ในขณะที่ข่าวลือกำลังว่อนไปทั่วฟ้า ยิ่งพูดถึงก็ยิ่งดุเดือด ปี้เยว่ฮูหยินก็หลับมาที่ดาวเทียนหยวนแล้ว พอกลับมาถึงก็เรียกพบเหมียวอี้ มู่หรงซิงหัวและสวีถังหรานทันที
ประการแรก นางย่มอกล่าวชมเชยและให้รางวัลทั้งสามสำหรับการทดสอบหนึ่งร้อยปี หลังจากให้รางวัลแล้วน้ำเสียงก็พลันเปลี่ยนไป นางกล่าวด้วยสีหน้าเย็นเยียบว่า “ช่วงนี้มีข่าวลือที่ไม่ค่อยดีต่อนายท่านหัวหน้าภาค ลือกันไปทั่วทุกที่ นายท่านหัวหน้าภาคโมโหมาก! ทั้งน่านฟ้าชวดอี่ต่างก็เริ่มเคลื่อนไหวหาตัวคนปล่อยข่าวลือ ทำไมในอาณาเขตของพวกเจ้ากลับไม่มีความเคลื่อนไหว ปล่อยให้มีข่าวลือไปทั่ว?”
เดิมทีนางคิดจะอยู่ที่จวนท่านโหวอีกสักระยะ ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกลับไปใช้ชีวิตสามีภรรยาจะกันสักครั้ง แต่ข่าวลือของทางนี้กลับทำให้นางต้องกลับมาล่วงหน้า
เหมียวอี้กุมหมัดคารวะ “ตอบฮูหยิน ผู้บัญชาการใหญ่ไม่อยู่ ไม่กล้าตัดสินใจเองโดยพลการขอรับ! มิหนำซ้ำเรื่องแบบนี้ก็หยุดยั้งได้แค่ภายนอก ทุกคนแอบเผยแพร่กันอย่างลับๆ จึงไม่มีทางไปห้ามปรามได้ ถ้านายท่านหัวหน้าภาคร่างกายตรงก็ไม่ต้องกลัวว่าเงาจะเอียง จะกลัวข่าวลือเล็กๆ นี่ได้อย่างไร”
สวีถังหรานแอบมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง ชัดเจนว่ากำลังพูดอ้างอย่างขอไปที เขาไม่กล้าพูดหลอกลวงต่อหน้าปี้เยว่ฮูหยิน มีแค่คนโหดคนนี้เท่านั้นที่กล้าพูดแบบนี้ แต่ในใจก็รู้สึกขำเหมือนกัน ที่จริงก็ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย ทุกคนกำลังจะติดตามโค่วเหวินหลานไปอยู่แล้ว ทางโค่วเหวินหลานส่งข่าวมาแล้วว่ากำลังจะได้เลื่อนขั้น ให้พวกเขาเตรียมส่งต่องานทางนี้ เดี๋ยวจะกลับมาพาทุกคนไปด้วยกัน
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ทั้งสองที่รู้เรื่องอยู่แก่ใจย่อมต้องแอบช่วยมู่หรงซิงหัว แสร้งทำเป็นไม่รู้อะไร ปล่อยให้ข่าวลือแพร่ไปให้เต็มที่ ไม่มีท่าทีว่าจะให้ลูกน้องออกหน้าไปควบคุมเลย
มู่หรงซิงหัวที่ยืนอยู่ข้างๆ เงียบงันและทำสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจก็รู้เช่นกัน ว่าเจ้าสองคนนั้นกำลังแอบให้ความร่วมมือกับตน
ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่ใช่คนโง่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้างามก็เย็นเยียบลงในชั่วพริบตาเดียว จ้องเหมียวอี้ด้วยแววตาที่คมกริบราวกับมีด ในใจทั้งโมโหทั้งอยากขำ
นางนับว่าดูออกแล้ว ว่าเจ้าหมอนี่อาศัยที่ตัวเองกำลังจะจากไปก็เลยไม่เกรงใจอะไร! ดี! พวกเราค่อยๆ ดูไปแล้วกัน ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะหนีไปที่ไหนได้!
