มู่หรงซิงหัวมาส่งบัตรเชิญงานแต่งงานด้วยตัวเอง และมาขอลาหยุดด้วย ทางจวนหัวหน้าภาคของน่านฟ้าชวดอี่ส่งคนมารับนางไปเตรียมตัวแล้ว!
ในลานบ้านของจวนผู้บัญชาการใหญ่ มู่หรงซิงหัวนั่งนิ่งอยู่ในศาลา ลักษณะท่าทางมีเสน่ห์โดดเด่น รอบข้างเต็มไปด้วยดอกไม้นานาชนิดบานสะพรั่ง
ผู้บัญชาการใหญ่เหมียวนั่งอยู่ตรงนั้นด้วย พลิกดูบัตรเชิญงานแต่งงานที่อยู่ในมือ รู้สึกอึ้งอยู่บ้าง นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเร็วขนาดนี้ เถาฮวาฮูหยินโดนถอดจากตำแหน่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล เปลี่ยนเป็นผู้ชายคนไหนก็คงทนพฤติกรรมของเถาฮวาฮูหยินไม่ได้ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่ามู่หรงซิงหัวจะจัดการเฉาว่านเสียงได้เร็วขนาดนี้ เบื้องหลังเกิดอะไรขึ้นบ้างเหมียวอี้ก็ไม่รู้ ไม่สะดวกจะถามเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย
หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็สายหน้าเบาๆ แล้วเงยหน้าถามด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ตัดสินใจจะแต่งงานกับเฉาว่านเสียงจริงเหรอ?”
“ถ้าไม่แต่งกับเขาแล้วจะยังแต่งกับใครได้อีก? ไม่ว่าจะแต่งงานกับใคร มันก็เป็นการแต่งงานเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?” มู่หรงซิงหัวถามกลับด้วยรอยยิ้ม
เหมียวอี้ตอบกลับด้วยความเงียบๆ แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจนิดหน่อยว่า “ที่จริงก็มีข่าวลือเรื่องเถาฮวาฮูหยินกับหยางไท่มานานแล้วนะ ก่อนหน้านี้เฉาว่านเสียงไม่เคยรู้เลย?” เขากำลังถามว่า อย่าบอกนะว่าต้องรอให้เจ้าปล่อยข่าวเอง เฉาว่านเสียงถึงจะรู้?
มู่หรงซิงหัวยิ้มแล้วตอบว่า “เรื่องแบบนี้ ถ้าไม่เปิดโปง คู่กรณีก็จะรู้เป็นคนสุดท้ายเสมอ ก็เหมือนตัวข้าในเมื่อก่อน ข้านึกว่าทุกคนไม่รู้เรื่องระหว่างข้ากับเฉาว่านเสียง จนกระทั่งหลังจากโดนเซี่ยโห้วหลงเฉิงเปิดโปงข้าถึงได้เข้าใจ ที่จริงทุกคนรู้ตั้งนานแล้ว แต่กลับเป็นข้าเองที่แสร้งทำตัวเหมือนไม่มีอะไรราวกับคนโง่ กลายเป็นที่น่าหัวเราะเยาะในสายตาคนอื่น”
เหมียวอี้คิดไปคิดมาก็รู้สึกว่าใช่ จึงยืนขึ้นแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ยินดีด้วย! สุรามงคลนี้ข้าไม่พลาดแน่นอน”
“ถ้าไม่มีอย่างอื่นจะกำชับ ข้าน้อยขอตัวก่อน!” มู่หรงซิงหัวถอยออกไปพร้อมรอยยิ้มที่สงบนิ่ง
เหมียวอี้มองนางคล้อยหลังไป ถือบัตรเชิญงานแต่งงานพร้อมเอามือไขว้หลัง พิงรั้วถอนหายใจเบาๆ คนเรามักจะใช้ชีวิตซับซ้อนแบบนั้นเสมอ…
แผนที่จะกลับพิภพเล็กถูกทำให้ปั่นป่วนไปหมดแล้ว งานแต่งงานของมู่หรงซิงหัวตรงกับเวลาส่งส่วยพอดี ทำได้เพียงบอกอวิ๋นจือชิวว่าปีนี้กลับไม่ได้ เลื่อนเป็นตอนส่งส่วยปีหน้าค่อยกลับ ให้อวิ๋นจือชิวกลับไปบอกฉินเวยเวยให้ด้วย
ตอนที่เหมียวอี้เตรียมตัวจะเดินทางไปร่วมงานแต่งงานของมู่หรงซิงหัวที่จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ ก็มีแขกมาเยี่ยมอีกแล้ว!
“ฮ่าๆ!”
