“จะเชื่อเจ้าได้ยังไง?” ฝานอวี้เฟยหยุดแล้วตะโกนถาม ความหมายแฝงในคำพูดก็คือ ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง
ผังลิ่งกงตอบเสียงดังว่า “เป็นเพราะนางฆ่าคนของข้า แล้วเมื่อครู่นี้ข้าก็ไม่ได้ฉวยซ้ำเติมด้วย! ถ้าจะแปรพักตร์ก็ต้องดูว่าคนของข้าจะยืนหยัดได้จนถึงตอนสุดท้ายหรือเปล่า! มิหนำซ้ำ เจ้าแน่ใจเหรอว่าถ้าไม่ร่วมมือกับข้าแล้วจะกลับไปได้อย่างปลอดภัย?”
“ฆ่า!” ฝานอวี้เฟยตะโกน เรียกกำลังคนตามผังลิ่งกงกลับไปโจมตีทันที เด็ดขาดจนไร้เหตุผล มีความเป็นลูกผู้ชายยิ่งกว่าผู้ชายเสียอีก ที่สำคัญที่สุดคือกลับไปแบบนี้นางรู้สึกไม่ยอมจริงๆ
เมื่อเห็นคนสองกลุ่มร่วมมือกันบุกเข้ามา ฮุ่ยชิงเหยียนก็กล่าวเสียงต่ำว่า “ผังลิ่งกง ข้าให้เจ้าเก็บชีวิตกลับไปได้ครั้งหนึ่งแล้ว ยังไม่รู้จักแยกแยะส่วนได้ส่วนเสียอีก!”
ผังลิ่งกงไม่สนใจ ตะโกนเสียงดังอีกว่า “แซ่โฉว นางฆ่าสัตว์พาหนะของเจ้ากับคนของเจ้าแล้ว ทำไมไม่ร่วมมือกันกำจัดนางล่ะ!”
“ดี!” โฉวตั้งไห่แค้นฮุ่ยชิงเหยียนจนกัดฟันกรอดเช่นเดียวกัน ตอบรับเสียงดังทันที
เมื่อกล่าวมาแบบนี้ ก็หมายความว่ามีสามฝ่ายร่วมมือกัน ฮุ่ยชิงเหยียนสีหน้าเปลี่ยนทันที โบกมือเรียกคนแล้วเหาะเบี่ยงหนีไปทันที เลิกปะทะกับผังลิ่งกงตรงๆ และเลิกไล่สังหารฝานอวี้เฟยเช่นกัน
สามฝ่ายที่ร่วมมือกันเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางไปไล่ตามฮุ่ยชิงเหยียนทันที การเปลี่ยนแปลงกะทันหันของฉากนี้ทำให้คนไม่น้อยตรงจุดหมายสุดท้ายงุนงง และรู้สึกขำเช่นกัน
ผู้บัญชาการใหญ่ฮ่าวอวิ๋นตูที่กำลังดูการต่อสู้ ตอนนี้ใบหน้ายิ้มชะงักนิ่ง สีหน้าค่อยๆ เครียดขรึมลงแล้ว เพราะฮุ่ยชิงเหยียนเป็นคนของเขา
โค่วเหวินหวงก็หน้าเครียดเช่นกัน สถานการณ์เปลี่ยนไปในทางที่ดี เดิมทีควรจะโล่งใจสิถึงจะถูก แต่เขามองออกว่าพวกเหมียวอี้แค่ไปประสมโรงเท่านั้น มีเจตนาจะช่วยพวกโฉวตั้งไห่เสียที่ไหนกัน
พวกเหมียวอี้ตามอยู่ข้างหลังพวกโฉวตั้งไห่อย่างไม่รีบร้อน รู้สึกอยากขำเหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าแค่ผังลิ่งกงโผล่ออกมาโจมตีคนเดียว สถานการณ์ก็เปลี่ยนพลิกอีกรอบแล้ว
ทั้งสามไม่สนใจหรอก ไล่ตามต่อไป ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ดูเหมือนทุกคนยังไม่มีอันตรายอะไร
โฉวตั้งไห่เลี้ยววนกลับมา เอียงหน้ามองพวกเหมียวอี้แวบหนึ่งแล้วแสยะยิ้ม จู่ๆ หยิบกระเป๋าสัตว์ออกมาใบหนึ่ง โยนไปทางพวกเหมียวอี้ที่ตามอย่างไม่เร่งรีบอยู่ข้างหลัง พร้อมร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดัง “หนิวโหย่วเต๋อ ข้าสู้เองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ช่วยเหลือ รีบนำนักโทษส่งกลับไปให้ผู้บัญชาการใหญ่!”
