มาเพื่อผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ ด้วย นี่เป็นเนื้อที่มาถึงปากแล้วแท้ๆ!
เขาชำเลืองมองใบหน้างามล่มเมืองที่กำลังกัดริมฝีปากและร้องไห้จนเหมือนดอกสาลี่เปียกฝน ทั้งยังมีเรือนร่างบางที่มีส่วนเว้าส่วนโค้งนั่นอีก ชั่วพริบตาเดียวก็นึกเชื่อมโยงถึงเสน่ห์อันอ่อนช้อยงดงามยามนางขยับแขนขาและเรือนกายอย่างนุ่มนวลอยู่บนเวที กำลังจะปล่อยให้ตนครอบครองได้ตามใจชอบแล้วแท้ๆ ล้มเลิกแบบนี้น่าเสียดายเกินไปแล้ว
สวีถังหรานรู้สึกไม่ยอมเป็นอย่างมาก ยังอยากจะพยายามอีกสักหน่อย : น้องหนิว ไม่ง่ายเลยกว่าข้าจะเก็บชีวิตกลับมาได้ ข้าอยากจะหาผู้หญิงสักคนเพื่อมีทายาทไว้สืบสกุล เผื่อวันไหนตายขึ้นมาจะได้ป้องกันไม่ให้ไม่มีทายาททิ้งไว้สักคน เจ้าคงไม่มาก้าวก่ายแม้แต่เรื่องแบบนี้หรอกใช่มั้ย? แล้วอีกอย่าง ผู้หญิงเต้นกินรำกินคนเดียวจะสร้างความยุ่งยากอะไรให้เจ้าได้? ปกติก็ไม่ได้ยินว่าเจ้ากับผู้หญิงคนนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกันนี่นา!
เหมียวอี้ : เจ้าว่าปัญหายุ่งยากอะไรล่ะ? เจ้าไม่รู้เหรอผู้หญิงคนนี้มีหวงฝู่จวินโหรวคุ้มครองอยู่?
สวีถังหราน : ข้าก็ต้องรู้อยู่แล้ว! น้องหนิว หวงฝู่ผู้หญิงคนนั้นน่ะ อย่าไปสนใจนาง ถ้ากลัวนางวันนี้ก็ไม่ต้องเล่นแล้ว เจ้าแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องนี้ก็พอแล้ว ข้าไม่สร้างความยุ่งยากให้เจ้าแน่นอน
เหมียวอี้ : เหลวไหล! เจ้าก็ต้องไม่มียุ่งยากอยู่แล้วล่ะ เจ้าตัวมาหาข้าถึงที่แล้ว! เจ้าทำเรื่องน่าไม่อายอยู่ที่นั่น แต่กำลังเช็ดก้นให้เจ้าอยู่ที่นี่ แบบนี้นี้มันใช่เรื่องเหรอ? ถ้าเจ้าอยากจะทำก็ทำเรื่องนี้ให้มันสะอาดเรียบร้อยหน่อย อย่าให้คนรู้ว่าเจ้าทำ ชิงตัวอย่างโจ่งแจ้งท่ามกลางสายตาประชาชี เจ้าบ้าไปแล้วรึไง? เคยเห็นคนน่าไม่อายมาก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครน่าไม่อายเท่าเจ้าเลย ผู้บัญชาการอย่างพวกเราเสียหน้าเพราะเจ้าหมดแล้ว เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเซี่ยโห้วหลงเฉิงรึไง?
สวีถังหราน : น้องหนิว อย่าเป็นแบบนี้เลย เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าจัดการผู้หญิงคนนั้นที่ร้านโฉมเมฆา เรื่องเสวี่ยหลิงหลงเจ้าอย่าเข้ามายุ่งเลย!
