เมื่อเห็นฉินเวยเวยมารอที่นี่จริงๆ เหมียวอี้ที่กำลังจนใจก็ยังพยักหน้ายิ้มทักทาย “มาคนเดียวเหรอ?”
“ใช่ค่ะ!” ฉินเวยเวยตอบ
“ระหว่างทางราบรื่นดีใช่มั้ย?”
“ปลอดภัยตลอดทาง ราบรื่นมากค่ะ!”
เหมียวอี้ไม่ได้พูดอะไรมาก พยักหน้าทักทายหลินผิงผิง “ถ้ามีอะไรเดี๋ยวค่อยคุยกัน ในเมื่อมาที่นี่แล้ว ข้าจะไปเยี่ยมคารวะท่านทูตที่ปราสาททองก่อน!”
“ค่ะ!” ทั้งสองกุมหมัดน้อมส่ง มองตามหลังเหมียวอี้เหาะขึ้นยอดเขา
ฉากนี้ทำให้ฉินเวยเวยทอดถอนใจด้วยความปลง คนเลี้ยงม้าต่ำต้อยในปีนั้น ประมุขถ้ำต่ำต้อยในปีนั้น ตอนนี้กลายเป็นตัวละครที่สามารถเข้าพบท่านทูตได้ทุกเมื่อแล้ว และบุคคลที่คบค้าสมาคมด้วยก็เป็นบุคคลระดับสูงเสียส่วนใหญ่ อย่างเช่นพวกประมุขถิ่นสี่ทิศแห่งทะเลดาวนักษัตร ขณะมองดูความเจริญรุ่งเรืองของเมืองหลวงที่ทอดตัวเป็นพืดอยู่ด้านล่างภูเขา ในใจก็ยิ่งรู้สึกปลงอนิจจัง รู้สึกเหมือนได้เข้ามาอยู่ในความฝัน
“ประมุขตำหนักฉิน!” หลินผิงผิงเบี่ยงตัวพลางยื่นมือเชิญฉินเวยเวยให้เข้าข้างใน ท่าทีสุภาพเกรงใจมาก ตอนนี้คนของปราสาทดำเนินสุริยันต่างก็รู้ว่าประมุขตำหนักฉินกับฮูหยินประมุขปราสาทมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ไม่ใช่คนที่จะไปมีเรื่องด้วยได้ง่ายๆ
“ไม่เป็นไร! ข้าจะดูทิวทัศน์ของเมืองหลวงอยู่ข้างนอกสักหน่อย” ฉินเวยเวยปฏิเสธ แล้วเดินเนิบนาบเข้าไปในศาลาที่อยู่ริมภูเขา มองดูเมืองอันเจริญเฟื่องฟูดุจภาพวาดที่อยู่ติดกับภูเขาและแม่น้ำลำธาร รู้สึกสดชื่นสบายใจ
ทิวทัศน์ระดับนี้หาดูไม่ได้ที่ปราสาทดำเนินสุริยัน ถึงแม้ทิวทัศน์ป่าเขาที่ปราสาทดำเนินสุริยันจะงดงามสบายตา แต่กลับขาดกลิ่นอายของผู้คน ถ้าจะพูดให้ชัด ที่นั่นก็คือภูเขาลึกที่อยู่ห่างไกล ไม่ได้มีการผสมผสานระหว่างความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และความคึกคักรุ่งเรืองเหมือนที่นี่ มีเพียงคำว่าสวรรค์บนดินเท่านั้น ที่คู่ควรจะนำมาบรรยายความยอดเยี่ยมของที่นี่
ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าเหมียวอี้จะกลับมาเมื่อไร จึงไม่มีอารมณ์มาชมทิวทัศน์ แต่ตอนนี้หายกังวลแล้ว มีอารมณ์ผ่อนคลายสบายใจแล้ว
เหมียวอี้ไต่เต้าตำแหน่งในสายมะโรงได้ไวมาก ฉินเวยเวยไม่รู้ว่าวันหนึ่งเหมียวอี้จะได้กลายเป็นนายท่านของสวรรค์บนดินแห่งนี้หรือไม่ ที่จริงก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมเหมือนกัน ระหว่างประมุขปราสาทกับท่านทูตห่างกันแค่ขั้นเดียว
ไม่นานหลินผิงผิงก็ยกน้ำชาออกมา วางไว้ในศาลาแห่งนั้น…
ด้านนอกปราสาททองที่อยู่บนยอดเขา กูกูใหญ่ฉางฮวนเดินเนิบนาบออกมา แล้วยื่นมือเชิญพร้อมยิ้มอย่างสนิทสนม “ประมุขปราสาทเหมียว ท่านทูตเชิญข้างในค่ะ!”
