ส่วนสถานการณ์โดยละเอียด โค่วเหวินหลานก็ไม่ได้บอกพวกเขาอย่างชัดเจนเท่าไรนัก ว่ากันว่าความในอย่านําออก เขาคงไม่มีทางบอกเหมียวอี้ตั้งแต่แรกว่าตัวเองโดนพี่สามกดดัน
ในเมื่อโค่วเหวินหลานตัดสินใจแล้วว่าจะมอบนักโทษสี่คนให้อีกกลุ่มเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศของวงศ์ตระกูล เหมียวอี้ก็ไม่มีความเห็นอะไรเหมือนกัน ต่อให้มีความเห็นก็ไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้าดึงดันจะทำแบบนี้ ต่อให้จับนักโทษกลับไปสี่คนแล้วยังไงล่ะ? ถ้าไม่สอดคล้องกับเจตนาของโค่วเหวินหลาน ทำงานไปก็เปล่าประโยชน์ ถ้ายั่วให้โค่วเหวินหลานไม่พอใจ ต่อให้สร้างผลงานได้แต่ก็มีความผิด ขนาดเจ้าตัวยังไม่สนใจผลงานนี้ แล้วเจ้ายังจะทำอะไรได้อีก ก็แค่แย่งผลงานให้โค่วเหวินหลานไม่ใช่เหรอ!
สิ่งที่ทำให้เหมียวอี้มีความเห็นแย้งก็คือ ยังต้องช่วยพวกโฉวตั้งไห่ช่วงชิงอันดับหนึ่งอีก ถึงตอนนั้นยอดฝีมือหลายร้อยรบกันอุตลุต อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขาสามคนอันตรายเกินไป นี่ก็คือความจนใจของการเป็นลูกน้อง เจ้าจะขัดคำสั่งก็ไม่ได้อีก
เดิมทีมีคนเพิ่มมาอีกกลุ่มก็ควรจะปลอดภัยขึ้นไม่น้อย แต่ประเด็นสำคัญคือไม่สนิทกับกลุ่มโฉวตั้งไห่เลยสักนิด ไม่ต้องหวังเลยว่าฝ่ายนั้นจะช่วยปกป้องเจ้าได้ ในแดนฝึกตนถ้าเป็นคนแปลกหน้ากัน ภายใต้สถานการณ์แบบนั้นใครจะสู้ตายเพื่อมาช่วยเจ้า? ในการแย่งชิงผลประโยชน์ ย่อมไม่มีการกล้ายืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเปลี่ยนเป็นเหมียวอี้ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำอย่างนั้น
เดิมทีทั้งสามก็ไม่มั่นใจอยู่แล้ววาจะกลับไปได้หรือไม่ ตอนนี้ยังต้องมาทำเรื่องแบบนี้อีก ช่างเป็นการราดน้ำมันลงกองไฟ เป็นการบีบให้พวกเขาไปตายชัดๆ!
“แล้วจะทำยังไงดี?” มู่หรงซิงหัวถาม
เหมียวอี้ตอบว่า “ยังจะทำยังไงได้อีกล่ะ? พวกเรา…” จากนั้นก็ชะงัก แล้วหยิบระฆังดาราออกมาจากกำไลเก็บสมบัติ โค่วเหวินหลานส่งข้อความมาอีกแล้ว
โค่วเหวินหลานเหมือนจะได้สติกลับมา เห็นได้ชัดว่าตระหนักได้ถึงปัญหาแล้ว บอกว่า : ต้องมอบนักโทษสี่คนให้พวกโฉวตั้งไห่ ส่วนที่เหลือก็ตัดสินใจคามสถานการณ์ ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็รักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อน!
เมื่อได้ยินแบบนี้ เหมียวอี้ก็นับว่าโล่งใจขึ้นหน่อย เจ้าตุ้งติ้งนี่ยังนับว่ายังมีจิตสำนึกในความเป็นคนอยู่บ้าง ถ้าไม่มองเห็นลูกน้องเป็นคนจริงๆ งั้นก็ต้องคิดเล็กคิดน้อยกันหน่อยแล้ว แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็เป็นคนแบบนี้ ถ้าเจ้าไม่รังแกข้า ข้าก็ไม่รังแกเจ้า แต่ถ้าเจ้ารังแกข้า ข้าก็จะรังแกเจ้าแน่นอน!