เหมียวอี้ : ไสหัวไป! ร้านโฉมเมฆาข้าจัดการเองได้ ไม่ต้องยุ่ง ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องแม้แต่ปลายนิ้วข้าก็จะหั่นนิ้วเจ้า! ข้าขอเตือนเจ้าไว้เลยนะ ปล่อยเสวี่ยหลิงหลงออกมาเดี๋ยวนี้ ถ้าวันนี้เจ้ากล้าแตะต้องนาง กลับไปอย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่ไมตรีเก่า ในใต้หล้ามีผู้หญิงตั้งมากมาย ต่อไปนี้อย่าแตะต้องนาง อย่าสร้างความยุ่งยากให้ข้าเยอะนัก!
พอพูดจบก็หยุดการติดต่อ ไม่ว่าสวีถังหรานจะตอบสนองอย่างไรก็ไม่สนใจ
พอเก็บระฆังดาราแล้ว ก็มองคนสวยเลิศล้ำที่อยู่ตรงหน้า สวีถังหรานกัดฟันอยู่พักหนึ่ง เป็นการตัดใจแยกจากที่ยากลำบากจริงๆ แต่กลับต้องข่มความเจ็บปวดพร้อมตะโกนเสียงดังว่า “ทหาร!”
หลี่ฉางถลันตัวเข้ามาอีกครั้ง แล้วมองดูเสวี่ยหลิงหลง ครั้งนี้ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นอีก เพิ่งจะกุมหมัดคารวะเสร็จ ยังไม่ทันพูดอะไรออกมา สวีถังหรานก็หันตัวมาโบกมือแล้ว “ส่งตัวกลัวไป!”
เขาไม่ได้ให้เหตุผลอะไรทั้งนั้น เพียงเดินกระฟัดกระเฟียดเข้าห้องไป
หลี่ฉางกำลังงุนงง แล้วก็ทำท่าครุ่นคิดทันที คาดว่าคงมีคนยื่นมือมาช่วยผู้หญิงคนนี้ไว้แล้ว คนที่แม้แต่กับนายท่านผู้บัญชาการก็กล้ามีเรื่องด้วย เขาย่อมไม่กล้าล่วงเกินอีกฝ่ายอีก จึงยื่นมือเชิญทันที “แม่นางเสวี่ย เชิญกลับเถอะ!”
ในตึกของร้านค้าสมาคมวีรชน เหมียวอี้ที่เก็บระฆังดาราแล้วบอกหวงฝู่จวินโหรวว่า “เจ้ารีบไปรับคนเถอะ!”
“สวีถังหรานตอบตกลงจะปล่อยคนแล้วเหรอ?” หวงฝู่จวินโหรวที่หมอบอยู่บนบ่าเขาเอ่ยถาม
“ไม่ได้ตอบตกลง!” เหมียวอี้ตอบแบบส่งๆ
หวงฝู่จวินโหรวกัดฟันถาม “ไม่ตอบตกลงแล้วเจ้าจะให้ข้าไปรับคนได้ยังไง?”
ไม่ได้กลับมาหนึ่งร้อยปี พอกลับมาแล้วก็ไม่ไปหาเมียตัวเอง วิ่งมาลักลอบอยู่กับหญิงชู้มันใช่เรื่องเสียที่ไหนกัน เหมียวอี้ใจร้อนอยากปลีกตัวออกจากนาง ขยับตัวดิ้นรนออกจากอ้อมกอดของนางพร้อมบอกว่า “ให้เจ้าไปรับคน เจ้าก็แค่ไปรับคนก็พอ ถ้าไปรับคนกลับมาไม่ได้ ก็อย่ามาถามหาความรับผิดชอบจากข้านะ”
เขาเดาว่าสวีถังหรานคงไม่กล้าไม่ปล่อยคน ด้วยนิสัยอย่างเจ้านั่น เขาเข้าใจชัดเจนเกินไปแล้ว
“เจ้าจะไปไหน?” หวงฝู่จวินโหรวดึงแขนเขาเอาไว้ ดึงกลับมาบนเตียงโดยตรง “สามารถปล่อยคนได้ก็พอแล้ว ไม่ต้องให้ข้าไปรับหรอก ให้ท่านแม่สวีไปรับเองก็พอ” นางหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อท่านแม่สวีทันที
หลังจากติดต่อแล้ว เรือนร่างที่ทำให้คนเห็นเลือดลมสูบฉีดก็คนท่านขุนนางเหมียวให้พลิกตัวลงอย่างดุดันราวกับเสือ
เหมียวอี้ผลักแขนสองข้างของนาง สบสายตากับนาง พร้อมกล่าวเสียงต่ำว่า “เจ้ารับปากแล้วว่าต่อไปจะไม่พัวพันอยู่กับข้าอีก! ถ้าเจ้ากลืนคำพูดตัวเอง เชื่อมั้ยว่าสวีถังหรานก็จะกลับคำพูดเหมือนกัน?”