“รบกวนกูกูใหญ่แล้ว” เหมียวอี้กุมหมัดขอบคุณ แล้วมอบแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งให้
ฉางฮวนรับมาพร้อมรอยยิ้ม แล้วหันตัวยื่นมือเดินนำทาง
เมื่อมาถึงห้องทำงานท่านทูตบนตึกของปราสาททอง หลังจากรออยู่สักพัก เหมียวอี้ก็เห็นเยว่เทียนโปเดินนำฉางฮวนและฉางเล่อเข้ามา
“ข้าน้อยคารวะท่านทูต!” เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ
หลังจากเยว่เทียนโปนั่งลง ก็ยื่นมือออกมาพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ประมุขปราสาทเหมียว เจ้านี่เป็นประมุขปราสาทที่อิสระเสรีจริงๆ เลยนะ ไม่เห็นเจ้าโผล่หน้ามาตั้งหลายร้อยปี”
เหมียวอี้ถอนหายใจแล้วตอบว่า “ข้าน้อยก็อยากจะมาบ่อยๆ นะ แต่จนใจที่ตัดสินใจเองไม่ได้”
เยว่เทียนโปรู้สึกเลี่ยนนิดหน่อย ไม่ต้องถามก็รู้ว่าจะพูดอะไรต่อ อวิ๋นจือชิวใช้คำพูดแบบเดียวกันอ้างกับเขาไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว บอกเป็นนัยว่าเหมียวอี้รับภารกิจมาจากแดนโพนสวรรค์ กำลังปฏิบัติภารกิจลับ
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับแดนโพนสวรรค์ขนาดนั้น ตามหลักการแล้วเยว่เทียนโปจะต้องคิดหาทางกำจัดทิ้ง ไม่อย่างนั้นก็จะเป็นภัยคุกคามกับตำแหน่งของตน แต่มีอยู่อีกจุดหนึ่งที่เขาเข้าใจดี นั่นก็คือมู่ฝานจวินกับอวิ๋นอ้าวเทียนเป็นศัตรูคู่แค้นกัน ที่ทำแบบนี้เพราะมีแผนการอีกอย่างแน่นอน และไม่น่าจะเป็นไปได้ที่จะใช้ให้เหมียวอี้ทำงานสำคัญ เขาถึงได้อดทนมาตลอด
พอนึกถึงตรงนี้ เยว่เทียนโปก็หัวเราะเบาๆ “แล้วทำไมครั้งนี้เจ้าถึงมีเวลาว่างมาได้ล่ะ?”
“คำกล่าวนี้ของท่านทูตทำให้ข้าน้อยกลัวนะ!” เหมียวอี้กล่าวตามมารยาท แล้วตอบว่า “มาเพราะเรื่องการประลองของวิเศษที่สำนักงามวิจิตร หวังว่าจะได้รับอนุญาตจากท่านทูต ให้ข้าน้อยได้ไปดูสักครั้ง!”
