หัเวราะอย่างถึงอกถึงใจ แต่ไม่นานรอยยิ้มก็ค่อยๆ แข็งทื่อ พบว่ามีตัวเองอยู่เราะอยู่คนเดียว สามคนที่อยู่ตรงข้ามกลับมองหน้ากันเลิกลั่ก มองเขาอย่างตะลึงงัน
ดังนั้นโค่วเหวินหลานจึงหัวเราะไม่ออกแล้ว ถามอย่างแปลกใจว่า “ได้อันดับหนึ่งแล้ว พวกเจ้าไม่ดีใจเหรอ?”
แต่ไม่ดีใจได้อย่างไรล่ะ แต่เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นเจ้าตุ้งติ้งหัวเราะอย่างกล้าได้กล้าเสียเหมือนผู้ชาย ต้องถือผ้าเช็ดหน้าป้องปากสิถึงจะเหมือนเขา แบบนี้รู้สึกไม่ค่อยชิน รู้สึกตกใจนิดหน่อย
หลังจากได้สติกลับมา ก็กลัวว่าเขาจะมองออก สวีถังหรานจึงไอแห้งๆ แล้วถามหยั่งเชิงอีกครั้งว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ได้ที่หนึ่งจริงๆ เหรอ?”
“ก็จริงน่ะสิ ข้าจะหลอกพวกเจ้าเชียวเหรอ?” โค่วเหวินหลานหันตัวแล้วโบกมือ “อย่าชักช้า รีบไปเถอะ พวกเราไม่มีสิทธิ์มาวางท่าให้นายท่านผู้คุมรอนาน”
สวีถังหรานโค้งมุมปากยิ้มทันที แม้จะขาดแขนขาดขาก็ยังเดินตามไป พลางซักต่อว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ จะได้รางวัลอะไรบางเหรอ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน นายท่านผู้คุมเพิ่งรายงานเพื่อขอรางวัล รอประกาศแล้วกัน” โค่วเหวินหลานส่ายหน้าตอบ
เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวสบตากันแล้วยิ้มไม่หยุด ได้อันดับหนึ่งย่อมต้องดีใจอยู่แล้ว
ตอนที่ทั้งสี่เดินมาถึงหน้าตำหนักท่ามกลางสายตาอิจฉาริษยาของฝูงชน โค่วเหวินหลานก็นับว่าสงบเสงี่ยม พาลูกน้องไปยืนอยู่ด้านหลังสุด
ปี้แยว่ฮูหยินที่กำลังลูบขนจิ้งจอกในอ้อมอกยืนมองอยู่ไกลๆ ดูเอาสนุก!
เก้าอี้บนบันไดหน้าตำหนักถูกเก็บไปแล้ว เพียงแต่มองไม่เห็นเงาของเกาก้วน หลังจากทุกคนรอได้สักพัก ถึงได้เห็นเกาก้วนที่แววตาดุจอินทรีกิริยาดังหมาป่าเหลียวหลังเดินก้าวยาวออกมาจากตำหนัก แล้วหยุดยืนอยู่บนบันไดสูง มองสำรวจกลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างด้วยแววตาเย็นเยียบ
จุยหย่วนที่ยืนอยู่ข้างล่างหันกลับไปมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นพอโบกมือ ก็มีกลุ่มคนพุ่งออกมาจากทางซ้ายและขวาทันที พวกเขาสวมเกราะรบที่เปล่งระระยิบระยับ ในมือถือทวนและดาบ เริ่มมาล้อมกลุ่มคนที่อยู่ข้างล่างเอาไว้ การจัดวางกำลังแบบนี้ทำให้ฝูงชนตื่นตระหนก ไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการจะทำอะไร
เกาก้วนยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ยื่นแผ่นหยกออกมาแผ่นหนึ่ง หลังจากจุยหย่วนรับมาอ่าน ก็ประกาศต่อทุกคนอย่างเป็นทางการด้วยเสียงอันดังก้อง “กรุณาธิคุณจากราชันสวรรค์! ผู้บัญชาการทุกคน เข้มงวดในกฏระเบียบ ไม่กลัวความเหน็ดเหนื่อย ปราบนักโทษหลบหนีหนึ่งร้อยปี รักษาความน่าเกรงขามของกฎสวรรค์ ราชันสวรรค์มีคำสั่ง มอบรางวัลตามผลงาน!” ประโยคสุดท้ายลากเสียงยาว
กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นกุมหมัดโค้งตัวทันที กล่าวพร้อมกันว่า “ขอบพระคุณสวรรค์!”