“ครั้งสุดท้าย! หวงฝู่จวินโหรวกล่าวด้วยความรักใคร่
ปกติคำพูดนี้มาจากปากเหมียวอี้ แต่ครั้งนี้เปลี่ยนคนพูดแล้ว ทำเอาท่านขุนนางเหมียวพูดไม่ออก…
นอกจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกมีคนสัญจรไปมา ที่จริงท่านแม่สวีกำลังรออยู่ข้างนอกอย่างกระวนกระวาย พอได้ยินว่าหวงฝู่จวินโหรวสั่งให้นางมารับคน ในที่สุดนางก็โล่งใจแล้ว คาดว่าใช้เวลาเพียงเล็กน้อยเท่านี้ เสวี่ยหลิงหลงคงไม่ถึงขั้นถูกสวีถังหรานทำลายความบริสุทธิ์
ผ่านไปครู่เดียว รถม้าที่ถูกควบคุมให้วิ่งมาก่อนหน้านี้ก็ออกมาแล้ว ท่านแม่สวีรีบเปิดท่านเข้าไปในดูในรถม้า เห็นร่องรอยที่เสวี่ยหลิงหลงเพิ่งร้องไห้มาอย่างชัดเจน จึงรีบจับมือนางมาถามทันที “หลิงหลง เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?”
เสวี่ยหลิงหลงส่ายหน้า แต่ชั่วพริบตาเดียวก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา โผเข้าอ้อมกอดนาง “ท่านแม่ ข้าไม่อยากทำอาชีพนี้แล้ว!”
ครั้งนี้เจอกับคนที่ไม่ไว้หน้าหวงฝู่จวินโหรว ทำให้นางตกใจแล้วจริงๆ
“เฮ้อ!” ท่านแม่สวีโอบนางพลางถอนหายใจ “ถ้าไม่ทำอาชีพนี้ เจ้านึกว่าทำอาชีพอื่นแล้วจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเหรอ? เจ้าทำงานอยู่ในอาชีพนี้ มีคนตั้งมากมายเท่าไรที่อิจฉาเจ้า แล้วก็มีนักพรตมากมายที่ดูภายนอกแล้วมีหน้ามีตา แต่ลับหลังแล้วใช้ชีวิตแสนสาหัสยิ่งกว่าเจ้าเสียอีก เรื่องที่มู่หรงซิงหัวผู้บัญชาการเขตเมืองเหนือเป็นเมียน้อย เจ้าเองก็เคยได้ยินมาแล้ว หวงฝู่นางเด็กนั่นดูมีหน้ามีตาใช่มั้ยล่ะ แต่ข้ามีพื้นเพมาจากหอโคมเขียว มองปราดเดียวก็รู้ว่านางก็เสียตัวแล้วเหมือนกัน ตอนอยู่ต่อหน้าข้าปิดบังไม่ได้หรอก ไม่เห็นนางจะกล้าพูดสักคำว่าใครทำ คนเราน่ะ เกิดมาก็ไม่มีใครได้ทำตามใจตัวเองสักคนหรอก คนฐานะต่ำต้อยก็มีความทุกข์ใจของคนฐานะต่ำต้อย คนตำแหน่งสูงก็มีความทุกข์ใจของคนตำแหน่งสูง สวีถังหรานเองก็อาจจะไม่ได้มีชีวิตราบรื่นก็ได้ การมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น รอให้เจ้าพบที่พึ่งพิงที่ดีจริงๆ ท่านแจะไม่ขัดขวางเจ้า…”
