ในเตาหลอมของวิเศษ แสงไฟสีแดงส้มของหินผลึกไขมันเพลิงที่กำลังลุกโชนลอดออกมา เงาแสงกระเพื่อมอยู่ในห้องไฟหลอมสมบัติ ให้ความรู้สึกเหมือนมีแสงสีแพรวพราว
เหมียวจวินอี๋ที่เดินเนิบนาบมาตรงหน้าเตาหลอมของวิเศษไม่เห็นคนที่กำลังหลอมของวิเศษ จึงเดินอ้อมมาด้านหลังเตา สายตาไปหยุดอยู่บนตัวชายชราที่กำลังนั่งอยู่บนบันได เข้าคือโม่หมิง เจ้าสำนักงามวิจิตร
โม่หมิงกำลังก้มหน้าเงียบๆ ใช้สองมือกุมศีรษะที่มีผมขาวเป็นหย่อมๆ เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังมา ก็เพียงพึมพำอย่างไร้ชีวิตชีวาว่า “บอกแล้วไงว่าอย่ารบกวนข้า ออกไป!”
เมื่อไม่ได้ยินเสียงอีกฝ่ายเดินออกไป โม่หมิงก็เงยหน้าอย่างช้าๆ ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือชายกระโปรงผู้หญิง พอเงยหน้าอีกครั้ง ก็เห็นใบหน้าเย็นเยียบของเหมียวจวินอี๋ที่อยู่ภายใต้แสงเพลิงที่กำลังกระเพื่อมแปรเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ ในดวงตางามของเหมียวจวินอี๋ราวกับจะมีไฟลุกออกมา ไม่รู้ว่าเป็นแสงไฟในเตาที่ส่องสะท้อนเป็น หรือที่จริงแล้วนางกำลังเดือดดาลโมโหสุดขีด
โม่หมิงเอามือลงจากศีรษะ ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามว่า “เจ้ามาได้อย่างไร?”
“ทำไม? ข้าจะมาไม่ได้เชียวหรือ?” เหมียวจวินอี๋ถามกลับ “เจ้าไม่ได้หลอมของวิเศษ แล้วจะหลบอยู่ที่นี่ทำไม? ไม่มีหน้าไม่เจอคนอื่นเหรอ?”
สองสามีภรรยาคู่นี้ ดูเหมือนคนหนึ่งแก่คนหนึ่งอ่อนวัย ถึงแม้วรยุทธ์ของเหมียวจวินอี๋จะสูงกว่า แต่รูปร่างหน้าตาดูอ่อนเยาว์กว่าโม่หมิงมากเกินไปจริงๆ หน้าตาก็ดีกว่าเยอะ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอกหรือวรยุทธ์ ก็เห็นได้ชัดว่าโม่หมิงไม่คู่ควรกับฮูหยินของตัวเอง
โม่หมิงหัวเราะแห้งๆ แล้วลุกขึ้นตอบว่า “อยากจะพูดอะไรก็พูดมาเถอะ”
“เจ้ายังหัวเราะออกอีกเหรอ?” เหมียวจวินอี๋พลันตวาดอย่างดุร้าย “ชื่อเสียงของข้าฉาวโฉ่แล้ว เจ้ามีความสุขมากใช่มั้ยล่ะ?”
โม่หมิงขมวดคิ้ว “ฮูหยินพูดแบบนี้อาจจะไม่เห็นใจกันเกินไปรึเปล่า ข้ากำลังหัวเราะอย่างขื่นขมชัดๆ จะเป็นการหัวเราะเยาะได้อย่างไร?”