จุยหย่วนกวาดสายตามองกลุ่มคน แล้วสายตาก็ไปหยุดอยู่บนตัวพวกโค่วเหวินหลาน “อันดับหนึ่ง หนิวโหย่วเต๋อ มู่หรงซิงหัว สวีถังหราน ก้าวขึ้นมารับรางวัล!”
โค่วเหวินหลานยิ้มพลางโบกมือให้สัญญาณทั้งสามคนทันที บอกให้รีบไปรับรางวัล
คนที่บังอยู่ตรงหน้าก็ไม่กล้าขวาง ยืนแยกเป็นสองฝั่งทันที หลีกทางให้พวกเขาเดินออกมา
เหมียวอี้ยื่นมือเชิญมู่หรงซิงหัวก่อน ตรงนี้นางวรยุทธ์สูงสุด มู่หรงซิงหัวกลับส่ายหน้า หลบไปยืนด้านข้างอย่างรู้ว่าอะไรควรไม่ควร
เช่นนั้นเหมียวอี้ก็ไม่เกรงใจแล้ว ไม่เกี่ยงงอนในเรื่องที่ควรกระทำ เดินก้าวยาวเข้าไปตรงกลางด้วยสีหน้าสุขุมเยือกเย็น ฉากแบบนี้เป็นเรื่องเล็กสำหรับเขา ถึงอย่างไรเขาก็เคยนำกำลังพลนับหมื่นนับพันออกรบมาก่อน ใช่ว่าจะไม่เคยเห็นฉากที่อลังการกว่านี้มาก่อน ทำตัวไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง และไม่ถ่อมตัวเกินจนดูต่ำต้อย เป็นลักษณะท่าทางที่เกิดขึ้นเอง
มู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานเดินตามอยู่ทางซ้ายและขวาอย่างรู้สำนึก ถึงแม้ทั้งสองจะวรยุทธ์สูง แต่ความจริงไม่เคยมีประสบการณ์กับฉากที่ยิ่งใหญ่แบบนี้มาก่อน โดนลูกหลานของตระกูลขุนนางมากมายขนาดนี้ดูอยู่ พวกเขาค่อนข้างตื่นเต้นกังวล กอปรกับขาดแขนขาดขา สวีถังหรานกึ่งกระโดดกึ่งลอยขึ้นด้วยขาข้างเดียว
หลังจากทั้งสามหยุดยืนทำความเคารพตรงตีนบันได จุยหย่วนก็กล่าวว่า “ด้วยมหากรุณาธิคุณของราชันสวรรค์! หนิวโหย่วเต๋อ มู่หรงซิงหัว สวีถังหรานได้อันดับหนึ่ง เลื่อนตำแหน่งเป็นกรณีพิเศษสองขั้น มอบยศแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ มอบยาเม็ดม่วงทองคนละหนึ่งแสนเม็ด เมื่อพบขุนนางตำหนักสวรรค์ที่วรยุทธ์ต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพ ไม่ต้องทำความเคารพ จบ!”