จากนั้นก็บอกเจตนาของโค่วเหวินหลานให้อีกสองคนฟัง
มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานได้ยินแล้วโล่งใจขึ้นบ้าง ถ้าแค่ปล่อยนักโทษไปให้คนอื่น งั้นการที่พวกเขาจะรอดตัวได้หรือไม่กับการที่พวกเขาจะมอบนักโทษให้หรือไม่ ก็ไม่แตกต่างกันเท่าไรแล้ว เพียงแต่พอเป็นแบบนี้…สวีถังหรานถามว่า “เกรงว่าผู้บัญชาการใหญ่จะยังไม่ได้เลื่อนขั้นน่ะสิ?”
ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ถ้าโค่วเหวินหลานไม่สามารถเลื่อนขั้นได้ งั้นพวกเขาก็ทำได้เพียงย่ำอยู่ที่เดิมแล้ว
“จนป่านนี้แล้วเจ้ายังเอาแต่คิดเรื่องนี้อีกเหรอ? รักษาชีวิตตัวเองก่อนสำคัญกว่า” มู่หรงซิงหัวกล่าว
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ฟังจากความหมายที่พูด ตระกูลโค่วคงจะให้คำสัญญาอะไรบางอย่างกับผู้บัญชาการใหญ่ คาดว่าต่อให้อยู่ที่ดาวเทียนหยวนต่อไม่ได้แล้ว ตระกูลโค่วก็คงจะย้ายเขาไปไว้ในขอบเขตอำนาจของตัวเอง คงจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเราอย่างขาดความยุติธรรม อย่างน้อยคงจะรักษาตำแหน่งปัจจุบันไว้ได้ ผู้บัญชาการใหญ่วางตัวค่อนข้างดี คาดว่าเขาคงจะไม่ทิ้งพวกเราหรอก”
“นั่นก็ใช้” สวีถังหรานกล่าวกลั้วหัวเราะ
สาเหตุก็ไม่วบซ้อนเลย ตราบใดที่มั่นใจว่าโค่วเหวินหลานยังไม่ล้มลง มั่นใจว่ายังมีคนหนุนหลังคนนี้อยู่ พวกเขาก็ยังมีโอกาสจะเลื่อนขั้นอีกครั้ง
กลับเป็นมู่หรงซิงหัวที่เงียบงันกับสิ่งนี้ เรื่องราวก็แสดงให้เห็นชัดเจนอยู่แล้ว นางไม่ใช่คนของโค่วเหวินหลาน โค่วเหวินหลานพาหนิวโหย่วเต๋อกับสวีถังหรานไปด้วยได้ รับประกันอนาคตของทั้งสองได้ แต่อาจจะไม่สนใจใยดีนาง!
เหมียวอี้กับสวีถังหรานเหมือนจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง สบตากันแวบหนึ่ง รู้ว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกไป จึงพากันหุบปากไม่พูดอะไรแล้ว…
การทดสอบครั้งนี้เหมือนจะมีปัญหานิดหน่อย หรือพูดได้ว่าสร้างเรื่องน่าหัวเราะเยาะออกมานิดหน่อย
เป็นเหมือนที่ทุกคนคาดไว้ ตรงจุดหมายปลายทางสุดท้าย นอกจากการเข่นฆ่าตอนที่อักษร ‘คำสั่ง’ เพิ่งโผล่ออกมา ตอนท้ายก็เงียบจนดูเหลวไหล ไม่เห็นการเคลื่อนไหวอะไร เป็นวันที่แปดแล้วตั้งแต่การทดสอบจบลง นับถอยหลังอีกสามวัน ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่เห็นใครมารายงานการปฏิบัติภารกิจเลย เรื่องนี้ช่างวุ่นวาย
ชิงอวี้หลางที่ลาดตระเวนอยู่โดยรอบตลอด เหมือนตอนแรกจะคาดคิดไม่ถึงจุดนี้ หลังจากตระหนักได้ถึงปัญหา ก็เหมือนจะอับอายนิดหน่อย เหมือนตัวเองจะทำให้การทดสอบครั้งนี้กลายเป็นเรื่องน่าขำ อุตส่าห์คิดแล้วคิดอีก แต่คาดไม่ถึงว่ากลุ่มคนที่ดูอยู่ข้างสนามจะรวมตัวกันโกง รวมตัวกันส่งข่าวบอกลูกน้องตัวเอง
เป็นแบบนี้มาจนถึงตอนท้ายสุด ชิงอวี้หลางเองก็เริ่มทำสีหน้าไม่ถูก เริ่มนำคนซ่อนตัวอีกครั้งอย่างเศร้าหมอง
แต่มาซ่อนตัวตอนนี้จะมีประโยชน์อะไรล่ะ กลุ่มคนที่ล้อมดูบอกข่าวลูกน้องไปตั้งนานแล้ว ใครจะยอมมาปะทะตรงนี้
เก้าอี้บนบันไดหน้าตำหนักว่างแล้ว เกาก้วนไม่อาจนั่งรออยู่ที่นี่ต่อไป ตั้งแต่วันแรกที่เห็นสภานการณ์ไม่ชอบมาพากล เขาก็ลุกขึ้นกลับเข้าในตำหนักแล้ว