“หัวเราะขื่นขม?” เหมียวจวินอี๋กล่าวเสียงเย็นว่า “เจ้าก็หัวเราะขื่นขมเป็นเหมือนกันเหรอ? นี่เจ้าหาเรื่องใส่ตัวเองนะ ในปีนั้นข้าบอกให้เจ้ากำจัดศิษย์อกตัญญูนั่น แต่เจ้าก็ไม่ยอมทำ ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ เขามาแว้งกัดเหมือนหมาบ้าแล้ว กัดลึกลงกระดูกเลย เจ้ากับข้ากลายเป็นเรื่องน่าหัวเราะเยาะของคนในใต้หล้าแล้ว! ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ข้าเพิ่งไปหาท่านอาจารย์มา ท่านอาจารย์เดือดดาลมาก!”
ฝั่งอวิ๋นเซี่ยวจัดการเรื่องนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงมาก ด้วยอำนาจอิทธิพลของของนภาจอมมาร การปล่อยข่าวนิดหน่อยไม่ใช่เรื่องยากอะไร ในการประลองใหญ่เพื่อเลือกผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักงามวิจิตรปีนั้น ข่าวที่เหมียวจวินอี๋เล่นไม่ซื่อได้เผยแพร่ไปทั่วทั้งใต้หล้าแล้ว รังเกียจที่ลูกศิษย์หน้าตาอัปลักษณ์ จึงแอบวางแผนสกปรก ทั้งยังส่งคนไล่สังหารเพื่อปิดปากด้วย นับว่าเหมียวจวินอี๋ถูกทำลายชื่อเสียงให้ฉาวโฉ่แล้วจริงๆ ไม่ว่าใครที่ประสบพบเจอเรื่องแบบนี้ ก็ดีใจไม่ออกกันทั้งนั้น
โม่หมิงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ข้าบอกตั้งแต่แรกแล้ว ในปีนั้นเจ้าไม่ควรทำอย่างนั้น เจ้าไม่ควรมองคนที่หน้าตา ถ้าพูดเรื่องคุณสมบัติในการหลอมของวิเศษ จื่อหยางเหนือกว่าไป่ถิงมาก เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของตำแหน่งผู้สืบทอดสำนัก พูดตามตรงนะ ที่ไป่ถิงยอมรับชัยชนะแบบนั้น ข้ารู้สึกผิดหวังมากจริงๆ จะส่งต่อสำนักงามวิจิตรให้ไปอยู่ในมือของคนแบบนั้นได้อย่างไร? ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้ามาขัดขวาง ข้าคงไม่ให้เขาเป็นผู้สืบทอดสำนักแน่นอน!”
“เจ้าแซ่โม่ มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องทำความเข้าใจเอาไว้นะ เราไม่ได้เลือกแค่ผู้สืบทอดสำนัก แต่เราต้องเลือกลูกเขยด้วย เรามีลูกสาวแค่คนเดียว เจ้าทำใจปล่อยให้ลูกสาวไปแต่งงานกับเจ้าอัปลักษณ์ให้ขยะแขยงไปทั้งชีวิตได้เหรอ? ลูกสาวข้าอยากจะแต่งงานกับใครก็แต่งได้ ลูกศิษย์ในสำนักก็กินอยู่ด้วยเงินของพวกเราทั้งนั้น ทักษะติดตัวก็เป็นสิ่งที่พวกเราสอน มีคุณสมบัติที่คู่ควรจะมาต่อรองกับพวกเราเหรอ? เรื่องแต่งงานของลูกสาวตัวเอง อย่าบอกนะว่าข้าก็ต้องเกรงใจพวกเขาด้วย?” เหมียวจวินอี๋โมโหมาก
นางทำสีหน้าเหมือนจะระเบิดอารมณ์ นางโมโหมากจริงๆ ขนาดเฟิงเป่ยเฉินยังไม่รู้เรื่องที่นางทำเลย แต่เป็นเพราะข่าวที่แพร่ออกไปครั้งนี้ เฟิงเป่ยเฉินจึงรีบเรียกนางไปสอบสวน ถามว่านางได้ทำเรื่องแบบนี้หรือเปล่า หลังจากรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้อยู่จริงๆ เฟิงเป่ยเฉินก็โมโหเหมือนฟ้าผ่า แทบจะด่านางอย่างสาดเสียเทเสีย!