“ขอบพระคุณราชันสวรรค์!” ทั้งสามกล่าวขอบคุณ
เมื่อให้รางวัลแบบนี้ ก็ไม่รู้ว่ามีคนมากมายเท่าไรที่อยู่ตรงนั้นทำสายตาอิจฉา เรียกได้ว่าอิจฉาริษยาแทบแย่
ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เลื่อนยศสองขั้น จากยศทหารเลวเกราะทองห้าแถบกระโดดข้ามไปยศแม่ทัพเกราะม่วงหนึ่งแถบ ต้องทราบไว้ว่าจากทหารเลวถึงแม่ทัพเป็นยศที่ห่างกันหนึ่งชั้น โดยทั่วไปนักพรตที่วรยุทธ์ยังไม่ถึงระดับบงกชรุ้งจะไม่ได้รับอนุญาตให้รับยศแม่ทัพ ถ้าอยากจะได้เป็นกรณีพิเศษ ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากเบื้องบนจะอนุมัติ! ตอนนี้เบื้องบนของเบื้องบน ราชันสวรรค์ที่อยู่ระดับสูงสุดเอ่ยวาจาศักดิ์สิทธิ์อนุญาตเป็นพิเศษแล้ว ไม่มีใครว่าอะไรได้
ไม่รู้ว่าต้องใช้ทรัพยากรฝึกตนและเวลามากเท่าไรถึงจะผลักดันให้เกิดนักพรตระดับบงกชรุ้งได้ มีคนมากมายที่ทั้งชีวิตก็ไม่มีทางข้ามผ่านระดับนั้นได้ รู้สึกจนใจที่ไร้ปัจจัยสำหรับขึ้นไปถึงจุดนั้น ตอนนี้ไม่น่าเชื่อว่านักพรตบงกชทองขั้นสามกับขั้นห้าจะโบยบินข้ามไปเป็นแม่ทัพเกราะม่วง ถึงแม้จะเป็นเพียงแม่ทัพหนึ่งแถบ เป็นแม่ทัพยศต่ำสุด แต่ถึงอย่างไรก็เป็นแม่ทัพ!
ส่วนสวัสดิการและทรัพยากรฝึกตนที่ตำหนักสวรรค์มอบให้ ก็ไม่ได้กำหนดตามความเล็กใหญ่ของตำแหน่งขุนนาง แต่กำหนดตามระดับวรยุทธ์ สวัสดิการของยศแม่ทัพย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทหารเลวจะเทียบติดอยู่แล้ว และเมื่อระดับวรยุทธ์ถึงขั้น การเลื่อนขึ้นตำแหน่งขุนนางบางตำแหน่งที่จำเป็นต้องอาศัยระดับบวรยุทธ์ก็ไม่ยากแล้ว ทำให้กลุ่มคนที่อยู่ตรงนั้นอิจฉาจนน้ำลายไหลจริงๆ
แม้แต่โค่วเหวินหลานเองก็ยังงุนงง แม่ทัพหนึ่งแถบ? แบบนี้ลูกน้องของตนก็ยศสูงกว่าตนน่ะสิ?
จะว่าไปแล้วแม้แต่โค่วเหวินหลานเองก็ยังไม่รู้ว่าวันไหนปีไหนถึงจะได้ไปอยู่ในขบวนแถวแม่ทัพเกราะม่วง วรยุทธ์ไม่สูงพอ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตเป็นกรณีพิเศษก็เป็นไม่ได้! ตระกูลโค่วสามารถใช้ทรัพยากรสนับสนุนเขา แต่กลับไม่ยอมให้ทุกคนรู้ว่าตระกูลโค่วเดินเข้าประตูหลังกับเรื่องที่ชัดเจนโจ่งแจ้งแบบนี้
ยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ด ความแตกต่างของยาเม็ดม่วงทองก็คือมีการเกาะตัวกันมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นของเหลวที่อยู่ในยาแก่นเซียน แต่ยาเม็ดม่วงทองกลับเป็นแก่นสารที่แท้จริงทั้งเม็ด จับต้องได้จริงเหมือนหินเหมือนเหล็ก ในยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแฝงพลังจิตวิญญาณไว้เทียบเท่ากับยาแก่นเซียนหนึ่งร้อยเม็ด
ยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ดก็เท่ากับยาแก่นเซียนสิบล้านเม็ด,สำหรับโค่วเหวินหลานไม่นับว่ามากมายอะไร แต่นี่คือสิ่งที่คนที่มีหน้าที่เฉพาะของตำหนักสวรรค์รวบรวมพลังจิตวิญญาณในจักรวาลมาหลอมปรุง ไม่ใช่สิ่งที่นักพรตทั่วไปจะใช้ได้ นอกจากจะมีให้ตำหนักสวรรค์ใช้โดยเฉพาะ ปกติก็จะนำมาเป็นรางวัลให้ขุนนางระดับสูงของตำหนักสวรรค์ ที่พวกเหมียวอี้ได้มาก็นับเป็นเกียรติยศพิเศษ
ยังมีเกียรติยศที่เจ๋งกว่านั้นอีก เมื่อพบขุนนางตำหนักสวรรค์ที่วรยุทธ์ต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์ระดับอนันตภาพ ก็ไม่น่าเชื่อว่าจะไม่ต้องทำความเคารพ หรือพูดได้อีกอย่างว่าเวลาเจอนักขุนนางระดับบงกชรุ้งของตำหนักสวรรค์ ก็ไม่ต้องทำความเคารพก็ได้ แค่คิดก็รู้สึกเจ๋งแล้ว!