เช้าตรู่วันต่อมา เหมียวอี้ทำตัวลับๆ ล่อๆ แอบออกมาจากร้านค้าสมาคมวีรชน
เมื่อกลับมาถึงจวนขุนนาง ก็พักผ่อนฟื้นฟูร่างกายทันที จากนั้นก็ได้รับข้อความจากอวิ๋นจือชิว ถามว่าเมื่อไรเขาจะไปหา เขาอ้างว่ามีธุระ ภายในสามวันนี้ยังไปหาไม่ได้
เป็นเพราะเมื่อคืนถูกหวงฝู่บีบเค้นอย่างรุนแรงจริงๆ ถ้ากลับไปเจออวิ๋นจือชิวอาจจะไม่มีอารมณ์ก็ได้ ถ้าปรนนิบัติไม่ได้ก็อาจจะเกิดปัญหา เขายังจำเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะไปเข้าร่วมการทดสอบได้ ตอนนั้นอวิ๋นจือชิวสังเกตเห็นความผิดปกติจึงเตะเขาเก้าอี้ล้มและซ้อมอย่างบ้าคลั่งยกหนึ่ง
ในขระที่กินปูนร้อนท้อง เขารู้สึกว่าหลบหลีกสักหน่อยจะดีกว่า
แต่พอผ่านไปครึ่งเช้า ก็มีแขกมาหาอีกแล้ว ท่านแม่สวีนำเสวี่ยหลิงหลงมาแล้ว มาเพื่อแสดงความขอบคุณ ทั้งสองได้ฟังเรื่องราวจากหวงฝู่จวินโหรว เมื่อคืนถ้าไม่ใช่เพราะเหมียวอี้ยื่นมือเข้ามา หวงฝู่จวินโหรวก็อาจจะปกป้องเสวี่ยหลิงหลงไว้ไม่ได้
เหมียวอี้รับน้ำใจไว้แล้ว จะต้องการคำขอบคุณนี้ไปทำไม อยู่ดีๆ ก็ไปทำลายเรื่องราวดีๆ ของสวีถังหราน ดีไม่ดีในใจเจ้าบ้านั่นจะแอบเคียดแค้นตนแล้ว
หลังจากส่งท่านแม่สวีกับเสวี่ยหลิงหลงกลับไป เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็ติดต่อกับมู่หรงซิงหัวดีกว่า ไปหาสวีถังหรานที่จวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตกด้วยกัน
ลานบ้านไกลและลึก ภูเขาจำลองจัดวางรวมกันดูน่าสนใจ เมื่อเจอหน้ากัน มู่หรงซิงหัวก็พบว่าสีหน้าของว่าสวีถังหรานค่อนข้างแปลกไป จึงถามอย่างสงสัยว่า “น้องสวี สีหน้าเจ้าดูไม่ค่อยดี คงไม่ได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่มั้ย?”
เหมียวอี้พูดหยอกล้ออยู่ข้างๆ “ข้าไปทำลายเรื่องดีๆ ของเขา! หลังจากจบงานเลี้ยงที่ตำหนักคุ้มเมืองเมื่อคืนนี้ เจ้าบ้านี่ดันชิงตัวเสวี่ยหลิงหลงของหอกลิ่นสวรรค์ต่อหน้าฝูงชนกลางถนน เตรียมจะบังคับขืนใจนาง หวงฝู่จวินโหรวจึงมาหาข้า กดดันจนข้าไม่มีทางเลือก ข้าจึงทำได้เพียงเข้าไปก้าวก่าย เจ้าบ้านี่คงแค้นข้าแล้ว ข้าไปทำลายเรื่องดีๆ ของเขา!”