แต่โค่วเหวินหลานและคนอื่นๆ กลับไปสลายตัวไปไหน ยังคงเฝ้ารออยู่ตลอด กลัวว่าจะพลาดอะไรไป สาเหตุหลักเป็นเพราะลาภยศได้ครอบงำจนหน้ามืดตามัว ถ้ายังไม่เห็นผลลัพธ์ สติก็ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว จะสงบใจลงได้อย่างไร พวกเขาจึงนั่งสมาธิรออยู่บนพื้น
รอจนเหลือสามวันสุดท้าย เหตุการณ์ยังเงียบกริบ แต่กลับมีคนไม่อยากตายดีบุกมา ท่านขุนนางเหมียวพาคนบุกมาแล้ว
เดิมทีเหมียวอี้ยังคิดจะหลบซ่อนอีกสักหน่อย เตรียมจะโผล่ออกมาอีกทีตอนวันสุดท้าย เขาบอกวัตถุประสงค์ให้โค่วเหวินหลานรู้แล้วเช่นกัน
แต่โค่วเหวินหวงรอไม่ไหว เขากังวลว่าในขณะที่รบกันอย่างอุตลุตตอนสุดท้าย พวกเหมียวอี้อาจจะตายอยู่ในนั้นเพราะความสามารถไม่ถึง กลัวว่าของจะตกมาไม่ถึงมือลูกน้องของตน โดยเฉพาะหลังจากถามโค่วเหวินหลานเรื่องวรยุทธ์ของทั้งสามคนแล้ว เขาก็ยิ่งไม่อยากรออีก อยากจะได้นักโทษมาไว้ในมือก่อน ถึงจะรู้สึกมั่นคงปลอดภัย
โค่วเหวินหลานไม่มีทางเลือก ในเมื่อเขาไม่มีทางเลือก พวกเหมียวอี้ก็ทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง!
ขณะที่ปฏิบัติตามคำสั่งก็เสนอความเห็น ว่าให้พวกโฉวตั้งไห่มาเป็นกำลังหนุน ตอนคุยกันก็ตอบตกลงแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ยอมปล่อยเหยี่ยวหากยังไม่เห็นกระต่าย
เมื่อเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า เหมียวอี้ก็ด่าแม่ในใจแล้ว เขามองเห็นตัวอักษร ‘คำสั่ง’ ที่ส่องสว่างระยิบระยับนั่นแล้ว มองเห็นจุดหมายปลายทางแล้ว แต่พวกโฉวตั้งไห่ที่จะมาสนับสนุนกลับยังไม่มีการเคลื่อนไหว
“มีคนมาแล้ว!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องประหลาดตรงจุดหมายสุดท้าย ทุกคนใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์มองมาทันที ต่างก็สงสัยว่าใครกันที่ใจกล้าโผล่ออกมาตอนนี้?
โค่วเหวินหลานที่กำลังนั่งขัดสมาธิยืนขึ้นแล้ว เขารู้ว่าพวกเหมียวอี้มาถึงแล้ว
สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ ทิศทางที่พวกเหมียวอี้เหาะไปเหมือนจะไม่ใช่ทางนี้
แน่นอนว่าไม่ได้มาทางนี้อยู่แล้ว เป้าหมายของเหมียวอี้ไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้าย แต่เป็นสถานที่ที่พวกโฉวตั้งไห่ซ่อนตัวอยู่
เห็นๆ อยู่ว่าใช้ระยะทางอีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว แต่ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะพลิกผัน จู่ๆ ก็มีกำลังคนกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากดาวเคราะห์ด้านขวา มุ่งตรงมาที่พวกเหมียวอี้
ผู้ที่นำหน้ามาขี่ ‘เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็น’ สวมเกราะรบผลึกแดงขั้นสูงทั้งตัว เอวบางหน้าอกอิ่ม ผมยาวปลิวสะบัด ถือดาบในแนวเฉียง ฝานอวี้เฟยเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นเยียบดุร้าย ข้างหลังมีคนติดตามเก้าคน ทั้งหมดขี่ ‘เหยี่ยวมารวานรยักษ์’
มีละครเด็ดๆ ให้ดูแล้ว! ทุกคนที่อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายกระโดลุกขึ้นมองทันที
ฉากนี้ทำให้โค่วเหวินหลานกัดฟันแน่นจนฟันเกือบหัก ผ้าเช็ดหน้าในมือโดดฉีกขาดแล้ว
ก่อนหน้านี้บอกให้โค่วเหวินหวงส่งคนไปสนับสนุน ทว่าโค่วเหวินหวงที่รับปากเอาไว้อย่างดี ตอนนี้กลับนิ่งเฉยเพื่อรอดูสถานการณ์ เหมือนน้ำเข้าสมองแล้วจริงๆ!