เมื่อได้ยินเขากล่าวมาแบบนี้ โค่วเหวินหวง โค่วเหวินหลานและโค่วเหวินชิงที่กำลังดูการต่อสู้ก็ทำสีหน้าทำสีหน้าประหลาดใจ
เจ้ามีน้ำใจขนาดนี้เลยเหรอ? เหมียวอี้มีความเคลือบแคลงใจอยู่เต็มอก ทว่ากระเป๋าสัตว์ลอยมาแล้ว เจ้าไม่รับไว้ก็คงไม่ได้ ทำได้เพียงร่ายอิทธิฤทธิ์ดูดเข้ามา ดูดกระเป๋าสัตว์ที่เคลื่อนที่มาทางด้านนี้เข้ามาไว้ในมือ
มู่หรงซิงหัวหันมามมอง สวีถังหรานก็หันมาถามเช่นกัน “เขาจะมีน้ำใจขนาดนี้เลยเหรอ?”
เหมียวอี้ร่ายอิทธิฤทธิ์ดูในกระเป๋าสัตว์ พบแต่ว่างเปล่า แม้แต่ขนสักเส้นไม่มี นักโทษหลบหนีที่ไหนล่ะ แสยะยิ้มตอบทันทีว่า “สมกับเป็นลูกน้องคนสำคัญของโค่วเหวินหวง ไม่ใช่ไก่อ่อนจริงๆ ไอ้ชาติสุนัขนี่มันกำลังวางกับดักพวกเรา ล้างแค้นได้เร็วจริงๆ ข้างในไม่มีแม้แต่ลมตด!”
อีกสองคนได้ยินแล้วตกใจ แบบนี้กำลังให้พวกเราเป็นหยื่อล่อคนที่มีเจตนาไม่ดีออกมาไม่ใช่เหรอ?
“ไอ้เวรตะไล นี่มันวางกับดักตายให้พวกเราชัดๆ!” สวีถังหรานแค้นจนกัดฟันกรอด
มู่หรงซิงหัวก็สีหน้าเย็นเยียบราวกับมีน้ำค้างเกาะเช่นกัน กัดฟันบอกว่า “พวกเราได้รับคำสั่งมาให้ช่วยเหลือพวกเขา ถ้าเปิดเผยต่อหน้าทุกคน ก็เท่ากับไปรื้อเวทีของพวกเขา พวกเราคงเลี่ยงการเสียเปรียบครั้งนี้ไปไม่ได้แล้ว!”
“หรือว่ามีแค่พวกเขาที่วางกับดักเราได้ พวกเราจะวางกับดักเขาบ้างไม่ได้เชียวเหรอ?” สวีถังหรานถามอย่างเคียดแค้น
“เจ้าพูดถูกแล้ว! ตอนนี้พวกเขาเป็นตัวหลัก ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาก้สามารถพูดได้ว่าให้พวกเราเบี่ยงเบนความสนใจ ถ้าจะพูดให้ดูยิ่งใหญ่ก็คือเสียสละข้าเพื่อผลประโยชน์ของตระกูลโค่ว ถ้าพวกเราเปิดเผยก็เท่ากับกำลังทำลายผลประโยชน์ของตระกูลโค่ว ช่างวางแผนได้เก่งจริงๆ” เหมียวอี้แสยะยิ้ม
“รังแกกันเกินไปแล้ว!” สวีถังหรานกล่าว
“งั้นก็ทำตามประสงค์ของเขาแล้วกัน พวกเรากลับกันเถอะ!” เหมียวอี้ทำเสียงฮึดฮัด แล้วจู่ๆ ก็ตอบเสียงดังว่า “ผู้บัญชาการโฉว ข้าไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน เจ้าเองก็อย่าตายแล้วกัน!”
สัตว์พาหนะสองตัวเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางทันที แบกทั้งสามบินไปยังจุดหมายสุดท้าย
โฉวตั้งไห่ที่หันกลับมามองพ่นเสียงทางจมูก “ยังกล้าด่าข้าอีกเหรอ!”