ตรงสองข้างทางของบันไดมีคนถือถาดเดินเข้ามาแล้ว นำเกราะม่วงของแม่ทัพหนึ่งแถบมอบให้ตรงหน้าทั้งสามคน โดยแบ่งเป็นชุดผู้ชายสองชุดและชุดผู้หญิงหนึ่งชุด บนเกราะม่วงยังมีแหวนเก็บสมบัติอีกหนึ่งวง ให้ทั้งสามตรวจนับต่อหน้าว่ามีผิดพลาดหรือไม่
หลังจากทั้งสามตรวจสอบยืนยันยาเม็ดม่วงทองหนึ่งแสนเม็ดและอาวุธในแหวนเก็บสมบัติแล้ว ก็กล่าวขอบคุณราชันสวรรค์อีกครั้งแล้วถอยออกมา
ทั้งสามเดินกลับมาอยู่ข้างกายโค่วเหวินหลานท่ามกลางฝูงชน ขนาดโค่วเหวินหลานยังอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปลูบเกราะรบสีม่วงที่ทั้งสามถือประคองอยู่ รอบข้างมีคนไม่น้อยอิจฉาจนน้ำลายแทบไหล เกราะรบสีม่วงเชียวนะ เกราะรบสีทองที่ทุกคนสวมใส่นามปกติเป็นแค่เกราะรบขั้นสี่ แต่เกราะรบสีม่วงเป็นขั้นห้า เมื่อสวมเกราะรบชุดนี้ปรากฏตัวออกมา ก็เท่ากับอยู่ในอีกระดับหนึ่งแล้ว หลุดจากขบวนแถวทหารเลวไปอยู่ในระดับที่ต้องมองลงมา
พวกเหมียวอี้แอบปาดเหงื่อในใจนิดหน่อย นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะตบรางวัลหนักขนาดนี้ ไม่สนว่าจะได้ของเท่าไร แต่เกียรติยศที่มอบให้มันเยอะเกินไป ไม่น่าเชื่อว่าจะถูกเลื่อนให้เป็นแม่ทัพโดยตรง แถมเวลาเจอนักพรตที่ระดับต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพก็ไม่ต้องคารว ช่างเป็นการตบรางวัลที่หนักอึ้งจริงๆ!
ทำเอาทั้งสามมองไปทางโค่วเหวินหลานด้วยความเกรงใจ ชั่วพริบตาเดียวก็เลื่อนขั้นสูงกว่าโค่วเหวินหลานแล้ว ต่อไปนี้เวลาพบกันในโอกาสและสถานที่ที่เป็นทางการจะทำตัวอย่างไร? จะกล้าสวมเกราะม่วงมาโอ้อวดตรงหน้าโค่วเหวินหลานเหรอ? แบบนั้นไม่ใช่การทำให้โค่วเหวินหลานอึดอัดหรอกเหรอ!