มู่หรงซิงหัวขมวดคิ้วทันที ในฐานะที่เป็นผู้หญิง นางย่อมรู้สึกไม่พอใจกับพฤติกรรมของสวีถังหรานอยู่แล้ว เพียงแต่นางเองก็ไม่ได้ขาวสะอาด จึงไม่มีสิทธิ์ไปตำหนิอะไร บอกเพียงว่า “สวีถังหราน ถ้าเจ้าชอบนาง ก็ไปสู่ขอที่บ้านตรงๆ เลยสิ แต่งงานเป็นอนุภรรยาก่อนแล้วค่อยรับเข้าห้องนอนก็สิ้นเรื่องแล้ว ถ้าไม่สำเร็จทุกคนค่อยมาคิดหาวิธีด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ทำลายชื่อเสียงตัวเองแบบนี้ จะทำให้ชื่อเสียงป่นปี้เหมือนข้าถึงจะพอใจเหรอ?”
สวีถังหรานรู้สึกอับอาย เพราะเขาติดหนี้น้ำใจมู่หรงซิงหัว โดนนางว่าแต่โวยวายอะไรไม่ได้ เขาย่อมเข้าใจว่าผู้หญิงรู้สึกไม่พอใจกับสิ่งนี้
ส่วนเหมียวอี้ก็ก้าวขึ้นมาตบบ่าเขาพร้อมบอกว่า “พี่สวีเอ๊ย! อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าเลยนะ ข้าเหมือนได้ช่วยชีวิตเจ้าไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นตอนหลังเจ้าเกิดปัญหาใหญ่แน่”
“หมายความว่ายังไง?” ดวงตาสวีถังหรานฉายแววสงสัย
เหมียวอี้ถอนหายใจ “เจ้าไม่ลองคิดดูบ้างล่ะ ถ้าเจ้าเป็นหวงฝู่จวินโหรว เจ้าจะผิดใจกับขุนนางชั้นสูงคนอื่นๆ เพื่อผู้หญิงเต้นกินรำกินครั้งแล้วครั้งเล่าทำไม จะห้ามคนอื่นมาแตะต้องเสวี่ยหลิงหลงทำไม? ทำไมขุนนางที่ยศสูงกว่าเจ้าถึงไม่กล้าแตะต้องเสวี่ยหลิงหลง? เจ้าต้องคิดดูให้ดีถึงเรื่องราวที่อยู่ภายใน เมื่อคืนโชคดีนะที่ข้าไปห้ามไว้ทัน หึหึ! ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นกับเสวี่ยหลิงหลงจริงๆ เจ้าได้เจอดีแน่”
ที่จริงเขากำลังพุ่งเป้าไปที่นิสัยของสวีถังหราน แอบเปลี่ยนวิธีการคิดให้โดยเอาใจเขามาใส่ใจเรา
แต่สวีถังหรานก็ยังตกหลุมพรางนี้แล้วจริงๆ ถ้าเปลี่ยนตัวเองเป็นหวงฝู่จวินโหรว เขาก็จะคิดแบบนี้เหมือนกัน เขาไม่มีทางไปผิดใจกับขุนนางชั้นสูงมากมายขนาดนั้นเพื่อผู้หญิงเต้นกินรำกินเพียงคนเดียวหรอก ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดระแวงกลัว
แต่เขาก็ไม่ลองคิดดูบ้าง ว่าสวีถังหรานก็คือสวีถังหราน เป็นคนที่รักตัวกลัวตาย ถึงได้ไปร้องห่มร้องไห้กอดขาคนอื่นได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นหวงฝู่จวินโหรว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำแบบเดียวกับเขา ลองคิดในทางตรงกันข้าม นี่ก็เป็นหลักการเดียวกัน คนที่ภูมิหลังต่างกันและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ต่างกันก็ย่อมไม่เหมือนกันอยู่แล้ว เงื่อนไขที่ใช้ในการตบตาคนของเหมียวอี้ เดิมทีก็มีปัญหาอยู่แล้ว
สวีถังหรานกลับกลับแววตาวูบไหว ดึงแขนเหมียวอี้เอาไว้ พลางถามอย่างหวาดระแวงกลัวว่า “น้องหนิวหมายความว่า เสวี่ยหลิงหลงคนนี้อาจจะมีประวัติความเป็นมาอย่างอื่นเหรอ?”