“ผู้บัญชาการโฉว เจ้ามองนักโทษให้เขาจริงเหรอ?” ต่งเฟิงที่ขี่พญาปักษาขนทองอยู่ข้างหน้าหันมาถามอย่างตกใจ
คนอื่นๆ ได้ยินแล้วมองมาเช่นกัน โฉวตั้งไห่ตอบกลั้วหัวเราะว่า “ให้เขาได้ก็แปลกแล้ว ถึงยังไงข้าก็ไม่หวังให้พวกเขามีส่วนร่วมอยู่แล้ว ให้คนเห็นว่านักโทษของสองกลุ่มล้วนอยู่ในมือเขา ข้าอยากจะดูว่าพวกเขาจะรอดกลับไปได้ยังไง? ให้พวกเขาค่อยๆ เสวยสุขไปแล้วกัน!”
ทุกคนเข้าใจในทันที ที่แท้ก็วางกับดักเจ้าสามคนนั้นนี่เอง พอทำแบบนี้แล้ว ยังสามารถลดแรงกดดันให้พวกเขาได้อีกด้วย
“ผู้บัญชาการโฉวช่างมีแผนการล้ำเลิศ!” หนานอี้เปียวกล่าวชม
เหมียวอี้เองก็ไม่ยอมเสียเปรียบเหมือนกัน ใช้ระฆังดาราติดต่อกับโค่วเหวินหลานเพื่อบอกเรื่องที่โฉวตั้งไห่วางกับดักพวกเขาทันที
เมื่อได้ฟังดังนั้น โค่วเหวินหลานก็ถามโค่วเหวินหวงอย่างเดือดดาลทันที “พี่สาม ลูกน้องของท่านทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? พวกเขาคิดจะทำให้คนของข้าตาย…”
หลังจากได้ฟังสถานการณ์คร่าวๆ โค่วเหวินหวงก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก็แสยะยิ้มตอบทันที “เจ้าเห็นพวกเขาเหมือนคนที่ไปช่วยสนับสนุนเหรอ? ลูกน้องที่ไม่ฟังแม้แต่คำสั่งของเจ้า ปล่อยให้ตายๆ ไปเถอะ!”
“ท่าน…” โค่วเหวินหลานโมโหจนตัวสั่น ไม่ได้โมโหเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของพวกเหมียวอี้อย่างเดียว แต่เป็นเพราะพี่สามรังแกตนมากเกินไป ไม่เห็นตนอยู่ในสายตาสักนิดเลยจริงๆ!
“เป็นอะไรไปอีก?” โค่วเหวินชิงถ่ายทอดเสียงถาม
โค่วเหวินหลานเล่าสถานการณ์ให้ฟังทันที
โค่วเหวินชิงมองไปที่พวกโฉวตั้งไห่อย่างพูดไม่ออก พบว่าไม่มีลูกน้องคนไหนที่วางใจได้สักคน แอบแทงข้างหลังกันไปแอบแทงข้างหลังกันมา สู้กันเองเก่งแบบไม่มีใครยอมใคร สู้กันเองอย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ยอมทำงานร่วมกันอย่างจริงใจเพื่อสู้กับศัตรู หมดคำจะเอ่ยกับคนพวกนี้จริงๆ…
ฮุ่ยชิงเหยียนที่โดนคนสามกลุ่มไล่ตามอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เหาะไปยังดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้กับจุดหมายสุดท้ายที่สุด พร้อมตะโกนว่า “ชิงอวี้หลาง ยังไม่รีบออกมาช่วยข้าอีกเหรอ!”
มีคนออกมาแล้วจริงๆ หลังจากชิงอวี้หลางนำสมาชิกเจ็ดคนโผล่ออกมา ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่ฮุ่ยชิงเหยียนจินตนาการ เห็นเพียงชิงอวี้หลางโบกทวนชี้มา “ฮุ่ยชิงเหยียน วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!”
ฮุ่ยชิงเหยียนสีหน้าเปลี่ยนไปมาก ตวาดว่า “ชิงอวี้หลาง เจ้ากล้ากลับคำพูดเหรอ!”
ยังพูดไม่ทันขาดคำ จู่ๆ ตรงหน้าก็มีวัตถุสีเขียวเบ่งบานกลางอากาศ มันเบ่งบานออกมาจากแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเถาไม้นับไม่ถ้วนมาดักครอบพวกฮุ่ยชิงเหยียนไว้
พวกฮุ่ยชิงเหยียนตกใจมาก ค้างคาวขาวอเวจีพ่นเพลิงสีเขียวออกมาเผาแล้ว
ทว่าเถาไม้ที่โถมเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน มีหรือที่จะเผาหมดได้ภายในเวลาสั้นๆ เท่ากับกลุ่มของตัวเองวิ่งเข้ามาชนกับดักไฟแล้ว
บึ้ม! พวกเขาจะเข้าก็เข้าไม่ได้ จะถอยก็ถอยไม่ได้ ทำได้เพียงโจมตีไปด้านข้าง ดันทุรังถล่มโจมตีเถาไม้ที่ครอบอยู่ออกไป
ทว่าความล่าช้านี้ ทำให้เกิดปัญหายุ่งยากทันที ผังลิ่งกงตะโกนเสียงดังพร้อมเข้ามาดัก “นางตัวดี! จะหนีไปไหน!”