ปี้เยว่ฮูหยินที่กำลังดูเหตุการก็เริ่มอกสั่นขวัญแขวนแล้วเช่นกัน
เซี่ยโห้วหู่เฉิงกลับแอบร้องว่าแย่แล้ว ทำไมลืมอันตรายนี้ไปได้!
คนเป็นคนของเขา เป็นเพราะเขารับปากเซี่ยโห้วหลงเฉิงพี่ชายของเขาไว้แล้ว บอกฝานอวี้เฟยว่าต้องเอาชีวิตสวีถังหรานให้ได้ ตอนนี้สวีถังหรานกลับโผล่มาล่วงหน้าราวกับผี จึงล่อให้ฝานอวี้เฟยลูกน้องของเขาออกมาด้วย
สถานการณ์ในตอนนี้ชัดเจนมาก ศึกที่เลวร้ายจริงๆ อยู่ที่จุดหัวเลี้ยวหัวต่อในตอนท้าย ออกหน้าทำตัวเด่นตอนนี้ อย่ากลายเป็นเป้าโจมตีของทุกคนเด็ดขาด!
คนโผล่ออกมาหมดแล้ว มาเรียกกลับตอนนี้ก็ไม่มีความหมาย
โค่วเหวินหวงสีหน้าตึงเครียดเช่นกัน เดิมทีเขานึกว่าเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกคนล้วนเก็บออมพลังเอาไว้ ตราบใดที่พวกหนิวโหย่วเต๋อไม่มาทางนี้ ก็น่าจะไม่มีใครบุ่มบ่ามเคลื่อนไหว คิดวางแผนผิดพลาดแล้ว!
เหมียวอี้เอียงหน้ามองพวกฝานอวี้เฟยที่โจมตีเข้ามาอย่างดุเดือดรุนแรง แล้วหันกลับมาตะโกนว่า “กินยา!”
จากนั้นก็คว้าสมุนไพรเซียนซิงหัวทั้งต้นยัดเข้าปากก่อนใคร เคี้ยวทั้งต้นแล้วกลืนลงไป นี่คือความเคยชินของเขาแล้ว
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานก็เครียดกังวลอย่างสูง มิหนำซ้ำคนที่นำหน้ามายังมีวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดด้วย วรยุทธ์ของคนอื่นก็มีแต่บงกชทองขั้นห้าขึ้นไป พวกเขาต้านทานกระบวนทัพนี้ไม่ไหวเลย
หลังจากเหมียวอี้เตือนแล้ว ก็เห็นเขาทำให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย ทั้งสองจึงเข้าใจความหมายทันที นี่คือการเตรียมตัวสำหรับการบาดเจ็บตั้งแต่ยังไม่เริ่มต่อสู้ แต่ก็เป็นวิธีการที่ดีจริงๆ มีหรือที่จะชักช้า พวกเขาต่างคนต่างหยิบสมุนไพรเซียนซิงหัวมายัดใส่ปากทันที
“ไม่ต้องกลัว! โฉวมาช่วยแล้ว!” เสียงตะโกนเกรี้ยวกราดสะเทือนท้องฟ้า
ถ้าไม่เข้ามาสนับสนุนตอนนี้คงไม่ได้แล้ว บนตัวพวกหนิวโหย่วเต๋อมีนักโทษสี่คน กอปรกับพวกหนิวโหย่วเต๋อวรยุทธ์ต่ำเกินไป เป็นการส่งมอบผลประโยชน์ไปให้คนอื่นแท้ๆ เลย มีหรือที่จะมัวนิ่งดูดาย พอโฉวตั้งไห่ตะโกน ก็นำคนแปดคนเข้ามาโจมตีสนับสนุนทันที
ฝานอวี้เฟยพลันสีหน้าเปลี่ยน นึกไม่ถึงว่าจะยังมีผู้ช่วยอีก ดูจากท่าทางของผู้ช่วยแล้ว เหมือนแต่ละคนจะมีพลังที่ไม่อ่อนแอด้วย นางกัดฟันแล้วโบกดาบตะโกนเสียงแหลม “ฆ่า!”