“กับคนบางคนข้าก็ไปมีเรื่องด้วยไม่ไหว ดังนั้นข้าจึงไม่สะดวกจะพูด เจ้าคิดเอาเองแล้วกัน! ข้าไม่ได้กินอาหารฝีมือเจ้ามานานแล้ว ถ้าอยากจะขอบคุณข้าจริงๆ เจ้าก็ไปลงมือทำอาหารมาสักโต๊ะ” เหมียวอี้ตบบ่าเขา
สวีถังหรานทำท่าครุ่นคิด เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างแล้ว จึงประสานมือคารวะเหมียวอี้ โค้งกายค้างไว้ยาวๆ เพื่อแสดงคำขอบคุณ แสดงทุกอย่างออกมาโดยไม่พูดอะไร จากนั้นก็บอกว่า “ทั้งสองนั่งรอสักครู่ ข้าจะลงครัวด้วยตัวเอง!” พูดจบก็รีบเดินออกไป
มู่หรงซิงหัวที่ยื่นมือไปเด็ดใบไม้ใบหนึ่งกลับโค้งมุมปากยิ้มหยอกล้อ นางเหล่ตาจ้องเหมียวอี้ เหมียวอี้หันมาโดยบังเอิญ เมื่อทั้งสองสอบตากัน จู่ๆ ก็หัวเราะออกมาโดยไม่พูดอะไร ทุกคนรู้อยู่แก่ใจกพอแล้ว
ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน มู่หรงซิงหัวก็คงจะเชื่อเหมียวอี้ไปแล้ว แต่หลังจากเปลี่ยนสภาพจิตใจเป็นต้นมา วิธีการมองปัญหาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สังเกตเห็นได้ว่าเหมียวอี้กำลังหลอกตบตาสวีถังหราน
แต่ในใจกลับแอบนับถือเหมียวอี้ ทำลายเรื่องดีๆ ของอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ยังทำให้อีกฝ่ายประสานมือขอบคุณได้อีก เหมือนเป็นการนำอีกฝ่ายไปขายแล้วยังให้อีกฝ่ายช่วยนับเงินให้อีก แบบนี้มีเหตุผลเสียที่ไหนกัน
วางเรืองพวกนี้ไว้ก่อน บางทีมู่หรงซิงหัวเองก็อาจจะไม่รู้ตัว ว่าตอนนี้นางมองเหมียวอี้ด้วยแววตาที่สื่ออารมณ์หลากหลาย บางครั้งนางก็จะแอบพูดในใจ เงยหน้ามองดาวเงียบๆ เพียงลำพัง แต่กลับเข้าใจดี ว่าเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ สุดท้ายก็ยังเป็นไปไม่ได้…
หลังจากนั้นสามวัน เหมียวอี้ที่ร่างกายและจิตใจฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติถึงได้ไปหาอวิ๋นจือชิวผ่านทางใต้ดิน
พอลงมาในทางใต้ดิน เหมียวอี้ก็พบความผิดปกติในทางใต้ดินอย่างรวดเร็ว มีเส้นทางที่เมื่อก่อนไม่เคยมีเพิ่มขึ้น จึงไปหาผีจวินจื่อที่กำลังฝึกตนอยู่ในทางใต้ดินทันที ถามว่า “ทางใต้ดินที่ขุดออกมาอีกทางนั่นผ่านไปทางไหน? ขุดมั่วไปทั่วไม่กลัวคนอื่นจะจับได้เหรอ?”
