มารดาเจ้าเถอะ! นางแพศยา! จนใจดูถูกข้า ทำให้ข้าดูแย่อยู่คนเดียว…
สวีถังหรานที่กำลังหลบหนี พอหันกลับมามองก็ร้อนใจแล้ว เหมียวอี้บอกแล้วว่าจะดักหลังให้ ตามหลักการมู่หรงซิงหัวต้องหนีไปพร้อมเขาสิถึงจะถูก ตอนนี้กลายเป็นเขาหนีอยู่คนเดียว ส่วนมู่หรงซิงหัวโจมตีเข้าไปแล้ว ผู้บัญชาการใหญ่โค่วกำลังมองอยู่นะ! ศึกเลือดนี้มีตนหลบหนีอยู่คนเดียว มันใช่เรื่องเสียทีไหนกัน? แบบนี้ต่อให้รอดชีวิตกลับไปได้ก็ลำบากอยู่ดี!
แต่อาศัยวรยุทธ์ของตน ถ้ากลับไปโจมตีก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง!
แต่เขาก็ยังแข็งใจกลับไปโจมตี!
แต่กลับไม่ได้โจมตีคน แต่ฆ่าเหยี่ยว! สู้กับคนก็สู้ไม่ชนะ ถ้าสู้กับเหยี่ยวมารวานรยักษ์ก็มีความมั่นใจมาก ถือโอกาสเก็บของจากคนตายด้วยก็ดีเหมือนกัน!
“ตาย!” สวีถังหรานตะโกนจนหน้าแดงคอแห้ง ตะโกนดังกว่าใครเพื่อน มีพลังอำนาจมาก เป็นหลักฐานว่าข้ามาแล้ว!
เขาเลี้ยวเปลี่ยนทิศทาง โจมตีไปยังเหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่กำลังขยุ้มร่างเจ้าของของมัน
ว่ากันว่า สุนัขเห่ามักไม่กัด สุนัขกัดมักไม่เห่า ถ้าจะพูดถึงเหตุการณ์ประมาณนี้
เมื่อเห็นเหมียวอี้พุ่งเข้ามา ฝานอวี้เฟยก็มีมาดวีรสตรีถืออาวุธออกรบอยู่หลายส่วน แววตาเย็นเยียบน่ากลัว
“กรร!” ชั่วพริบตาเดียวที่ชนกัน เดรัจฉานสับปลับที่เหมียวอี้ขี่ก็อ้าปากคำรามเกรี้ยวกราด หมอกแดงร้อนจี๋พัดม้วนออกมา
“กรร!” แทบจะพร้อมกัน เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นของฝานอวี้เฟยก็อ้าปากคำรามเช่นกัน
หมอกแดงร้อนจี๋ที่ครอบเข้ามา เดิมทีรวดเร็วฉับพลันเหมือนม้าชั้นดี ทว่ากลับสั่นสะเทือนอยู่พักหนึ่ง ราวกับโดนคลื่นล่องหนบางอย่างโจมตี มันปรากฏรูปอยู่ท่ามกลางหมอกแดงร้อนจี๋ ทำให้หมอกแดงร้อนจี๋ที่กระเพื่อมเป็นวงเล็กวงใหญ่หลายชั้นพลันกรอกซัดกลับมาหาเหมียวอี้
วินาทีที่คลื่นเสียงจู่โจมเข้ามา ในหัวเหมียวอี้ก็มีเสียงดังเหมือนเสียงผึ้ง วิงเวียนศีรษะเหมือนโลกหมุนทันที แต่โชคดีที่การเปลี่ยนแปลงของหมอกแดงร้อนจี๋เตือนเขาไว้ได้ทันเวลา เขาไม่ได้เผชิญหน้ากับการโจมตีด้วยเสียงเป็นครั้งแรก มีประสบการณ์ตั้งนานแล้ว เพลิงจิตที่เหมือนกับคลื่นน้ำพลันกะจายจากซอกร่องของเกราะรบออกมานอกร่างกาย ต้านทานการจู่โจมของคลื่นเสียงที่ตามมาทีหลังอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นฝ่ายตรงข้ามฉวยโอกาสโบกดาบฟันเข้ามา เขาก็รีบโบกทวนตั้งรับการโจมตี
เดรัจฉานสับปลับไม่ได้เกลียดเปลวเพลิงร้อนแรงที่ตัวเองคายออกมา แต่พอโดนคลื่นเสียงคำรามนั่นโจมตี มันก็พลิกตัวอย่างบ้าคลั่งทันที ส่งเสียงร้องตกใจพลางพลิกตัว
เหมียวอี้ที่กำลังลงมือเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้พอดี พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกจริงๆ ทั้งตัวโดนเดรัจฉานสับปลับก่อกวนจนเปลี่ยนทิศทาง เผยแผ่นหลังให้คู่ต่อสู้แล้ว ตกใจจนเหงื่อกาฬแตกท่วมตัว ภายใต้ความวิตกกังวล เขาถือโอกาสพลิกลงไปด้านข้างลำตัวของเดรัจฉานสับปลับ