“นางตัวดี! ตายซะเถอะ!” ถึงแม้จะออกตัวทีหลัง แต่โฉวตั้งไห่ก็มาถึงก่อนพวกฝานอวี้เฟยที่ไร้สัตว์พาหนะ เขาตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด โดนฮุ่ยชิงเหยียนลอบจู่โจมจนเสียสัตว์พาหนะกับสหายไปสองคน ความโมโหโกรธแค้นยังไม่หายไปไหน ฉวยโอกาสล้างแค้นให้หนักๆ เพราะต้องการกู้หน้ากลับมา จะให้ผู้บัญชาการใหญ่ดูถูกไม่ได้
คนสองกลุ่มต่อสู้กับฮุ่ยชิงเหยียนอย่างบ้าคลั่งทันที โจมตีอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น
ฝานอวี้เฟยที่มาทีหลังโยนแส้หนามสีเขียวในมือออกมา แส้กะพริบแสงสีทอง ราวกับมีลวดขดดีดออกมาจากมือ ยิ่งดีดยิ่งสูง ตอนที่มันทะยานสูงขึ้นไปหลายร้อยจั้ง ฝานอวี้เฟยจ้องหาโอกาส แล้วจู่ๆ ก็สะบัดแส้ออกมาหนึ่งครั้ง แส้ยาวมีหนามที่ลอยอยู่กลางอากาศยิงคดเคี้ยวยาวเหยียดออกมาทันที โจมตีไปยังฮุ่ยชิงเหยียนที่กำลังใช้ไฟผีตีฝ่าวงล้อมออกมา
แส้ยาวไม่ได้โจมตีไปที่ฮุ่ยชิงเหยียนโดยตรง แต่กลับหมุนวนเหมือนพายุหมุน ล้อมฮุ่ยชิงเหยียนที่กำลังขี่ค้างคาวขาวอเวจีเอาไว้
ฮุ่ยชิงเหยียนที่ตกอยู่ในพายุหมุนตระหนกมาก ขณะกำลังจะขี่ค้างคาวขาวอเวจีทะลุออกไปผ่านช่องโหว่ของพายุหมุน แต่ใครจะคิดว่าแส้ที่เหมือนพายุหมุนจะหดตัวกะทันหัน หดช่องให้เล็กลง ทำให้ฮุ่ยชิงเหยียนไม่สามารถอาศัยช่องโหว่หนีไปได้
ส่วนแส้ยาวมีหนามก็เปลี่ยนจากพายุหมุนกลายเป็นลูกกลมอย่างรวดเร็ว
ฮุ่ยชิงเหยียนที่โดนขังอยู่ในนั้นเห็นเพียงซ้ายขวาบนล่างมีแต่ฟันเลื่อยที่หมุนวนด้วยความเร็วสูง กำลังหดเล็กและโจมตีมาที่ตนอย่างรวดเร็ว จึงร้องออกมาทันทีว่า “ชิงอวี้หลาง เจ้าไม่ตายดีแน่!” ในน้ำเสียงเจือด้วยอารมณ์เศร้าโศก
ในลูกกลมที่ตีกวนด้วยความเร็วสูง มีเสียงต่อสู้ดังสะเทือนเลือนลั่นดังออกมา ฮุ่ยชิงเหยียนดิ้นรนเอาชีวิตรอดอยู่ในนั้น แต่กลับตีฝ่าออกมาไม่ได้เสียที จะเห็นได้ถึงความร้ายกาจของของวิเศษชิ้นนี้
ส่วนโฉวตั้งไห่กับพวกผังลิ่งกง เมื่อเห็นฮุ่ยชิงเหยียนโดนขังอยู่ในนั้นแล้ว ก็รีบนำกำลังคนไปตามสังหารบรรดาผู้ช่วยของฮุ่ยชิงเหยียนทันที พวกเขาจะทนรับการร่วมมือโจมตีนี้ได้อย่างไร ขณะที่หนีหัวซุกหัวซุนก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า
“หึหึ!” ชิงอวี้หลางที่นั่งบนอได้ยินเสียงแล้วหัวเราะลั่น ก่อนหน้านี้ตะโกนดังมาก ท่าทางเหมือนจะสู้ตายกับฮุ่ยชิงเหยียน แต่ที่จริงไม่เห็นเขามีท่าทีว่าจะลงมือเลย กลับพูดกลั้วหัวเราะกับคนที่อยู่ทางซ้ายและขวา “ต้องการกดดันให้พวกเขาฆ่าเสียให้พอ ถ้าไม่ทำให้พวกเขาสูญเสียกำลังคน แล้วพวกเราจะได้อันดับหนึ่งได้ยังไง?”