ผีจวินจื่อหัวเราะแห้งๆ แล้วตอบว่า “เถ้าแก่เนี้ยสั่งไว้ ถ้าเจ้ากลับมาจากการทดสอบไม่ได้ พวกเราก็จะออกจากเขตเมืองตะวันออกโดยเปลี่ยนเส้นทางใต้ดิน หนีออกไปผ่านประตูเมืองอีกแห่ง ส่วนเหตุผลเพราะอะไรข้าก็ไม่รู้ชัด ถึงอย่างไรเถ้าแก่เนี้ยก็สั่งให้ขุด ข้าก็เลยขุดไปแล้ว”
“ออกจากเขตเมืองตะวันออกผ่านทางใต้ดิน? เขตเมืองตะวันออกเป็นอาณาเขตของข้า…” เหมียวอี้พลันหยุดตั้งคำถาม ยืนขมวดคิ้วอยู่อย่างนั้นครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างอับจนปัญญา แล้วหันตัวเดินจากไปเงียบๆ
เมื่อเจออวิ๋นจือชิวกับอนุภรรยาของตัวเองอีกสองคน ท่านขุนนางเหมียวอี้ก็เรียกได้ว่ารู้สึกเหมือนเป็นคู่แต่งงานใหม่ ความสุขสันต์หรรษาที่อยู่ในนั้นย่อมไม่ต้องบอกให้คนภายนอกรับรู้เลย…
หลังจากผ่านไปช่วงหนึ่ง จู่ๆ ที่ตลาดสวรรค์ก็มีข่าวลือ เหมียวอี้ที่ได้ยินข่าวลือยืนเงียบอยู่ในจวนขุนนางเพียงลำพัง
บังเอิญว่าสวีถังหรานก็มาหาเขาเพื่อบอกข่าวพอดี เชิญเขาไปดื่มสุราด้วยกัน
เหมียวอี้ยังคงพูดคำเดิม : เจ้าลงครัวด้วยตัวเองหรือเปล่า? กินฝีมือเจ้าจนชินแล้ว พอไปกินที่คนอื่นทำรู้สึกไม่คุ้น
เจ้าหมอนี่กำลังฝึกเลี้ยงให้สวีถังหรานเป็นพ่อครัวของเขาโดยเฉพาะเลย ตัดสินใจแล้วว่าจะฝึกให้สวีถังหรานเกิดความเคยชิน ที่จริงเขาชอบอาหารที่อวิ๋นจือชิวทำเองมากกว่า อวิ๋นจือชิวรู้จักรสนิยมของเขาดีที่สุด
สวีถังหรานก็เหมือนจะเคยชินแล้วจริงๆ : ได้! ข้าขอเตรียมตัวก่อน อีกหนึ่งชั่วยามเจ้ามาหาข้าได้
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม เหมียวอี้ก็มาถึงตามที่นัดไว้ นั่งดื่มสุราตรงข้ามสวีถังหรานอยู๋ในลานบ้านของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก
หลังจากดื่มไปไม่กี่จอก เหมียวอี้ก็ถามว่า “มีเรื่องอะไร? ยังคิดถึงเสวี่ยหลิงหลงอยู่อีกเหรอ?”
“เฮ้อ! เรื่องนี้ผ่านไปแล้วจะพูดถึงทำไมอีก” สวีถังหรานโบกไม้โบกมือ เหลือบมองไปรอบๆ แล้วถามเสียงต่ำอย่างลับๆ ล่อๆ ว่า “ได้ยินข่าวลืออะไรนั่นรึเปล่า?”
เหมียวอี้ยกจอกสุราขึ้นมาตรงปาก แล้วแสร้งถามเหมือนไม่รู้ “ข่าวลืออะไร?”