เซี่ยโห้วหู่เฉิงก็สีหน้าเปลี่ยนเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าพวกเหมียวอี้จะยังมีคนคอยสนับสนุน
เมื่อเห็นช่วยสนับสนุนปรากฏตัว โค่วเหวินหลานก็โล่งใจลงเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในอารมณ์ตึงเครียดเหมือนเดิม
ฝ่ายหนึ่งไล่ตาม ฝ่ายหนึ่งหนี ฝ่ายหนึ่งมาช่วยสนับสนุน ระยะห่างระหว่างสามฝ่ายก็พอๆ กัน แต่ฝ่ายที่หนีกับฝ่ายสนับสนุนต่างก็เข้ามาหากัน ระยะห่างระหว่างทั้งสองย่อมเข้าใกล้กันอย่างรวดเร็วได้เปรียบกว่าฝ่ายไล่ตาม
ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน เหมียวอี้ถ่ายทอดเสียงบอกข้างหลังว่า “ตามติดข้า!”
ขณะเดียวกันก็รีบถือกระเป๋าสัตว์ใบหนึ่งออกมา โบนให้พวกโฉวตั้งไห่ที่พุ่งเข้ามาหา พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนบอกเสียงดัง “ส่งนักโทษให้เจ้า!”
โฉวตั้งไห่ร่ายอิทธิฤทธิ์คว้ากระเป๋าสัตว์มาไว้ในมือ ส่วนเหมียวอี้ก็นำคนของตัวเองเลี้ยวเป็นเส้นโค้ง เฉียดผ่านพวกเขาไป ให้พวกโฉวตั้งไห่เผชิญหน้ากับคนที่ไล่ตามมา ที่ตะโกนเสียงดังก็เพราะอยากให้ฝานอวี้เฟยที่อยู่ข้างหลังได้รู้ ว่านักโทษไม่ได้อยู่ในมือพวกข้าแล้ว ถ้าจะฆ่าก็อย่ามาหาพวกข้า ไปหาพวกโฉวตั้งไห่แทน
ขณะที่กำลังเครียดกังวล มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานแอบรู้สึกชื่นชม ปลีกตัวได้แบบนี้ดีมาก!
โค่วเหวินหวงหน้าดำคร่ำเครียด ส่วนโค่วเหวินชิงกลั้นขำนิดหน่อย ส่วนโค่วเหวินหลานก็แอบชมในใจ ปี้เยว่ฮูหยินเลิกคิ้วพลางพึมพำในใจ ไหวตัวเร็วและเจ้าเล่ห์มาก!
ไอ้เวรเอ๊ะ! พวกโฉวตั้งไห่แอบด่าในใจอย่างบ้าคลั่ง ทุกคนไม่ได้โง่ แค่ได้ยินก็รู้ถึงเจตนาของเหมียวอี้แล้ว เป็นเพราะเหมียวอี้สะดุดตาเกินไป จะให้ก็ให้สิ จะตะโกนโวยวายทำไม กลัวคนอื่นจะไม่รู้ใช่มั้ย?
แต่พอโฉวตั้งไห่ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูในนั้น ก็เห็นว่ามีนักโทษสี่คนจริงๆ ทำให้จิตใจสงบลงเล็กน้อย
เห็นอยู่ตำตาว่ากำลังจะปะทะกับพวกฝานอวี้เฟย เมื่ออยู่ต่อหน่าเจ้านาย มีหรือที่จะเผยให้เห็นความขี้ขลาด โบกทวนตะโกนทันทีว่า “โจมตี!”
ทว่าสิ่งที่เหนือความคาดหมายของคนส่วนใหญ่ก็คือ ฝานอวี้เฟยนำคนเฉียดผ่านไป ล้มเลิกการปะทะหน้ากับพวกโฉวตั้งไห่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเลี้ยวตามพวกเหมียวอี้ไปอีก
“น้องหนิว พวกเขาตามมาแล้ว!” สวีถังหรานที่หันไปมองแวบหนึ่งร้องบอก
ท่านขุนนางเหมียวคาดการณ์ผิดแล้วจริงๆ พอหันกลับมองแวบหนึ่ง ในใจก็ด่าอย่างบ้าคลั่ง หมาบ้าจากไหนกัน ถ้าไม่แย่งตัวนักโทษแล้วทำไมต้องตามพวกเราไม่ยอมปล่อย? หรือว่าสิ่งที่ข้าทำเมื่อครู่นี้เด่นชัดเกินไป เลยคิดว่าข้ากำลังหลอกลวง?
…………………………