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง นางก็ค่อยๆ เก็บสำรวมแววตาที่คมกริบ “ต่อให้หยุดข่าวลือไม่ได้ แต่ภายนอกก็ต้องทำอะไรบ้างสิ? สถานที่ที่ไกลขนาดนั้น คนที่เข้าร่วมการทดสอบในตอนนั้นก็มีแค่พวกเจ้า พวกเจ้ารู้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนั้น ต่อให้ข่าวลือจะแพร่มาถึงที่นี่ได้ แต่เรื่องระดับนี้เหมือนจะไม่มีค่าพอให้ฮือฮาขนาดนี้นะ ทำไมสถานการณ์ถึงคึกโครมขนาดนี้ได้? หรือว่าข่าวลือนี้เกี่ยวข้องกับหนึ่งในพวกเจ้า? มู่หรงซิงหัว เจ้าคิดว่ายังไง?”
มู่หรงซิงหัวกุมหมัดคารวะตอบ “ไม่ใช่ข้าน้อยค่ะ ข้าน้อยก็เป็นผู้เสียหายเหมือนกัน ในข่าวลือก็พูดกันตามอำเภอใจว่าข้าน้อยเป็นหญิงชู้ของนายท่านหัวหน้าภาค ข้าน้อยก็โกรธมากเช่นกัน”
เจ้าจะโกรธอะไร? ที่จริงเจ้าก็เป็นอยู่แล้ว! ปี้เยว่ฮูหยินพูดดูถูกในใจ เดิมทียังสงสัยนางอยู่บ้าง แต่พอได้ฟังคำพูดนี้แล้วคิดตาม นางก็เห็นด้วยเช่นกัน ถ้าเป็นนางจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้ชื่อเสียงตัวเองฉาวโฉ่ ไม่มีผู้หญิงคนไหนรับกับสิ่งนี้ได้
เหมียวอี้ไม่สะทกสะท้าน สวีถังหรานแอบขำในใจ เพราะรู้ว่ามู่หรงซิงหัวไม่แยแสกับชื่อเสียงฉาวโฉ่เรื่องหญิงชู้ตั้งนานแล้ว ไม่ว่าใครก็นึกไม่ถึงว่ามู่หรงซิงหัวจะอยากแทนที่เถาฮวาฮูหยิน นางเปิดเผยคำพูดของเซี่ยโห้วหลงเฉิงออกมาทั้งหมด ทำให้ตัวเองเสื่อมเสียชื่อเสียงไปด้วย เห็นได้ชัดว่าทำไปเพื่อให้ตัวเองไม่ตกเป็นที่ต้องสงสัย วิธีการนี้โหดใช้ได้เลย!
สายตาปี้ของเยว่ฮูหยินไปหยุดที่ตัวเหมียวอี้กับสวีถังหรานอีก ทั้งสองรีบปฏิเสธทันที
“ไม่เกี่ยวกับข้าน้อย!” สวีถังหรานกล่าว
เหมียวอี้แก้ตัวเช่นกันว่า “ถ้าพวกเราสามคนทำแบบนี้ ก็จะมีแต่ผลเสียต่อพวกเรา! ข้าน้อยกำลังคิดว่า นายท่านหัวหน้าภาคอาจจะไปล่วงเกินใครไว้หรือเปล่า?”
ปี้เยว่ฮูหยินขมวดคิ้วครู่หนึ่ง ลองคิดไปคิดมาก็พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ถ้าทั้งสามเผยแพร่ข่าวลือประเภทนี้ ก็ไม่มีผลดีอะไรกับทั้งสามเลย ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องนี้ หลังจากเงียบไปครู่เดียวก็บอกอว่า “ไม่ว่าจะยังไง กลับไปพวกเจ้าต้องให้ลูกน้องเริ่มลงมือทันที อย่างน้อยภายนอกก็ต้องควบคุมการแพร่กระจายที่ตลาดสวรรค์ ถ้าถึงยามจำเป็นก็เชือดไก่ให้ลิงดูได้!”