เจ็ดคนที่อยู่ทางซ้ายและขวาสบตากันแล้วหัวเราะ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งตกปลาอยู่บนเรืออย่างสงบนิ่งโดยไม่สนใจคลื่นลม
ณ จุดหมายสุดท้าย ฮ่าวอวิ๋นตูหน้าดำเหมือนก้นหม้อแล้ว
บนบันไดหน้าตำหนัก เกาก้วนที่ยืนเอามือไขว้หลังยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ขระที่มองฉากนั้นด้วยสายตาเย็นเยียบ จู่ๆ เหมือนจะแสยะยิ้มพึมพำอะไรบางอย่าง “เวลาให้ทำงาน ก็จะปัดความรับผิดชอบใส่กัน เรื่องสู้กันเองนี่กินกันไม่ลง นี่คือเหล่าผู้บัญชาการที่ตำหนักสวรรค์ของพวกเราเอง ดูแค่จุดนี้ก็มองเห็นภาพรวมแล้ว! มิน่าล่ะต่อให้ราชันสวรรค์สยบใต้หล้าได้แล้วแต่ก็ยังปวดหัว คนประเภทนี้จะฆ่าทิ้งหมดเหรอ?”
พ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างๆ โค้งกายเล็กน้อย แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มเจื่อน “มีคนเยอะก็เป็นแบบนี้ เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้! ฆ่าหมดชุดหนึ่งก็โผล่มาอีกชุดหนึ่ง ตราบใดที่มีผลประโยชน์ คนแบบนี้ฆ่าอย่างไรก็ไม่หมด ใต้หล้ากว้างใหญ่ขนาดนี้ ย่อมต้องมีคนไปปกครองดูแล!”
ฉากนี้ทำให้พวกเหมียวอี้แอบทอดถอนใจ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องของพวกเขา ทั้งสามยังคงรีบมุ่งหน้าสู่จุดหมายสุดท้าย
แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นอีกแล้ว มู่หรงซิงหัวพลันร้องบอก “น้องหนิวรีบดูนั่น!”
เหมียวอี้กับสวีถังหรานมองตาม เห็นคนกลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่บนท้องฟ้าไกลๆ กำลังเร่งมาที่จุดหมายสุดท้ายด้วยความเร็วสูง
“ทางด้านนั้น!” สวีถังหรานพลันชี้ไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ไม่ใช่แค่กลุ่มเดียว สองกลุ่ม สามกลุ่ม สี่กลุ่ม…
คนที่ซ่อนตัวอยู่ในอวกาศปรากฏตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ต่างก็เร่งเดินทางมาทางนี้
เหตุผลก็ไม่ซับซ้อน รอให้ถึงวันสุดท้ายไม่ไหวแล้ว เห็นยอดฝีมือที่เก่งกาจหลายคนเริ่มต่อสู้พัวพันกันไม่หยุด จึงมีคนคิดว่าโอกาสมาถึงแล้ว ถ้าไม่รีบฉวยโอกาสปลีกตัวตอนนี้ รอจนยอดฝีมือหลายคนกลับมามือเปล่า เกรงว่าตัวเองจะยิ่งมีอันตรายกว่าเดิม เมื่อมีคนนำแล้ว ทุกคนก็กรูกันปรากฏตัวทันที ฉวยโอกาสหลีกหนีอันตราย
ทว่าเมื่อมีฝูงปลาโผล่มา ก็ต้องชาวประมงโผล่มาด้วย คนที่อยากช่วงชิงอันดับดีๆ ไม่ได้มีแค่สี่อ๋องสวรรค์กับตระกูลเซี่ยโห้ว ยังมีลูกหลานของสิบสองจอมพลและสามสิบหกเทพประจำดาวอีก…
…………………………