บนหอประตูเมืองของเขตเมืองตะวันออก สวีถังหรานหัวเราะเสียงดัง เหาะมาขวางคนสามคนที่กำลังจะเข้าเมือง
สามคนนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นปานเยว่กงกับภรรยาและหวงเสี้ยวเทียน เป็นเพราะสวีถังหรานรู้จักทั้งสามคน เพื่อที่จะลดความยุ่งยากที่ไม่จำเป็น เหมียวอี้จึงให้เขาไปต้อนรับด้วยตนเอง
“ผู้บัญชาการสวี!” ทั้งสามคารวะทักทาย
“…” สวีถังหรานอึ้งเล็กน้อย ส่วนหวงเสี้ยวเทียนก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงแล้ว นั่นคือคนรู้จักกัน เพียงแต่ปานเยว่กงและภรรยาที่ถอดเครื่องปลอมตัวแล้วดูค่อนข้างแปลกตา แปลกตาไปหน่อยก็ไม่เป็นไร ดูจากรูปร่างก็พอจะจำได้คร่าวๆ เขาแค่รู้สึกว่าชิงเหมยหน้าคุ้นๆ ด้วยเหตุนี้จึงแปลกใจเล็กน้อย ไม่เคยเจอกันแท้ๆ แต่กลับรู้สึกเหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน เขากุมหมัดคารวะพร้อมถาม “เป็นพี่โหย่วไฉกับภรรยาเหรอ?”
“ใช่แล้ว!” ปานเยว่กงและภรรยารายงานตัวตนที่แท้จริง “ปานเยว่กง ชิงเหมยคำนับผู้บัญชาการสวี!”
“ที่แท้นี่ก็คือตัวตนที่แท้จริงของพวกเจ้า ปานเยว่กง…” สวีถังหรานนึกอะไรขึ้นได้แล้ว ชั่วพริบตาเดียวก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าทำไมชิงเหมยดูคุ้นๆ ตา เพราะเคยเห็นบนภาพวาดของนักโทษหลบหนี ปานเยว่กงกับชิงเหมยก็คือคู่สามีภรรยาที่ป่าลืมทุกข์ไม่ใช่เหรอ? นี่มันเรื่องอะไรกัน? เขาชี้ไปที่ทั้งสองคน พลางพูดติดอ่างว่า “พวกเจ้า…” เขาอยากจะพูดว่าพวกเจ้ากล้ามาที่นี่ได้ยังไง ใจกล้าเกินไปหน่อยรึเปล่า
ปานเยว่กงยิ้มเจื่อน “ผู้บัญชาการสวีได้โปรดให้อภัย สถานการณ์ในตอนนั้นพวกเราจำใจจริงๆ พวกเราสองสามีภรรยาได้รับคำสั่งจากผู้บัญชาการหนิวให้สร้างผลงานชดเชยความผิด!”
หลังจากได้รู้จักตัวตนที่แท้จริงของทั้งสอง หวงเสี้ยวเทียนก็ตกใจมากเหมือนกัน เขานึกว่าสวีถังหรานรู้แล้ว แต่สงสัยจะยังไม่รู้เหมือนกัน
“อ๋อๆ อย่างนี้นี่เอง!” สมองของสวีถังหรานคิดตามไม่ค่อยทัน แต่ในเมื่อเป็นแผนของผู้บัญชาการหนิวใหญ่ เขาก็ไม่สะดวกจะซักถามข้อสงสัยอะไร ได้แต่หันตัวและยื่นมือเชิญ “ผู้บัญชาการใหญ่ให้ข้ามาต้อนรับทั้งสามด้วยตัวเอง เชิญ!”
ทั้งสามเดินตามเข้ามาในเมือง แล้วหวงเสี้ยวเทียนก็ถามอย่างแปลกใจว่า “ท่านไหนคือผู้บัญชาการใหญ่?”
สวีถังหรานหันกลับมามองแวบหนึ่ง รู้ว่าเขาอยากเปลี่ยนประเด็นสนทนา จึงยิ้มพร้อมตอบว่า “ผู้บัญชาการหนิวได้เลื่อนขั้นแล้ว ตอนนี้เป็นผู้บัญชาการใหญ่ที่คุมทั้งตลาดสวรรค์ เป็นผู้บังคับบัญชาของสวีคนนี้แล้ว!”