“รับทราบ!” ทั้งสามเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
พอกลับมาทั้งสามก็ส่งคนไปปฏิบัติตามคำสั่งทันที เพียงแต่การยับยั้งตอนนี้ก็เหมือนจะสายไปหน่อย ที่ตลาดสวรรค์มีกระแสผู้คนไปมาหาสู่มากขนาดนี้ ข่าวแพร่ออกไปตั้งนานแล้ว…
หลังจากนั้นไม่กี่วัน โค่วเหวินหลานก็กลับมาแล้วเช่นกัน พอกลับมาก็ได้ยินข่าวลือทางนี้ทันที เขาก็แค่ยิ้มตอบเท่านั้น ขี้คร้านจะควบคุม ถึงอย่างไรก็เตรียมตัวจะออกไปแล้ว
พวกเหมียวอี้ย่อมถูกโค่วเหวินหลานเรียกพบในทันที เพียงแต่เมื่อมาถึงจวนผู้บัญชาการใหญ่และได้พบกับโค่วเหวินหลาน พวกเขาก็แปลกใจอยู่บ้าง พบว่าข้างกายโค่วเหวินหลานมีสาวน้อยหน้าตางดงามคนหนึ่งเพิ่มมาด้วย ดวงตางกลมโตงดงาม สวมชุดสีม่วงที่ตัดเย็บอย่างประณีต เรือนร่างสะโอดสะอง เผยให้เห็นความรู้สึกสูงส่งโดยธรรมชาติ กำลังใช้สายกวาดมองทั้งสามอย่างไร้ความหวั่นเกรงใดๆ
“คำนับผู้บัญชาการใหญ่!”
ทั้งสามเพิ่งจะทำความเคารพ โค่วเหวินหลานที่กำลังผ่อนคลายสบายใจยังไม่ทันได้พูดอะไร สาวน้อยคนนั้นก็จ้องเหมียวอี้พร้อมถามว่า “เจ้าคือหนิวโหย่วเต๋อเหรอ?”
“เอ่อ…” เหมียวอี้ไม่รู้ว่านางเป็นใคร จึงถามอย่างสงสัยว่า “แม่นางคือ? เหมือนพวกเราจะไม่เคยเจอกันมาก่อน แม่นางรู้จักผู้น้อยได้อย่างไร?”
สาวน้อยชุดม่วงชี้เขา แล้วก็ชี้ไปที่สวีถังหรานอีก นางหัวเราะคิกคักแล้วบอกว่า “คนที่สามารถช่วยให้พี่ชายข้าได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบได้ หน้าตาก็ต้องมีมาดของวีรบุรุษอยู่หลายส่วน ท่านนี้ดูไม่เหมือน ไม่ได้หน้าตาดีเท่าเจ้า ชัดเจนมากแบบนี้ แค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นเจ้า”
เหมียวอี้พูดไม่ออก สวีถังหรานก็ใบหน้าแข็งทื่อและอึ้งมากเช่นกัน พึมพำในใจว่า มารดาเจ้าเถอะ ขอแบบนี้ดูออกผ่านหน้าตาเหรอ? ข้าหน้าตาแย่ขนาดนั้นเลยรึไง?
เขาอยากจะถามมากว่าผู้หญิงที่พูดจาไร้มารยาทคนนี้เป็นใครกันแน่
“เหอะๆ!” โค่วเหวินหลานหัวเราะพลางยืนขึ้น “ไม่แปลกหรอก! นี่คือน้องสาวข้า โค่วเหวินจื่อ ปากไม่มีหูรูดมาตั้งแต่ไหนแต่ไรจนติดเป็นนิสัยแล้ว ทุกคนอย่าถือสาเลย ครั้งนี้นางงอแงจะมาดูหน้ามหาวีรบุรุษที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบให้ได้ นางตอแยจนข้าไม่มีทางเลือก ถึงได้พานางมาด้วย”
ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของเขา! ทั้งสามคำนับตามทันที “คำนับแม่นางโค่ว!”
โค่วเหวินจื่อหัวเราะคิกคักพลางโบกมือ “ไม่ต้องมากพิธี ราชันสวรรค์บอกแล้วว่าพวกเจ้าไม่ต้องทำความเคารพ ข้ารับไม่ไหวหรอก”
“เหวินจื่อ เลิกทำเป็นเล่นได้แล้ว!” โค่วเหวินหลานโบกมือ บอกใบ้ให้นางหลีกไปยืนข้างๆ เขายังมีธุระสำคัญต้องสั่งสามคนนี้
ก็ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แค่จะมาบอกทั้งสามว่าตัวเองกำลังจะออกจากที่นี่ไปรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่อื่น จึงรักษาคำสัญญาที่ให้ไว้กับทั้งสาม หลังจากติดตามเขาไปแล้ว ทุกคนก็จะหนีตำแหน่งผู้บัญชาการใหญ่ไปไม่พ้น ดังนั้นย่อมต้องถามมู่หรงซิงหัว “เรื่องราวก่อนหน้านี้ผ่านไปแล้วก็ช่างเถอะ การทดสอบครั้งนี้นับว่าเจ้ามีผลงาน รู้จักยอมรับผิดแล้วปรับปรุงตัวก็นับว่าดีแล้ว ข้าไม่ถือสา ไม่ทำเรื่องประเภทคิดบัญชีย้อนหลังหรอก เจ้าแน่ใจใช่มั้ยว่าจะติดตามข้าไปจริงๆ?”