สำหรับเฟิงเป่ยเฉินแล้ว จะต้องการเจ้าสำนักที่หน้าตาดีไปทำบ้าอะไรล่ะ เขาควบคุมสำนักงามวิจิตรก็เพื่อให้ตัวเองไว้ใช้ประโยชน์ อยากได้คนมีความสามารถมาทำงานให้ตัวเอง ยิ่งเป็นคนที่หลอมของวิเศษได้เก่งเท่าไรก็ยิ่งดี จะหน้าตาดีหรือหน้าตาอัปลักษณ์แล้วเกี่ยวอะไรกัน? เขาไม่เลี้ยงพวกหน้าตาดีแต่ไร้ประโยชน์หรอก!
ผลปรากฏว่านางยังทำเรื่องแบบนี้ออกมาได้ ทำให้เฟิงเป่ยเฉินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจริงๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าภาพตอนที่เหมียวจวินอี๋โดนตำหนิสั่งสอนเป็นอย่างไร
โม่หมิงกล่าวอย่างจนใจว่า “งั้นเจ้าก็ต้องแยกแยะเรื่องราวให้ชัดเจนสิ เลือกผู้สืบทอดเจ้าสำนักก็ส่วนเลือกผู้สืบทอดเจ้าสำนัก เลือกลูกเขยก็ส่วนเลือกลูกเขย เจ้าจะเอามารวมกันทำไมล่ะ พวกเราหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ เลย!”
เหมียวจวินอี๋ตวาดเสียงเข้มว่า “ล้อเล่นอะไรกัน! ถ้าลูกเขยข้าไม่ได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนัก แล้วข้าจะเลือกเขามาทำอะไรล่ะ! จนป่านนี้แล้วเจ้ายังช่วยพูดให้ลูกศิษย์อกตัญญูนั่นอีกเหรอ?”
โม่หมิงถอนหายใจยาว แล้วบอกว่า “ข้าเข้าใจจื่อหยางมาก ดูจากข่าวที่ลือกันในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเขารู้ความจริงเบื้องหลังตั้งนานแล้ว เพียงแต่ไม่พูดเพราะกลัวจะทำลายชื่อเสียงของสำนัก ถ้าต้องการจะพูดเขาคงพูดตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว จะรอให้ถึงตอนนี้ทำไม? ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าทำเกินไป ข่าวที่ลือกันข่างนอกเป็นความจริงรึเปล่า? เจ้าส่งคนไปทำลายชื่อเสียงของเขาที่ทะเลทรายม่านเมฆาจริงมั้ย ทั้งยังส่งคนไปไล่สังหารเขาตลอดด้วยเหรอ?”
เหมียวจวินอี๋แสยะยิ้ม “แล้วยังไงล่ะ? รู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าศิษย์อกตัญญูคนนี้มีเจตนาไม่ดี แต่น่าแค้นที่ปล่อยให้เขาหนีไปได้!”
โม่หมิงส่ายหน้าอย่างจนใจ “ใช่แล้วล่ะ เป็นเจ้าที่กดดันเขาเกินไป! เจ้ากดดันให้เขาออกจากสำนักงามวิจิตรแล้ว ทำไมยังจ้องจะเล่นงานให้เขาตายครั้งแล้วครั้งเล่าอีก เพราะเจ้าทำเกินไป เขาจะไม่เคียดแค้นได้อย่างไร?”
“เจ้าอย่ามาแสร้งทำตัวเป็นคนดีหน่อยเลย!” เหมียวจวินอี๋ชี้หน้าด่า “จนป่านนี้แล้วยังช่วยพูดแทนเขาอีกเหรอ เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าคนที่แอบมาขัดขวางไม่ใช่เจ้า? เจ้ากล้าพูดมั้ยว่าตัวเองไม่ใช่คนที่แอบส่งลูกน้องไปช่วยชีวิตเขาครั้งแล้วครั้งเล่า?”
“ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้ากำลังพูดถึงอะไร?” โม่หมิงกล่าว
“อย่ามาใช้มุกนี้เลย!” เหมียวจวินอี๋แสยะยิ้มไม่หยุด “อาศัยสภาพของเขาในตอนนั้น จะจ้างยอดฝีมือให้โผล่มาได้ทุกเมื่อ ให้ปกป้องตัวเองในระยะยาวได้อย่างไร คนที่แอบคอยช่วยเหลือเขา นอกจากเจ้าก็ไม่มีใครแล้ว คิดว่าข้าโง่นักเหรอ!”
ที่จริงทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจ โม่หมิงเองก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรน่าปิดบัง ก้มหน้าก้มตาตอบว่า “ข้าแค่ส่งคนสองคนไปคุ้มครองเขาก็เท่านั้นเอง ถ้าเจ้าไม่ส่งคนไปทำร้ายเขา คนที่คอยปกป้องเขาก็คงไม่ลงมือเหมือนกัน”
“เจ้าแซ่โม่ เจ้าคอยระวังข้ามาตลอดเลยเหรอ?” เหมียวจวินอี๋โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ใบหน้างามที่อยู่ภายใต้แสงไฟเริ่มบูดบึ้ง
“ข้าแค่ไม่อยากให้เจ้าทำเกินไปก็เท่านั้นเอง!” โม่หมิงเหลือบตามองนาง “ข้างนอกกำลังลือกัน ว่าตอนนี้เจ้าส่งคนไปไล่ฆ่าเขาอีก คิดจะขัดขวางไม่ให้เขามาที่สำนักงามวิจิตร เป็นความจริงรึเปล่า?”
“เหลวไหล!” เหมียวจวินอี๋โมโหจนคุมอารมณ์ไม่อยู่ นางเองก็อยากจะทำอย่างนี้ แต่เฟิงเป่ยเฉินเตือนนางไว้ล่วงหน้าแล้ว
เฟิงเป่ยเฉินบอกว่า ปล่อยข่าวให้รู้กันทั้งใต้หล้าเร็วขนาดนี้ จื่อหยางทำคนเดียวไม่ไหวแน่นอน จะต้องมีอำนาจของห้าแดนอื่นเข้ามาแทรกแซงแน่เบื้องหลังแน่ ไม่อย่างนั้นข่าวคงไม่แพร่เร็วขนาดนี้หรอก ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะกำลังเปิดประเป๋าเสื้อรอให้พวกเราโยนตัวเองเข้าไปติดกับดักก็ได้ ต้องการให้พวกเราเป็นจริงตามที่คนอื่นหัวเราะเยาะ เขาจึงบอกเหมียวจวินอี๋ว่าอย่าบุ่มบ่ามทำอะไร
เรื่องที่จะทำต่อจากนั้นก็คือ ปล่อยให้จื่อหยางมาประลอง ถ้าหากฝ่ายนี้ชนะแล้ว ข่าวลือไม่ดีเรื่องการพ่ายแพ้ของจื่อหยางก็จะหายไปเองโดยไม่ต้องทำอะไร แต่ถ้าจื่อหยางชนะ ไม่ว่าจะเลือกทางไหนฝ่ายสำนักงามวิจิตรก็เสื่อมเสียชื่อเสียงอยู่ดี เช่นนั้นไม่สู้ทำตัวให้สอดคล้องกับความจริงหน่อยดีกว่า ให้เหมียวจวินอี๋ออกมาขอโทษด้วยตัวเอง แล้วรั้งจื่อหยางเอาไว้ ให้โม่หมิงถอยออกจากตำแหน่งเจ้าสำนัก แล้วมอบตำแหน่งเจ้าสำนักให้จื่อหยางแทน ต่อให้ไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเจ้าสำนัก โม่หมิงก็ยังทำงานรับใช้นภาอู๋เลี่ยงได้เหมือนเดิม โม่หมิงหนีไม่พ้นการควบคุมของนภาอู๋เลี่ยงตั้งนานแล้ว เซี่ยงไป่ถิงสามารถหลีกทางให้ได้ แล้วเฟิงเป่ยเฉินจะให้ลูกสาวของชุยหย่งเจิน ลูกศิษย์อีกคนของเขาแต่งงานกับจื่อหยาง