“วี๊ด…” เดรัจฉานสับปลับร้องอย่างเจ็บปวด ละอองเลือดระเบิดออกมาเป็นวงกว้าง ร่างกายขนาดยักษ์โดนฝานอวี้เฟยที่แฉลบผ่านฟันขาดเป็นสองท่อน ร่างกายครึ่งหนึ่งกระเด็นออกไป ปรากฏร่างของเหมียวอี้ที่หลบซ่อนอยู่ข้างล่าง
ดาบที่ดุเดือดรุนแรง เงาดาบที่แทบจะมีรูปร่างฟันร่างกายที่มีเลือดเนื้อแข็งแกร่งของเดรัจฉานสับปลับจนขาดสะบั้น อานุภาพที่ยังหลงเหลืออยู่ฟันไปหาเหมียวอี้ที่อาศัยเดรัจฉานสับปลับเพื่อหลบหลีก
ท่ามการเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตาเดียว ขณะที่ละอองเลือดที่ระเบิดกระจาย เหมียวอี้รีบใช้สองมือดันด้ามทวนสกัดไว้ข้างหน้าร่างกายในแนวขวาง นิ้วทั้งสิบหุ้มด้วยเกราะเกล็ดคว้าจับด้ามทวนไว้แน่น บนทวนเกล็ดย้อนมีแสงสีทองระเบิดออกมา อานุภาพของทวนวิเศษถูกกระตุ้นออกมาจนถึงขีดสุด
แกร๊ง! เกิดเสียงดังสะเทือน แผ่นเกล็ดของเกราะรบบนตัวเหมียวอี้โบกไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังเปาะแปะ ทั้งตัวสะเทือนจนกระเด็นออกไป
หลังจากเงาดาบที่เกือบจะมีรูปร่างฟันโดนทวนเกล็ดย้อน มันก็พังทลายลงในชั่วพริบตาเดียว
ฝานอวี้เฟยที่ขี่เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นแฉลบผ่านรีบหันกลับมามองเหมียวอี้ที่กระเด็นออกไป ในดวงตาฉายแววตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าเหมียวอี้ที่โดนคลื่นเสียงจากเดรัจฉานเสียงสวรรค์จะยังมีสติและต้านทานไหว ที่สำคัญที่สุดก็คือสามารถต้านทานการโจมตีสุดแรงของนางได้ เป็นไปได้อย่างไร!
นางย่อมเข้าใจดีกว่าวรยุทธ์บงกชทองขั้นแปดกับบงกชทองขั้นสามต่างกันมากขนาดไหน ถึงแม้พลังของดาบนั้นจะถูกกายเนื้ออันแข็งแกร่งของเดรัจฉานสับปลับลดคลายลงไปไม่น้อย แต่อานุภาพที่ยังหลงเหลือก็ยังมีมาก ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตบงกชทองขั้นสามจะต้านทานได้ง่ายๆ แต่เห็นสภาพอีกฝ่ายเหมือนจะไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
จากแสงสีทองที่เปล่งบนทวนในมือเหมียวอี้ก็สามารถดูออก นั่นเป็นเพียงของวิเศษขั้นห้าเท่านั้น ไม่ควรจะมีพลังต้านทานแข็งแกร่งมากขนาดนี้
บนตัวเจ้าหนุ่มนี่เหมือนมีของประหลาด…ฝานอวี้เฟยพึมพำในใจ
สาเหตุที่แท้จริงมีเพียงเหมียวอี้เท่านั้นที่รู้ดี ทวนเกล็ดย้อนสามารถคลายพลังของฝ่ายตรงข้ามได้สองส่วน แถมเกราะรบบนตัวยังกำจัดพลังได้สองส่วนด้วย ไหนจะมีพลังงานต้านทานของยาเจี๋ยตันขั้นห้าที่แฝงอยู่ในทวนเกล็ดย้อนและเกราะรบบนตัวอีก บวกกับการใช้วรยุทธ์ของตัวเองต้านทาน ถึงได้ทนรับการโจมตีนี้ได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องบาดเจ็บสาหัสแน่นอน
การประสบอันตรายกะทันหันครั้งนี้ ทำให้เหมียวอี้ตื่นตระหนกเหลือทน โชคดีที่มีของวิเศษสองชิ้นที่เยารั่วเซียนหลอมสร้างให้เขา ทำให้เขาต้านทานพลังโจมตีได้เกือบครึ่งหนึ่งในรวดเดียว แต่พลังของนักพรตบงกชทองขั้นแปดก็แข็งแกร่งเกินไป ยังทำให้เขาสะเทือนจนกระเด็น แม้แต่การโจมตีครั้งเดียวก็ยังต้านทานไม่ไหว
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ใช้กำลังปะทะตรงๆ กับคนที่วรยุทธ์สูบขนาดนี้!