มู่หรงซิงหัวเงียบไปครู่เดียว ก่อนจะกุมหมัดคารวะ “ข้าน้อยซาบซึ้งในความหวังดีของผู้บัญชาการใหญ่ ข้าน้อยอยากอยู่ที่นี่มากกว่า”
สวีถังหรานร้อนใจแทนนางนิดหน่อย เตือนว่า “มู่หรง ไตร่ตรองให้ดี! ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ใช่คนกลืนคำพูดตัวเอง ให้สัญญาต่อหน้าทุกคนแบบนี้แล้ว นี่คือโอกาสที่คนอื่นไขว่คว้าไม่ได้นะ!”
เหมียวอี้กลับทำสีหน้าเรียบเฉย รู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้หัวใจของมู่หรงซิงหัวไม่ได้กระโจนเข้ามาการเลื่อนตำแหน่งอีกแล้ว
เป็นอย่างที่คาดไว้ มู่หรงซิงหัวส่ายหน้ายิ้มเรียบๆ “ขอบคุณในความหวังดีของผู้บัญชาการใหญ่กับน้องสวี มู่หรงซิงหัวขออวยพรให้ผู้บัญชาการใหญ่เดินทางราบรื่นล่วงหน้า!”
“เฮ้อ!” โค่วเหวินหลานถอนหายใจเบาๆ มู่หรงซิงหัวสามารถตัดใจทิ้งลาภยศได้ กลับทำให้เขามองนางสูงขึ้นอีกระดับ คนแบบนี้เขากลับยิ่งอยากรับไว้ทำงานด้วย เพียงแต่ว่า…เขาทำได้เพียงกล่าวอย่างเสียดาย “ก็ได้! ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ข้าก็ไม่บังคับ”
จากนั้นก็หันไปมองเหมียวอี้กับสวีถังหราน “ก่อนจะไปข้าจะให้พวกเจ้าเตรียมตัวล่วงหน้า เตรียมตัวว่าจะพาใครไปกับพวกเจ้าด้วย ได้ร่างรายชื่อไว้หรือยัง?”
ทั้งสองนำแผ่นหยกออกมาทันที แล้วใช้สองมือยื่นให้พร้อมกัน
โค่วเหวินหลานรับมาอ่านดูคร่าวๆ แล้วเก็บไว้ “เอาอย่างนี้แล้วกัน พวกเจ้ากลับไปก่อน ข้าจะไปรายงานขออนุมัติจากแม่ทัพภาค!”
ทั้งสามกล่าวอำลา แต่กลับมีคนมาประสมโรงเพิ่มอีกคน โค่วเหวินจื่อต้องการจะตามเหมียวอี้ไปให้ได้ อยากจะเห็นว่าสภาพแวดล้อมแบบไหนที่สร้างวีรบุรุษขึ้นมาได้
เหมียวอี้พูดไม่ออก แต่ก็ไม่มีทางปฏิเสธ ทั้งยังต้องพาคุณหนูท่านนี้ไปเดินดูจนทั่วจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก ขณะเดียวกันก็ต้องรับมือกับคำถามจุกจิกไร้สาระอีกเป็นกอง…
“เจ้ากับข้ากำลังจะได้อยู่ในระดับเดียวกันแล้ว นั่งลงคุยกันเถอะ!”
