนอย่างโค่วเหวินหลานจึงทุ่มทุกอย่างที่ทำได้โดยไม่เสียดาย ของวิเศษที่มอบให้พวกเหมียวอี้ เรียกได้ว่าแทบจะควักสมบัติทั้งหมดที่โค่วเหวินหลานมีแล้ว ที่ยืมของพ่อแม่มาก็มีไม่น้อย ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีความหวังไม่มาก แต่ก็ยังต้องพยายามช่วงชิงสักครั้ง สู้ตายเพื่อตัดสินอนาคตของโชคชะตาในชาตินี้!
เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เดินก้าวยาวเข้ามาถลึงตาจ้องทันที “ไอ้ตุ้งติ้ง เจ้ามันใจกล้าไม่เบานะ บังอาจบุกมาถึงที่นี่!”
โค่วเหวินหลานตอบกลั้วหัวเราะว่า “ไอ้หมีควายเน่า จะพูดซี้วั้วอย่างนั้นไม่ได้หรอก ข้ากับฮูหยินเข้ามาตามช่องทางที่ถูกต้อง”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงยิ้มเจ้าเล่ห์ “จะถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ก็ต้องตรวจสอบก่อนถึงจะรู้ ข้าเป็นที่ปรึกษาของการทดสอบครั้งนี้ แล้วก็มีสิทธิ์รักษาระเบียบของสนามสอบด้วย” พูดจบก็หันไปตะโกน “เด็กๆ มาค้นตัวสองคนนี้หน่อย ค้นให้ข้าดีๆ สักรอบ!”
พอเขาออกคำสั่ง ก็มีคนสิบกว่าคนเข้ามาอย่างรวดเร็วทันที
เมื่อเจอคนที่กล้านำขนไก่มาใช้เป็นลูกธนู[1]แบบนี้ โค่วเหวินหลานสีหน้าเปลี่ยนทันที “ไอ้หมีควาย ข้าแนะนำว่าจ้าอย่าทำซี้ซั้วจะดีกว่า!”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงยกมือห้ามการกระทำของลูกน้อง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็ดี ทำอะไรซี้ซั้วไม่ได้จริงๆ พวกเจ้าไร้มารยาทเกินไปแล้ว งั้นเดี๋ยวข้าจะค้นด้วยตัวเอง!” เขาจะฉวยโอกาสนี้สร้างความอัปยศให้โค่วเหวินหลานสักหน่อย
ใบหน้างามของปี้เยว่ฮูหยินบึ้งตึงทันที นางกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “เซี่ยโห้วหลงเฉิง ถ้าเจ้ากล้าค้น ข้าก็จะให้เจ้าค้น!”
เซี่ยโห้วหลงเฉิงหัวเราะคิกคัก “ปี้เยว่ ข้าทำตามกฎ เจ้ายังกล้าขู่ข้าอีกเหรอ?” ขณะที่พูดสายตาก็เหลือบมองไปทั่วร่างงามที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งของอีกฝ่าย เหมือนกำลังครุ่นคิดว่าจะเริ่มลงมือจากตรงไหนก่อน
ปี้เยว่ฮูหยินพยักหน้า “ทำตามกฎงั้นเหรอ? พูดได้ดี สงสัยข้าจะไม่ทำตามกฎไม่ได้เสียแล้ว ร้านค้าของเขตเมืองตะวันออกที่ถูกทำพัง ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีกับเจ้าให้ชัดเจนเลย ต่อให้เจ้าหนีไปก็เหมือนพระที่หนีไม่พ้นวัด เดี๋ยวผู้ชายของข้าก็จะไปคิดบัญชีกับตระกูลเซี่ยโห้วเอง ทางที่ดีเจ้าเตรียมเงินไว้ก่อนเถอะ!”
…………………………
[1] 拿着鸡毛当令箭 นำขนไก่มาใช้เป็นลูกธนู หมายถึง แอบอ้างคำพูดของเบื้องบนมาใช้ประโยชน์ส่วนตัว