ส่วนเลือดลมที่ปั่นปวนในร่างกายกับแขนสองข้างที่สะเทือนจนเหน็บชา เขารีบร่ายอิทธิฤทธิ์ทำให้สงบลง แล้วยืนให้มั่งคงอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นทวนเกล็ดย้อนในมืออับแสงลงหลังจากต้านทานการโจมตีไปหนึ่งครั้ง เขาก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง นำยาเจี๋ยตันขั้นห้าที่เตรียมไว้เม็ดหนึ่งมาร่ายอิทธิฤทธิ์ใส่เข้าไปในตัวทวนทันที ฟื้นพลังงานให้กับทวนวิเศษ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย คนมากมายที่ดูการต่อสู้อยู่ตรงจุดหมายสุดท้ายตกตะลึงมาก ต่างก็แปลกใจที่เหมียวอี้ต้านทานการโจมตีนั้นได้
เมื่อครู่ตอนที่เห็นฝานอวี้เฟยใช้ดาบฟันโดนเหมียวอี้ โค่วเหวินหลานก็ขนลุกแล้ว แอบร้องในใจว่าจบเห่แล้ว!
แต่ใครจะคิดว่าเหมียวอี้จะสามารถต้านทานไว้ได้! สิ่งนี้ทำให้เขาผิดคาดและตื่นเต้นประหลาดใจจริงๆ!
“เจ้าหก เกราะรบบนตัวลูกน้องเจ้า เจ้าเป็นคนมอบให้เหรอ?” จู่ๆ โค่วเหวินชิงก็ถ่ายทอดเสียงถาม ในน้ำเสียงเหมือนจะแปลกใจอยู่บ้าง
โค่วเหวินหลานส่ายหน้า ไม่ได้ตอบอะไร เอาแต่จ้องสถานการณ์ตาไม่กะพริบ ไม่มีกะจิตกะใจมาครุ่นคิดถึงคำถามของนางเลย
ส่วนโค่วเหวินหวงก็ขมวดคิ้วจ้องมองเหมียวอี้ ความสามารถที่เหมียวอี้แสดงออกมาเหนือความคาดหมายของเขา ตอนนี้เขานึกเสียใจทีหลัง ถ้ารู้แต่แรกว่าเหมียวอี้มีความสามารถแบบนี้ ถ้าให้รวมกำลังกับพวกโฉวตั้งไห่ จะต้องช่วยเหลือได้มากแน่นอน
ส่วนพวกโฉวตั้งไห่ที่หันกลับมามองก็ค่อนข้างพูดไม่ออก
ส่วนปี้เยว่ฮูหยินก็แอบรูปสึกประหลาดใจเป็นสองเท่า นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าหนิวโหย่วเต๋อจะมีความสามารถขนาดนี้
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันของสถานการณ์การรบกลับทำให้เซี่ยโห้วหู่เฉิงเม้มริมฝีปากแน่น นึกไม่ถึงว่าลูกน้องตัวเองจะจัดการนักพรตบงกชทองขั้นสามคนเดียวไม่ได้เสียที ทั้งยังโดนฝ่ายตรงข้ามจัดการสมาชิกไปรวดเดียวสองคน ทั้งยังใช้กำลังปะทะตรงๆ กับหัวหน้านักรบของตนด้วย แม้แต่การโจมตีจากเดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นก็ต้านทานได้!