หลังจากชนะแล้ว ถ้าจื่อหยางยังชอบลูกสาวของเหมียวจวินอี๋อยู่ เซี่ยงไป่ถิงก็สามารถหลีกทางให้ได้ จะมอบลูกสาวของเหมียวจวินอี๋ให้ ไม่ว่าจื่อหยางจะชอบนางจริงๆ หรือจะแค่อยากล้างแค้น แต่นั่นก็คือเกียรติยศที่ผู้ชนะควรจะได้รับ ถ้าเป็นราคาที่สามารถรับได้ ก็ต้องจ่ายเพื่อรั้งคนมีความสามารถเอาไว้
และแน่นอน เฟิงเป่ยเฉินรับปากเหมียวจวินอี๋ว่าหลังจากจบเรื่องจะชดเชยให้ นั่นก็คือจะถ่ายทอดมหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยงในระดับที่สูงขึ้นให้!
สรุปก็คือ ไม่ว่าจื่อหยางจะแพ้หรือจะชนะ ก็ไม่ต้องคิดที่จะไปไหนแล้ว ถ้าแพ้แล้วก็ต้องตาย ถ้าชนะแล้วก็แสดงว่ามีความสามารถ ถ้าไม่อยากอยู่ต่อ ก็จะปล่อยไปอยู่กับคนอื่นไม่ได้ ต้องกำจัดทิ้ง!
การตัดสินใจของท่านอาจารย์ เรียกได้ว่าทำให้เหมียวจวินอี๋ตัวสั่นด้วยความกลัว ในปีนั้นก็ยอมเสียสละนางเพื่อที่จะผูกมัดจิตใจโม่หมิง ตอนนี้ก็จะสละลูกสาวของนางเพื่อผูกมัดจิตใจคนอื่นอีก นั่นไม่ใช่คนอื่นนะ นั่นคือลูกสาวนาง…
ครืน! ขณะนี้เอง ประตูหินที่หนักอึ้งของห้องไฟก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง เงาร่างที่สะโอดสะองเดินเนิบนาบเข้ามา เดินอ้อมเตาหลอมของวิเศษมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าทั้งสองเงียบๆ หน้าตาสวยสดใส นางคือโม่จวินหลัน ลูกสาวของทั้งสองนั่นเอง
โม่จวินหลันหน้าตาสวยกว่าเหมียวจวินอี๋แม่ของนาง เมื่อเทียบกับโม่หมิงผู้เป็นพ่อ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว นางน่ารักสมวัย ลักษณะอ่อนโยนละมุนละไม เพียงแต่บนใบหน้าซ่อนความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียเอาไว้ไม่อยู่
ทั้งสองหันไปมองนาง เหมียวจวินอี๋เจียดรอยยิ้ม แล้วก้าวขึ้นมาประคองไหล่สองข้างของลูกสาว “หลันเอ๋อร์ เจ้ามาที่นี่ทำไม?”
โม่จวินหลันมองหน้าบิดา แล้วก็มองหน้ามารดา ก่อนจะถามพร้อมรอยยิ้มฝืนๆ “ท่านพ่อ ท่านแม่ ข่าวเกี่ยวกับศิษย์พี่รองคือเรื่องจริงเหรอคะ? ท่านแม่ การประลองในปีนั้น ท่านแม่ใช้วิธีการสกปรกอยู่เบื้องหลังจริงเหรอ? ในปีนั้นที่ศิษย์พี่รองโวยวายว่าไม่ยุติธรรมคือเรื่องจริงเหรอคะ?”