ในศาลาของสวนดอกไม้ที่ตำหนักหลังของตำหนักคุ้มเมือง ปี้เยว่ฮูหยินหรี่ตายิ้มพลางบอกโค่วเหวินหลานที่ยืนอยู่เบื้องล่าง แขนข้างหนึ่งกำลังโอบอุ้มจิ้งจอก ส่วนมืออีกข้างกำลังถืออ่านแผ่นหยกที่โค่วเหวินหลานนำมารายงาน
โค่วเหวินหลานกล่าวขอบคุณ แต่ก็ยังไม่ได้นั่งลง ยังรักษาธรรมเนียมระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง
ปี้เยว่ฮูหยินเองก็ไม่คิดวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ หลังจากอ่านรายชื่อบนแผ่นหยกแล้ว ก็วางลงบนตะเบาๆ แล้วถอนหายใจ “พาคนไปเยอะขนาดนี้ในรวดเดียวเลยเหรอ! เขตเมืองจะวันตกยังดีหน่อย แต่นักพรตบงกชทองของเขตเมืองตะวันออกเหมือนจะไปกันหมดแล้ว”
ก็ช่วยไม่ได้ เหมียวอี้ต้องพาพวกฝูชิงไปด้วยทั้งหมดอยู่แล้ว
โค่วเหวินหลานยิ้มพร้อมตอบว่า “ทั้งหมดนี้หนิวโหย่วเต๋อเป็นคนรับมาเอง จะพาไปด้วยก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ฮูหยินได้โปรดอย่าถือสา”
“โค่วเหวินหลาน ไม่ใช่ว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้านะ ตำหนักสวรรค์อาจจะขาดแคลนอย่างอื่น แต่ไม่ขาดคนที่อยากจะเป็นขุนนางหรอก ในเมื่อเจ้าเอ่ยปากแล้ว ที่จริงข้าก็ไม่ควรจะพูดอะไร เพียงแต่ว่า…” ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้าถอนหายใจ แล้วนำแผ่นหยกออกมาอีกแผ่น แล้วดันไปตรงหน้าเขา “ยากจะฝ่าฝืนคำสั่งเบื้องบน! เจ้าอ่านเอาเองแล้วกัน”
ยากจะฝ่าฝืนคำสั่งเบื้องบน มันเรื่องอะไรกัน? โค่วเหวินหลานขมวดคิ้ว ก้าวขึ้นมารับแผ่นหยกมาอ่าน ตอนยังไม่อ่านก็ไม่เป็นไร แต่พออ่านแล้วสีหน้าเปลี่ยนทันที
ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคำสั่งที่เฉาว่านเสียงถ่ายทอดให้ปี้เยว่ฮูหยิน ในความสำคัญในนั้นก็คือ ถ้าโค่วเหวินหลานต้องการจะไป ก็ให้ไปได้ แต่ไม่ให้อนุญาตให้ลูกน้องของโค่วเหวินหลานตามไปด้วย
ไม่ใช่ปัญหาเรื่องพาคนไปจำนวนเท่าไร แต่ไม่ให้พาไปเลยสักคน!
โค่วเหวินหลานเองก็ไม่ได้โง่ ถึงแม้เฉาว่านเสียงจะเป็นผู้บังคับบัญชาของปี้เยว่ฮูหยิน แต่กล้าควบคุมปี้เยว่ฮูหยินเสียที่ไหนกัน แบบนั้นแปลว่าไม่อยากทำงานอยู่ใต้สังกัดท่านโหวเทียนหยวน下แล้ว เขาฝืนยิ้มพร้อมบอกว่า “ฮูหยินได้โปรดช่วยคุยกับท่านโหวสักหน่อย”
ในคำพูดนี้มีความหมายแอบแฝง ก็คือให้ปี้เยว่ฮูหยินไว้หน้ากันสักหน่อย
ปี้เยว่ฮูหยินส่ายหน้า “ข้ารู้ว่าในใจเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่านโหวจริงๆ ข้าจะขอพูดให้ชัดเจน ท่านโหวไม่มีอำนาจตัดสินใจเรื่องนี้ เจ้าลองหาทางคุยกับตระกูลอิ๋งดูก็ได้ ขอเพียงตระกูลอิ๋งตอบตกลง หัวหน้าภาคเฉาก็จะต้องออกคำสั่งใหม่แน่นอน ข้าไม่มีความเห็นใดๆ ทั้งนั้น ต้องไว้หน้าเจ้าอยู่แล้ว!”
ถึงอย่างไรนางก็ปัดความรับผิดชอบ ข้างบนมีตระกูลอิ๋ง ข้างล่างมีเฉาว่านเสียง เรื่องผิดใจกับคนอื่นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางทั้งนั้น
…………………………