เหมือนจะเชื่องช้า แต่เวลากลับรวดเร็วกว่าที่คิด มู่หรงซิงหัวอาศัยความได้เปรียบด้านความเร็วของเดรัจฉานสับปลับ บวกกับหมอกแดงร้อนจี๋ของเดรัจฉานสับปลับ ฟันสังหารคู่ต่อสู้ทิ้งได้อย่างราบรื่นแล้ว
สวีถังหรานก็ ‘น่าเกรงขาม’ มากเช่นกัน เหยี่ยวมารวานรยักษ์สองตัวที่อาลัยอาวรณ์เจ้าของจะสู้เขาได้อย่างไร ยามเผชิญกับสัตว์เทพสองตัวที่โจมตีล้างแค้นให้เจ้าของตัวเอง เขาใช้ทวนแทงทีละตัว สองตัวนั้นถูกเขาแทงตายหมดแล้ว ส่วนสมบัติบนตัวสองคนนั้นก็ย่อมไม่ปล่อยไป
งานเบ็ดเตล็ดมักจะมีคนทำให้อยู่แล้ว ท่ามกลางสายตาประชาชี ตัวเองก็ต้องหางานทำสักหน่อยสิ แสร้งทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ว่างก็พอแล้ว
เซี่ยโห้วหลงเฉิงที่เงยหน้ามองกัดฟันกรอด อยากจะเอาดาบไปฟันเขาให้ตายจริงๆ ในปีนั้นทำไมฟันโจรสุนับตัวนี้ไม่ได้ ปล่อยให้มาสร้างความอับอายขายหน้าอยู่ตรงนี้ได้!
ส่วนเหมียวอี้หยุดยืนอย่างมั่นคง หลังจากเฉียดผ่านการโจมตีของฝานอวี้เฟยไป เหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวที่ย้อนไล่ตามก็โจมตีเข้ามาแล้ว ฝานอวี้เฟยก็เลี้ยวมาแล้วเช่นกัน ตอนนี้เลิกสนใจมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานชั่วคราว เมื่ออยู่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ แต่ยังจัดการไม่ได้แม้แต่นักพรตบงกชทองขั้นสามคนเดียว แบบนี้จะทนความรู้สึกได้อย่างไร จะให้ผู้บัญชาการใหญ่เซี่ยโห้วมองพวกเขาอย่างไร?
เห็นเหมียวอี้ไม่มีสัตว์พาหนะแล้ว ขาดความได้เปรียบด้านความเร็วโดยสิ้นเชิง หลายคนที่โจมตีเข้ามามีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายเท่า ก็เหมือนกับความรู้สึกของมู่หรงซิงหัวตอนไปโจมตีเข่นฆ่าคนที่สูญเสียสัตว์พาหนะ
แต่สำหรับเหมียวอี้แล้ว ก่อนหน้านี้เคยใช้กำลังปะทะตรงๆ กับนักพรตบงกชทองขั้นแปดโดยยังไม่สวมเกราะรบของเยารั่วเซียน แต่เมื่อได้ลองไปเมื่อครู่นี้ ทำให้มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหลายส่วนทันที ไม่อย่างนั้นคงรู้สึกไม่มั่นใจอยู่ตลอด เหมือนตอนแรกที่โยนนักโทษให้พวกโฉวตั้งไห่เพื่อล่อศัตรูออกไป
แต่ไม่สนใจว่าจะเอาชนะได้หรือไม่ ไม่สนใจว่าจะหนีรอดไปได้หรือไม่ เหมียวอี้ยังคงเลี้ยวกลับมา พุ่งเข้าใส่พวกโฉวตั้งไห่ด้วยความเร็วสูง
ทว่าหนีไม่ทันความเร็วของเหยี่ยวมารวานรยักษ์หกตัวนั้น เหยี่ยวมารหกตัวที่ไล่ตามมาพลันเปลี่ยนรูปทัพ กลายเป็นกระบวนทัพรูปงูที่ต่อเนื่องตามกันมา แต่ละตัวหมุนร่างกาย หมุนราวกับพายุไต้ฝุ่น ชั่วพริบตาเดียวก็ม้วนเหมียวอี้ไว้ได้แล้ว บินวนด้วยความเร็วสูงโดยหันหลังให้เหมียวอี้
ถ้าไม่หันหลังให้คงไม่ได้จริงๆ ร่างกายของเหยี่ยวมารวานรยักษ์มีขนาดใหญ่เกินไป กางปีกใหญ่เกินไป ถ้าไม่หันหลังแล้วให้คนที่กำลังขี่ลงมือ อาวุธในมือคนขี่ก็จะสัมผัสไม่ถึงตัวคู่ต่อสู้เลย หกคนที่ขี่เหยี่ยวมารแบบนี้ลงมืออย่างต่อเนื่องยาวเหยียด ดาบและทวนเรียกได้ว่าโจมตีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง อาศัยความเร็วของเหยี่ยวมาร ทำให้ลงมือได้รวดเร็วถึงขีดสุด