เหมียวจวินอี๋ตอบว่า “ไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก! คนนอกพูดจาไร้สาระ ลูกศิษย์อกตัญญูนั่นเลวร้ายขนาดนี้ สร้างข่าวลือร้ายๆ ขนาดนี้ ช่างเป็นพวกล้างผลาญสำนักจริงๆ มองออกเลยว่าจิตใจชั่วร้าย เจ้ายังเรียกเขาว่าศิษย์พี่รองอีกเหรอ? เจ้าออกไปก่อนเถอะ ข้ามีเรื่องต้องปรึกษากับพ่อเจ้า!”
โม่จวินหลันมองบิดาที่นิ่งเงียบแวบหนึ่ง แล้วก้มหน้าก้มตา ก่อนจะหันตัวช้าๆ เดินออกไป
เมื่อเห็นสีหน้าลูกสาวแปลกไป เหมียวจวินอี๋ก็ไม่มีอารมณ์มาเสียเวลาอยู่ในนี้แล้ว แอบถ่ายทอดเสียงบอกโม่หมิงว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าขัดขวางในปีนั้น เรื่องในวันนี้จะเกิดขึ้นเหรอ ลูกศิษย์พิษร้ายขนาดนี้ ข้าเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก ถ้าเขามีจิตใจที่เป็นมโนธรรมสักหน่อย ก็คงไม่ปล่อยข่าวที่เลวร้ายขนาดนี้หรอก เจ้าแซ่หมิง เจ้าทำร้ายลูกสาวตัวเอง!” พูดจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไป รีบตามออกไปปลอบใจลูกสาว
หารู้ไม่ว่าเยารั่วเซียนไม่ได้ปล่อยข่าวนี้เลย สำหรับเหมียวอี้แล้ว เขาไม่หนักใจอะไรกับการปล่อยข่าวนี้ ขอแค่บรรลุเป้าหมาย ใครจะไปสนใจความเป็นความตายของสำนักงามวิจิตรล่ะ
โม่หมิงเงยหน้าหลับตาลง ถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง รู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง…
ณ ยอดเขาหยกนครหลวง เหมียวอี้เหาะลงมาจากฟ้า พอมาเหยียบลงด้านนอกลานบ้านแห่งหนึ่ง ก็มีคนถลันตัวเข้ามาขวางทันที “ใครกัน?”
ยอดเขาหยกนครหลวงไม่ใช่สถานที่ที่จะบุกเข้ามาโดยพลการได้ ต่อให้ข้างล่างจะทำเป็นร้านค้า แต่ด้วยฐานะประมุขปราสาทของเหมียวอี้ในตอนนี้ ก็ไม่มีสิทธิ์จะเข้าออกได้ตามอำเภอใจแล้ว เขายื่นแผ่นหยกเพื่อยืนยันฐานะตัวตนออกมา หลังจากผู้ที่มาได้อ่านดูแล้ว ก็ใช้สองมือยื่นคืนให้อย่างเคารพนอบน้อม แล้วหลีกทางให้
หนึ่งในสิบเจ้าอาณาเขตของสายมะโรง การเข้าออกสถานที่ซื้อขายอย่างสมาคมร้านค้าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เจ้าของร้านที่คุมสมาคมร้านค้าสายมะโรงก็ไม่กล้าขัดขวาง นอกจากจวนของท่านทูตที่อยู่บนเขา ที่สายมะโรงก็มีไม่กี่คนที่กล้ามาขวางคนระดับประมุขปราสาท
หลินผิงผิงและฉินเวยเวยที่อยู่ในลานบ้าน พอได้ยินเสียงก็รีบวิ่งออกมา เมื่อเห็นว่าเป็นเขา ในดวงตางามของฉินเวยเวยก็ฉายแววดีใจ ทั้งสองคำนับพร้อมกัน “นายท่าน!”