แต่จะว่าไปแล้ว ในใจของทั้งสามก็รู้อยู่แจ่มแจ้ง ถึงแม้การตบรางวัลครั้งนี้จะไม่เกี่ยวอะไรกับโค่วเหวินหลาน แต่โค่วเหวินหลานก็คงไม่สนใจการตบรางวัลเล็กน้อยนี่เหมือนกัน เพราะสิ่งที่โค่วเหวินหลานอยากได้ก็คือการสนับสนุนจากตระกูล ถ้าตระกูลให้ความสำคัญกับเขา ของที่จะได้รับมีมากกว่าของเล็กน้อยเพียงเท่านี้เป็นไหนๆ สิ่งที่ควรจะมีต่อไปก็จะได้มี
ทั้งสามยิ่งเข้าใจชัดเจนดี อาศัยวรยุทธ์ของพวกเขาสามคนถือว่าไม่ได้เข้าตาตำหนักสวรรค์เลย สำหรับตำหนักสวรรค์แล้ว ต่อให้อยากจะใช้งานเจ้า แต่ก็ส่งไปใช้ประโยชน์อะไรได้ไม่มาก ที่ตบรางวัลหนักแบบนี้ก็เพื่อจะซื้อใจคน ตบรางวัลเพื่อให้เหล่าผู้บัญชาการจำนวนนับไม่ถ้วนในใต้หล้าได้เห็น ว่าตำหนักสวรรค์ชอบคนที่มีภูมิหลังแข็งแรงและมีความสามารถในการทำงานเหมือนกับโค่วเหวินหลาน
ทั้งสามเพิ่งจะเก็บของไว้ จุยหย่วนก็เหมือนจะจงใจ หลังจากรอให้คนอื่นได้อิจฉาทั้งสามจนเต็มที่แล้ว ถึงได้กล่าวว่า “อันดับสอง โฉวตั้งไห่ ต่งเฟิง สื่อเทียนเจวี๋ย หนานอี้เปียว เหยียนเฟิ่งจวิน ก้าวขึ้นมารับรางวัล!”
ทั้งห้าคนก้าวขึ้นมาทันที สายตาของฝูงชนไปตกอยู่ที่ตัวพวกเขาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้ของรางวัลอะไร
หลังจากทั้งห้ามาถึงตีนบันไดและทำความเคารพแล้ว จุยหย่วนก็บอกว่า “ด้วยมหากรุณาธิคุณจากราชันสวรรค์! โฉวตั้งไห่ ต่งเฟิง สื่อเทียนเจวี๋ย หนานอี้เปียว เหยียนเฟิ่งจวิน มิอาจละเลยผลงาน เลื่อนขั้นหนึ่งขั้น ได้รับยศทหารเลวเกราะทองหกแถบ มอบยาเม็ดม่วงทองคนละหนึ่งแสนเม็ด จบ!”
รางวัลนี้โดนหั่นออกไปเยอะมากจริงๆ นอกจากเจอนักพรตที่ระดับต่ำกว่าพลังอิทธิฤทธิ์อนันตภาพแล้วไม่ต้องคำนับ พวกเขาก็ไม่ได้ก้าวข้ามไปอยู่ในระดับแม่ทัพด้วย โอกาสดีๆ ในครั้งนี้แต่ไม่สามารถข้ามไม่ได้ ต่อไปก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไรแล้ว
“ขอบพระคุณราชันสวรรค์!” ทั้งห้ารับรางวัลแล้วกล่าวขอบคุณ ตอนที่หันตัวก็มองไปทางเหมียวอี้อีก ในใจของพวกโฉวตั้งไห่เหมือนมีเลือดไหล อันดับสองเชียวนะ! อันดับสอง! ห่างอีกก้าวเดียวก็ได้อันดับหนึ่งแล้ว! แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นก้าวเดียวที่ห่างไกลขนาดนี้!