ชั่วพริบตาเดียว เหมียวอี้ก็ตกอยู่ในอันตรายทันที เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเห็นวิธีการโจมตีแบบนี้
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาไม่กล้าใช้ดระบวนท่าหนึ่งทวนสิบสังหารเลย เขาออกทวนด้วยความเร็วสูงจนเกือบจะเท่าท่าหนึ่งทวนสิบสังหาร ชั่วพริบตาเดียวก็มีเสียงดังโครมครามหกครั้ง เขาโจมตีต่อเนื่องไปแล้วหกทวน ราวกับมีแขนงอกเพิ่มมาหลายข้าง เกราะรบบนตัวส่งเสียงดังไม่หยุด เกราะเกล็ดกำลังเร่งสะบัดกำจัดพลัง
โชคดีที่เหยี่ยวมารบินไปในทิศทางเดียวกับเขา กอปรกับเหยี่ยวมารกำลังบินวนไปข้างหน้า มันจึงไม่ได้ใช้ความเร็วสูงสุดของมัน ถ้าเปลี่ยนเป็นการบินในเส้นตรงเหมือนก่อนหน้านี้ แล้วทั้งหกใช้วิธีการลงมือแบบนี้ เหมียวอี้จะต้องใช้ท่าหนึ่งทวนสิบสังหารแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางต้านไหวเลย
พอเป็นแบบนี้ ก็เกิดเสียงดังเกรียวกราวท่ามกลางกลุ่มคนที่กำลังดูการต่อสู้อยู่ที่จุดหมายสุดท้าย โดนรุมโจมตีแบบนี้ก็ยังต้านทานไหวอีกเหรอ? รับการโจมตีจากนักพรตบงกชทองขั้นห้าจำนวนหกคนต่อเนื่องภายในชั่วกริบตาเดียวงั้นเหรอ? การตอบสนองที่รวดเร็วแบบนี้น่าตกใจเกินไปแล้ว!
ปี้เยว่ฮูหยินเผยอปากอย่างงุนงง พึมพำในใจว่า เจ้าหนุ่มคนนี้ ก่อนหน้านี้มองไม่ออกเลยจริงๆ นึกว่าทำงานไต่เต้าขึ้นมาได้เพราะอาศัยเล่ห์หลี่ยม นึกไม่ถึงว่าจะมีความสามารถอยู่หลายส่วน!
โค่วเหวินหวงเสียใจทีหลังจะแย่อยู่แล้ว มีความสามารถแบบนี้ถ้ามารวมกำลังกันจะช่วยได้มากจริงๆ น่าเสียดายที่พลาดไปแล้ว!
ไม่สนใจอะไรขนาดนั้น เขาหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อกับพวกโฉวตั้งไห่ทันที สั่งให้พวกเขาไปช่วยเหลือ!
โค่วเหวินหลานก็นึกเสียใจทีหลังเหมือนกัน ถ้ารู้แต่แรกคงไม่รับปากโค่วเหวินหวงไป เพราะมีโอกาสสูงมากที่หนิวโหย่วเต๋อจะโจมตีฝ่ากลับมาได้!
ส่วนเกาก้วนก็มาปรากฏตัวนอกตำหนักตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ไม่ได้นั่งบนเก้าอี้ยาวตัวนั้นแล้ว เก้าอี้ตัวนั้นว่างอยู่ เขายืนเอามือไว้หลังอยู่ข้างเก้าอี้และกำลังดูการต่อสู้ สีหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึก!
มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานเห็นฉากนี้แล้ว ตกตะลึงพรึงเพริดในความสามารถของเหมียวอี้เช่นกัน ทั้งคู่กำลังทำสีหน้าตกตะลึง!
พอเหยี่ยวมารหกตัวบินหมุนออกไป เหมียวอี้ที่มีสีหน้าดุร้ายมุ่งสังหารก็รอดตัวจาก ‘พายุหมุน’ แล้วรีบถือทวนหันกลับมา เพราะฝานอวี้เฟยถือดาบพุ่งเข้ามาอีกแล้ว!
“กรร!” เดรัจฉานเสียงสวรรค์เกราะเย็นคำรามคลื่นเสียงออกมาอีกครั้ง โจมตีเข้ามาพร้อมเสียงดังลั่น!
…………………………