ไม่มีทางเลือก ที่เขาสามารถไปมาหาสู่กับทะเลดาวนักษัตร ก็เพราะได้รับอนุญาตจากแดนโพนสวรรค์แล้ว ไม่อย่างนั้นถ้าเบื้องบนไม่ยินยอม ถ้าหนึ่งในสิบเจ้าอาณาเขตอย่างเขาออกนอกอาณาเขตโดยพลการ ก็ต้องมาขออนุญาติเยว่เทียนโปก่อน ถ้าจู่ๆ ไปโผล่อยู่แดนอู๋เลี่ยง ก็จะฟังดูไม่เข้าท่าแล้ว
ฆ่าหลานชายของเฟิงเป่ยเฉิน แย่งตัวหลานสะใภ้ของเฟิงเป่ยเฉิน เจ้ายังจะกล้าไปแดนอู๋เลี่ยงอีกเหรอ? เยว่เทียนโปมองประเมินเขาอย่างฉงนใจ และแน่นอนว่าเก็บคำพูดพวกนี้ไว้ในใจ จากนั้นขมวดคิ้วนิดหน่อยพลางถามว่า “เหมียวอี้ คงไม่ต้องให้ข้าเตือนเรื่องความสัมพันธ์ของเจ้ากับแดนอู๋เลี่ยง ถ้าเจ้าไปที่นั่น เกรงว่าจะคาดเดาผลลัพธ์ได้ยาก เจ้าต้องคิดดูให้ดีนะ”
เหมียวอี้ตอบว่า “ไม่เป็นไรเลยขอรับ! ขอเพียงท่านทูตอนุญาต ข้าน้อยก็จะไปเชิญให้ประมุขถิ่นสี่ทิศแห่งทะเลดาวนักษัตรนำกำลังพลไปด้วยกัน!”
“…” เยว่เทียนโปพูดไม่ออก พบว่าเจ้าบ้านี่ไม่หลบเลี่ยงที่จะเอ่ยถึงความสัมพันธ์ของตัวเองกับทะเลดาวนักษัตรเลยจริงๆ หลังจากไตร่ตรองนิดหน่อย เขาก็บอกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าเองก็อยากไปดูเหมือนกัน กำลังจะไปขออนุญาตแดนโพนสวรรค์พอดี รอดูท่าทีของแดนโพนสวรรค์สักสองสามวันแล้วค่อยว่ากัน”
“รับทราบ!” เหมียวอี้เอ่ยรับ ไม่ว่าจะอนุญาตหรือไม่ เขาก็แค่จะมาขออนุญาตก่อนเฉยๆ ถ้าอนุญาตก็แล้วไป แต่ถ้าไม่อนุญาต เขาก็ยังจะไปอยู่ดี ถ้าโดนทำโทษขึ้นมา อย่างมากก็แค่ได้ออกจากตำแหน่งประมุขปราสาทเส็งเคร็งนี่ เดี๋ยวเขาค่อยไปเป็นประมุขถิ่นกลางที่ตำหนักดาวกลางเอาก็ได้ ถ้าเขาวางค่ายกลแปดทิศแล้ว ใครจะทำอะไรเขาได้ล่ะ? เขาไม่ได้กังวลเยอะเหมือนอวิ๋นจือชิว ที่ตั้งใจจะรักษาอาณาเขตของปราสาทดำเนินสุริยันไว้ให้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสามอยู่ในมือมู่ฝานจวิน เขาคงไปเป็นประมุขถิ่นกลางตั้งนานแล้ว
คำพูดของอวิ๋นจือชิว เขาก็แค่รับฟังตอนที่อยู่บ้าน ถ้าจะให้พูดตรงๆ ก็คือโอนอ่อนผ่อนตาม เมื่อออกจากบ้านมาแล้วควรจะทำอย่างไร เขาก็ยังจะทำอย่างนั้นเหมือนเดิม สิ่งที่ฮูหยินกำชับไว้ก่อนที่จะมา เขาได้โยนทิ้งไว้ข้างหลังหมดแล้ว เพราะนั่นไม่สอดคล้องกับวิธีการทำงานของเขาเลย