ฝานอวี้เฟยที่ได้อันดับสามก็ยิ่งมองเหมียวอี้อย่างเคียดแค้น นางได้เลื่อนตำยศแค่ขั้นเดียว นั่นก็คือทหารเลวเกราะทองหกแถบ ยาเม็ดม่วงทองก็ได้คนละห้าหมื่นเม็ด
ส่วนคนที่อยู่หลังจากอันดับสามก็ไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการอีกแล้ว เรียกชื่อให้ก้าวขึ้นมารับรางวัลแล้วกล่าวขอบคุณก็พอ ไม่ได้มีการเลื่อนขั้น แค่ตบรางวัลเป็นยาเม็ดม่วงทองจำนวนหนึ่ง ขอเพียงจับตัวนักโทษหลบหนีได้ ต่อให้จับได้คนเดียวก็มีรางวัล แค่ดูว่าจะตบรางวัลเป็นยาเม็ดม่วงทองมากน้อยเท่าไรก็เท่านั้นเอง แล้วก็ถือเป็นเกียรติยศพิเศษเพราะได้รางวัลที่มาจากราชันสวรรค์โดยตรง แต่ใครจะไปรู้ว่าราชันสวรรค์หน้าตาเป็นอย่างไร
ตบรางวัลตามผลงาน ที่ควรจะมอบรางวัลก็มอบให้หมดแล้ว หลังจากจุยหย่วนกล่าวปลอบขวัญขุนนางที่รบตาย สีหน้าก็เคร่งขรึมทันที น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นทุ้มต่ำ “ในเมื่อเป็นการทดสอบ ก็ย่อมมีทั้งการตบรางวัลและการทำโทษ คนที่ทำดีควรตบรางวัล ส่วนพวกที่ยามปกตินั่งตำแหน่งและรับค่าตอบแทนจากตำหนักสวรรค์ เสพสุขเกียรติยศความร่ำรวยแต่กลับไม่ทำงาน ให้ลงโทษอย่างร้ายแรง! ราชันสวรรค์มีคำสั่ง พวกที่นั่งครองตำแหน่งเป็นหมาหวงก้างแต่ไม่ยอมทำงาน ให้ขับไล่ออกจาตำแหน่งปัจจุบัน ลดขั้นเป็นทหารสวรรค์เกราะเงินสามแถบ ไปเป็นผีหลักเมือง เทพแห่งผืนดินเพื่อดูพฤติกรรมในภายหลัง ภายในสามพันปีนี้ ถ้าไม่มีคำสั่งพิเศษก็ห้ามเลื่อนขั้น!”
ภายใต้ความตกตะลึงงุนงของทุกคน ทหารสวรรค์ที่ล้อมอยู่รอบๆ พุ่งเข้ามาทันที เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาแล้ว มุ่งเข้าหาเหล่าผู้บัญชาการที่กลับมามือเปล่า เหล่าผู้บัญชาการใหญ่ที่ลูกน้องกลับมามือเปล่าก็รวมอยู่ในนั้นด้วย เหมือนจะถูกจัดเป็นพวกนั่งครองตำแหน่งเป็นหมาหวงก้างแต่ไม่ยอมทำงานเช่นกัน
“พวกเจ้าจะทำอะไร?” อิ๋งเหย้าอุทานถามอย่างตกใจ
พอถามมาแบบนี้ ก็มอาวุธมากมายจ่อมาที่คอของเขาทันที ทหารสวรรค์คนหนึ่งกล่าวเสียงต่ำ “ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงทหารสวรรค์เกราะเงินสามแถบ ส่งมอบของวิเศษและคำสั่งแต่งตั้งของผู้บัญชาการใหญ่ออกมา!”
พอมองอาวุธที่จ่ออยู่บนร่างกายตัวเองแวบหนึ่ง ด้วยฐานะอย่างอิ๋งเหย้า เคยรับความอัปยศขนาดนี้เสียที่ไหนกัน จึงถามอย่างเดือดดาลทันทีว่า “เจ้ากล้าขู่ข้าเหรอ? เบื้องล่างเสียผลประโยชน์ ต่อให้อยากจะโยงมาถึงข้า แต่ก็ต้องสืบสวนให้ชัดเจนก่อนสิ ทำไมลงโทษก่อนจะสืบสวน?”
“ลูกน้องมีแต่พวกไร้ประโยชน์ ถ้าเจ้าไม่ใช่หมาหวงก้างที่นั่งครองตำแหน่งแต่ไม่ยอมทำงาน แล้วจะเป็นใครไปได้? ราชันสวรรค์มีคำสั่ง หรือว่าเจ้าจะแก้ตัว เจ้ากล้าขัดคำสั่งต่อหน้าฝูงชนงั้นเหรอ? ช่างบังอาจนัก!” จู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนเย็นเยียบสั่นสะท้านวิญญาณดังมาจากบนบันไดหน้าตำหนัก เห็นเพียงเกาก้วนกวาดสายตาเย็นเยียบ แล้วกล่าวสรุปคำที่ทำให้คนขวัญกระเจิงว่า “ประหาร!”
“เจ้า…” อิ๋งเหย้าเพิ่งจะส่งเสียงตื่นกลัว ทหารสวรรค์ที่อยู่ข้างๆ ก็ยกดาบขึ้นแล้ว ทำให้ศีรษะใบหนึ่งกระเด็นขึ้นมา
…………………………