“เจ้าอย่ามาแกล้งไม่รู้เลย เขาลือกันครึกโครม เจ้ายังไม่เคยได้ยินอีกเหรอ?” สวีถังหรานมองบนใส่เขา ยังคงถามอย่างลับๆ ล่อๆ อีก “ตอนนี้ลือกันไปทั่ว เรื่องของเมียเฉาว่านเสียงกับลูกบุญธรรมหยางไท่โดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเปิดโปง ตามหลักการแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึงว่าอยู่ห่างกันขนาดนี้แล้วข่าวแพร่มาได้ไง อย่างน้อยที่นี่ก็คืออาณาเขตของเฉาว่านเสียง ใครกันที่กล้าแพร่ข่าวลือไปทั่ว เรื่องนี้มีคนสนับสนุนอยู่เบื้องหลังไงล่ะ เจ้าคิดว่าเป็นใคร?”
เหมียวอี้ยังคงแกล้งโง่ “ข้าเองก็ทำนายเหตุการไม่เป็น จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ถึงยังไงก็ไม่ใช่ข้าแล้วกัน”
“คนอื่นไม่รู้ชัด แต่เจ้ากับข้ารู้ดีว่ามู่หรงกำลังวางแผนอะไร?” สวีถังหรานโน้มตัวเล็กน้อย รินสุราให้เขาพร้อมกระซิบเสียงเบา “ใครเป็นคนลงมือเจ้ากับข้ารู้ดีอยู่แก่ใจ! นี่ไม่ใช่การเล่นชู้ธรรมดา นี่เล่นกับลูกชายบุญธรรมตัวเองเชียวนะ นี่มันมั่วกันเองในครอบครัวชัดๆ! ตามจังหวะขั้นตอนแบบนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เฉาว่านเสียงจะไม่ถอดเถาฮวาฮูหยินออก นี่ไม่ใช่แค่การสวมเขาสามีแล้ว จะโดนฆ่าทิ้งรึเปล่าก็ยังไม่รู้เลย! นึกไม่ถึงจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่านางจะลงมือจากที่นี่ การบุกเข้าไปแบบนี้โหดใช้ได้เลย! เรื่องราวแพร่ออกไปแบบนี้แล้ว เถาฮวาฮูหยินเลิกคิดจะกลับตัวไปได้เลย!”
ในเมื่อเปิดโปงออกมาแล้ว เหมียวอี้ก็ไม่ปิดบังอีก ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน “นี่มันปณิธานแน่วแน่ไง! สงสัยอีกไม่นานพวกเราจะได้เรียกนางว่าฮูหยินหัวหน้าภาคแล้ว”
สวีถังหรานกลับแอบขำ “น่าเสียดายที่เจ้ากับข้าต้องติดตามผู้บัญชาการใหญ่ไปแล้ว อาจจะไม่ได้เห็นวันนั้น ไม่อย่างนั้นจะมีแต่ผลดีทั้งกับเจ้าและข้า ทางเฉาว่านเสียงมีคนช่วยคุยให้พวกเราแล้ว นั่นเป็นเรื่องที่ดีขนาดไหน!”
เหมียวอี้หัวเราะเบาๆ “ต่อให้ทำสำเร็จ แต่ข้าว่าการได้กลายเป็นปี้เยว่ฮูหยินคนที่สองจะมีความเป็นไปได้มากกว่า ฮูหยินท่านโหวแล้วยังไงล่ะ ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่อย่างโดดเดี่ยวเดียวดายไม่ใช่เหรอ!”
“เฮ้อ!” สวีถังหรานถอนหายใจ “ไม่ว่าจะยังไง สุดท้ายนางก็ได้สมปรารถนาแล้ว จะได้อยู่โดดเดี่ยวลำพังหรือเปล่า มู่หรงคงไม่สนใจหรอก ที่นางต้องการก็คือฐานะนั้นเฉยๆ! ไม่พูดแล้ว แต่ละคนมีโชคชะตาเป็นของตัวเอง ต่อไปก็ต่างคนต่างรักษาตัวดีๆ แล้วกัน ดื่มสุรา!”
…………………………