หลังจากทั้งสองคุยเรื่อยเปื่อยกันพักหนึ่ง เหมียวอี้ก็กล่าวอำลา ก่อนจะไปก็ขอคุยส่วนตัวกับฉางเล่อ แล้วนำแหวนเก็บสมบัติวงหนึ่งมอบให้นาง ถ้าให้อีกคนแต่ไม่ให้อีกคน ก็จะฟังดูไม่เข้าท่า ถึงแม้จะโยนคำพูดของฮูหยินทิ้งไว้ข้างหลัง แต่นี่ก็ยังเป็นวิธีการทำงานของเขาเหมือนกัน คือไม่ฉีกหน้าและพยายามรักษาความสัมพันธ์อันดีเอาไว้
เมื่อกลับถึงเรือนพักที่หลินผิงผิงเหมาเช่าไว้ในระยะยาว หลินผิงผิงก็บอกว่าเตรียมที่อยู่ใหม่ไว้เรียบร้อยแล้ว เชิญให้ประมุขปราสาทย้ายไป
ที่นี่มีนางอยู่อาศัยแค่คนเดียว อยู่กันเยอะเกินไปไม่ได้ และไม่สมฐานะของประมุขปราสาทด้วย
พวกเขามาถึงเรือนพักหรูหราที่อยู่บนภูเขา พอทอดสายตามองไปไกลๆ ทิวทัศน์ของเมืองหลวงก็ย่อมดีขึ้นอีกหนึ่งระดับ หลินผิงผิงกับฉินเวยเวยเดินสำรวจไปทั่ว ส่วนเหมียวอี้ก็เดินเอามือไขว้หลังอยู่ในลานบ้าน
เขากำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง ถ้ามีโอกาสจะต้องคุยกับเจ้าสามอย่างจริงจัง ดูว่าเจ้าสามมีเจตนาอย่างไรกันแน่ จะยืนอยู่ฝ่ายมู่ฝานจวิน หรือจะยืนอยู่ฝ่ายพี่ชายอย่างเขา ไม่อย่างนั้นถ้าเจ้าสามโดนบีบอยู่ในมือมู่ฝานจวิน เขาก็เหมือนโดนมัดมือมัดเท้าอยู่เสมอ ไม่อย่างนั้นเขาจะโดนควบคุมอยู่ที่นี่ทำไม
อย่าว่าแต่ทิ้งทุกอย่างเพื่อไปเป็นประมุขถิ่นของตำหนักดาวกลางเลย ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ค่อยไปขอพึ่งพาแดนมารก็ได้!
“เจ้าสามนะเจ้าสาม..” เหมียวอี้ถอนหายใจยาว ในหัวมีภาพภาพหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ ภาพในฤดูหนาวเมื่อวัยเด็ก เยว่เหยาที่หน้าซีดตัวผอมกำลังขดตัวอยู่ในผ้าห่มบางๆ พลางร้องว่าหนาว ร้องว่าหิว วินาทีนี้เหมียวอี้แทบจะน้ำตาเอ่อออกมา เขาเอามือชกต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ข้างกายไม่หยุด ก้มหน้าเล็กน้อยและหลับตาลง ตอนที่พ่อแม่ของเจ้าสามรับเขามาเลี้ยง ก็ไม่เคยทำให้เขาหนาวและทนหิวเลย แต่ตอนหลังตัวเองกลับไม่ได้ดูแลเจ้าสามให้ดี เรียกได้ว่ายากจะลบเลือนความรู้สึกผิดที่มีอยู่เต็มอก
“นายท่าน! เป็นอะไรไปคะ?” ไม่รู้ว่าฉินเวยเวยมาโผล่อยู่ข้างกายเขาตั้งแต่เมื่อไร นางถามหยั่งเชิงว่า “หรือว่าทางท่านทูตมีอะไรไม่ราบรื่นหรือเปล่า?”
เหมียวอี้หันกลับมามองนางแวบหนึ่ง แล้วโบกมือ “ไม่ใช่หรอก! ข้านึกเรื่องอะไรบางอย่างขึ้นได้ เออใช่ ก่อนหน้านี้เจ้าเคยมาเมืองหลวงรึเปล่า?”
ฉินเวยเวยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี จะไม่เคยมาได้อย่างไรล่ะ นางตอบว่า “ครั้งก่อนข้าน้อยมาส่งส่วยเป็นเพื่อนฮูหยินค่ะ”
“อ๋อ!” เหมียวอี้ยกมือตบหน้าผากตัวเองเพราะรู้ตัวว่าพลั้งปาก “ทีแรกคิดว่าถ้าเจ้าไม่เคยมา ข้าก็จะพาไปเที่ยวชมบรรยากาศของเมืองหลวงสักหน่อย ข้าเลอะเลือนไปเอง”
ฉินเวยเวยแอบกัดฟัน แล้วตอบว่า “ก่อนหน้านี้มีข้อจำกัดด้านวรยุทธ์ ยากที่จะเข้าไปรวมกลุ่มกับคนอื่นได้ เลยไม่เคยเยี่ยมชมเมืองหลวงอย่างชัดๆ ค่ะ ถ้านายท่านมีอารมณ์ผ่อนคลาย ข้าน้อยยินดีจะไปเที่ยวเล่นเป็นเพื่อนนายท่านค่ะ!”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ เขาไปเที่ยวชมมาไม่รู้ตั้งกี่รอบแล้ว ยังมีอะไรน่าเที่ยวอีกล่ะ แต่ก็ยังพยักหน้าบอกนางว่า “ถึงอย่างไรก็ต้องอยู่ที่นี่หลายวัน ก่อนมาฮูหยินก็สั่งไว้แล้วว่าให้พาเจ้าไปเปิดหูเปิดตาเยอะๆ ข้าต้องออกไปพบปะผู้คนพอดี ข้าเองก็ไม่ได้มาเมืองหลวงหลายปีแล้ว ไปดูด้วยกันว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง”
ทั้งสองเดินเล่นอยู่ในบ้านพักไม่กี่รอบ แล้วก็ออกไปด้วยกัน
เดิมทีหลินผิงผิงต้องการจะร่วมเดินทางไปด้วย แต่ฉินเวยเวยกลับบอกให้นางอยู่ที่นี่ อยู่ในตำแหน่งสูงมานานแล้ว การพูดจาและการจัดการเรื่องต่างๆ ก็เด็ดขาดขึ้นเยอะ ค่อนข้างต่างกับฉินเวยเวยในปีนั้น นางไม่ยอมให้หลินผิงผิงปฏิเสธ ออกไปกับเหมียวอี้สองต่อสองแล้ว
เมื่อออกจากเรือนพัก เหมียวอี้ก็พาฉินเวยเวยไปเยี่ยมเยียนเพื่อนร่วมงานสมัยที่ตัวเองเป็นผู้ช่วยของปราสาททอง ทั้งยังนั่งดื่มน้ำชากับผู้ตรวจการใหญ่หลันโฮ่วครู่หนึ่งด้วย ตอนนี้เขามีสิทธิ์จะนั่งเสมอกับหลันโฮ่วแล้ว จากนั้นก็ไปเยี่ยมบรรดาที่ปรึกษาและผู้ช่วยของยอดเขาหยกนครหลวงด้วย เขาไม่ลืมที่จะแนะนำฉินเวยเวยให้ทุกคนรู้จัก ในภายหลังถ้ามีเรื่องอะไรก็ฝากให้ดูแลนางด้วย
พูดปากเปล่าไม่มีอะไรเสียหาย ทุกคนย่อมเอ่ยรับอย่างเต็มปากเต็มคำ
พอออกจากยอดเขาหยกนครหลวง เหมียวอี้ก็พาฉินเวยเวยไปเยี่ยมตาเฒ่าฮัว หลังจากออกจากบ้านตาเฒ่าฮัว สีของฟ้ามืดลงแล้ว ทั้งสองเช่าเรือดอกไม้เพื่อแล่นจากในคลองทะลุไปที่แม่น้ำใหญ่
บนหัวเรือ เหมียวอี้ยืนเอามือไขว้หลังพลางชื่นชมสองข้างทางที่มีโคมไฟวิบวับหลากสีสัน ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดเรื่องอะไรอยู่
ตอนกลางคืนค่อนข้างหนาว กลิ่นหอมอ่อนโชยเข้าจมูก ที่บ่ามีผ้าคลุมสีขาวเพิ่มขึ้นมาแล้ว เหมียวอี้หันกลับมามอง เห็นฉินเวยเวยกำลังทำสีหน้าตื่นเต้นกังวล พลางช่วยเขาจัดผ้าคลุมไหล่ด้วยมือที่สั่นเล็กน้อย เหมียวอี้จึงยิ้มเจื่อนพลางบอกว่า “จะไปรบกวนให้ประมุขตำหนักผู้สง่าผ่าเผยมาทำงานของบ่าวรับใช้ได้ยังไง เจ้ากับข้าเป็นสหายกัน ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอก ช่างเถอะ!”
ฉินเวยเวยฝืนตอบว่า “ก่อนที่จะมา ฮูหยินกำชับเรื่องความเคยชินในชีวิตประจำวันของนายท่าน สั่งให้ข้าน้อยดูแลเรื่องการกินอยู่ของนายท่านให้ดีค่ะ!”
อวิ๋นจือชิวไม่ได้บอกให้นางทำเรื่องนี้เสียหน่อย เพียงแต่นางเห็นเหมียวอี้ออกมาข้างนอกตอนอากาศหนาวบ่อยๆ แล้วทุกครั้งก็มีคนนำผ้ามาคลุมบ่าให้ นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำแบบนี้ได้ ข้างกายนางไม่มีใครนำผ้ามาคลุมไหล่ให้เหมือนเหมียวอี้ นางเป็นคนหยิบมาคลุมเองเสมอ
เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าถูกคนอื่นดูแลมาตั้งแต่เด็ก จะไปดูแลคนอื่นเป็นได้ยังไง! ตอนอยู่ที่นี่ไม่ต้องแบ่งแยกฐานะกันหรอก เป็นสหายกันก็พอ ไม่ต้องบังคับตัวเองขนาดนั้น เจ้าทำแบบนี้กลับทำให้ข้าอึดอัดนะ!”
เมื่อโดนว่าว่าดูแลคนอื่นไม่เป็น ฉินเวยเวยก็กัดฟันอย่างอับอายเกินทน นางเอ่ยรับคำเดียว แล้วยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไรอีก
เหมียวอี้เองก็ไม่ได้ถอดผ้าคลุมไหล่ออก เพียงแต่สังเกตเห็นว่าเป็นผ้าคลุมไหล่ของฉินเวยเวย แล้วก็สังเกตว่าน้ำเสียงของตัวเองเมื่อครู่นี้อาจจะให้ความรู้สึกเหมือนทำตัวสูงส่ง ทำให้อีกฝ่ายไม่กล้าพูดอะไรแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะคลี่คลายบรรยากาศอึดอัด “เวยเวย ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วหลายปี ทุกวันนี้เจ้ายังโสดอยู่เลย ไม่เคยคิดจะแต่งงานเลยเหรอ?”
ฉินเวยเวยกล่าวด้วยสีหน้าสับสน “สูงไปก็เอื้อมไม่ถึง ต่ำไปก็ไม่ต้องการ เกรงว่าคงจะไม่มีใครต้องการข้าแล้ว”
เหมียวอี้พูดกลั้วหัวเราะว่า “คำกล่าวนี้ก็เกินไปหน่อยนะ ต่ำไปก็ไม่ต้องการ นั่นก็อาจจะจริง แต่ที่ว่าสูงไปก็เอื้อมไม่ถึง นั่นก็ไม่แน่หรอกใช่มั้ย? เจ้าชอบใครล่ะ บอกมาได้เลย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าเป็นพ่อสื่อนะ เจ้ารู้จักจ้าวเฟยกับอูเมิ่งหลันใช่มั้ย? ข้าเองที่เป็นสื่อกลางของพวกเขาสองคน เดี๋ยวข้าจะหาโอกาสช่วยให้เจ้าสมหวัง ต้องช่วยให้เจ้าได้เขามาแน่นอน เจ้าถูกใจคนไหนล่ะ?”
สายตาอันอ่อนโยนของฉินเวยเวยกำลังมองผิวน้ำที่เป็นระลอกคลื่นยามลมราตรีพัดผ่าน มองเรือดอกไม้ที่แล่นอยู่ข้างหน้า พลางตอบด้วยรอยยิ้มว่า “พลาดไปแล้วล่ะ! คนที่ข้าชอบแต่งงานไปแล้ว”
“แต่งงานไปแล้วเหรอ?” เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเล “แบบนี้ก็ไม่สะดวกจะจัดการแล้ว ข้าคงไปทำให้สามีภรรยาเขาแยกทางกันไม่ได้ ถึงยังไงพ่อเจ้าก็ไม่ยอมให้เจ้าไปเป็นอนุภรรยาแน่ๆ เวยเวย ไม่ต้องเอาแต่มองคนคนเดียวหรอก ในใต้หล้ามีผู้ชายเยอะแยะ ลองใช้สายตามองไปไกลๆ หน่อย เดี๋ยวก็เจอคนที่ถูกใจเอง”