พวกปานเยว่กงมองหน้ากันเลิกลั่ก ก่อนหน้าที่จะได้รับข่าวจากเหมียวอี้ว่าให้มา ทั้งสามก็รู้เรื่องที่เหมียวอี้ได้อันดับหนึ่งจากการทดสอบแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าเหมียวอี้ได้เลื่อนตำแหน่ง
“ผู้บัญชาการมู่หรงล่ะ?” หวงเสี้ยวเทียนถาม
สวีถังหรานส่ายหน้า “เกรงว่าครั้งนี้ทั้งสามจะไม่ได้เจอผู้บัญชาการมู่หรงแล้ว…ก็มีแค่สวีคนนี้ที่ไม่ค่อยก้าวหน้า ทั้งสามมาผิดเวลาแล้ว ผู้บัญชาการมู่หรงกำลังจะกลายเป็นฮูหยินของหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ นางไปเตรียมงานแต่งงานที่จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่แล้ว อีกไม่กี่วันข้ากับผู้บัญชาการใหญ่ก็ต้องตามไปแสดงความยินดีเหมือนกัน ถ้าพวกเจ้ามาช้ากว่านี้อีกสักสองสามวัน เกรงว่าคงจะต้องรอพวกเรากลับมาก่อนถึงจะได้พบ”
เรื่องราวในโลกมนุษย์แปรเปลี่ยนอยู่เสมอ จังหวะชีวิตของคนในแดนฝึกตนค่อนข้างช้า นึกไม่ถึงว่าคนพวกนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่โตขนาดนี้
ย่อมไม่ต้องพูดถึงว่าเดินชื่นชมความเจริญรุ่งเรืองของตลาดสวรรค์แห่งดาวเทียนหยวนมาตลอดทาง ทั้งสามฝึกตนมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้ามาในจวนของขุนนางตำหนักสวรรค์ ค่อนข้างระแวดระวังตัวอยู่บ้าง
เหมียวอี้มายืนต้อนรับอยู่หน้าประตูจวนด้วยตัวเอง เมื่อเห็นพวกเขาก็กุมหมัดทักทายตั้งแต่ไกลๆ “พี่ปาน ปานฮูหยิน พี่หวง ขออภัยที่ไม่ได้ไปต้อนรับตั้งแต่ไกลๆ”
“ไม่กล้ารบกวนให้ผู้บัญชาการใหญ่ไปรับตั้งแต่ไกลๆ หรอก!” ทั้งสามรีบก้าวขึ้นมาคารวะตอบ เมื่อเห็นเหมียวอี้ยังเป็นกันเองและไม่ถือตัวเหมือนอย่างเคย ทั้งสามก็โล่งใจลงบ้างแล้ว สำหรับคนที่มีสถานะอย่างพวกเขา บรรยากาศของที่นี่ทำให้พวกเขาอึดอัดนิดหน่อย เรียกได้ว่าไม่กล้ารีบร้อนไม่ดูตาม้าตาเรือ
ต้อนรับทั้งสามเข้ามาด้านใน เจ้าบ้านและแขกนั่งลงในโถงหลัก เป่าเหลียนนำน้ำชามาวาง
หลังจากทักทายปราศัยกันตามมารยาท เหมียวอี้ก็หยิบแผ่นหยกที่งดงามละเอียดอ่อนออกมาแผ่นหนึ่ง “พี่ปาน เรื่องคดีของพวกท่านสองสามีภรรยา ผู้บัญชาการใหญ่โค่วจัดการให้พวกท่านเรียบร้อยแล้ว นี่คือคำสั่งอภัยโทษของตำหนักสวรรค์ ทั้งคู่เชิญอ่านดูคร่าวๆ!” ขณะที่พูดแผ่นหยกก็ลอยเข้าไป
หลังจากปานเยว่กงหยิบมาอ่าน ในดวงตาก็ฉายแววดีใจ แล้วก็ส่งต่อให้ชิงเหมยอ่านอีก
ถึงแม้ก่อนมาจะได้ข่าวจากเหมียวอี้มาแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่าจัดการเรื่องนี้สำเร็จแล้ว แต่เมื่อได้เห็นคำสั่งอภัยโทษของตำหนักสวรรค์อย่างเป็นทางการ ชิงเหมยก็ยังน้ำตาไหลทันที ดีใจจนร้องไห้ออกมา สองสามีภรรยาลุกขึ้นยืน แล้วโค้งตัวค้างไว้พร้อมกัน “ซาบซึ้งในบุญคุณอันใหญ่หลวงของผู้บัญชาการใหญ่!”
“ไม่ต้องมากพิธี!” เหมียวอี้ก้าวขึ้นมาประคอง แล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ต่อไปนี้ทั้งสองเป็นอิสระแล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”
สองสามีภรรยายังคงขอบคุณซ้ำๆ สวีถังหรานกลับเข้าใจในทันที สงสัยเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับโค่วเหวินหลานด้วย มิน่าล่ะถึงดึงตัวนักโทษหลบหนีมารับใช้ได้
การเลี้ยงอาหารสักมื้อเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากจบงานเลี้ยง หวงเสี้ยวเทียนกลับส่ายหางวิ่งตามสวีถังหรานไปแล้ว
เมื่อมาถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก หลังจากหวงเสี้ยวเทียนพูดประจบพักหนึ่ง ก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะเอ่ยถึงเรื่องเก่าๆ “ผู้บัญชาการสวี เรื่องร้านค้าที่เจ้าบอกไว้ตอนแรก ไม่รู้ว่า…” เรียกได้ว่าทำสีหน้าเปี่ยมไปด้วยความหวัง
“เรื่องร้านค้าน่ะเหรอ!” เมื่อไม่ได้อยู่ข้างกายเหมียวอี้ สวีถังหรานก็กลับมาวางมาดผู้บัญชาการเหมือนเดิม เขายกถ้วยน้ำชา ยกขาขึ้นนั่งไขว้ห้าง แล้วเหล่ตาพูดว่า “สหายหวง! เจ้าเองก็รู้ ร้านค้าของตลาดสวรรค์ไม่ได้หามาง่ายๆ ขนาดนั้น”
“ใช่ๆๆๆ!” หวงเสี้ยวเทียนพยักหน้าโค้งตัว “ถ้าหามาได้ง่ายๆ ก็คงไม่ต้องรบกวนผู้บัญชาการสวีหรอก”
สวีถังหรานที่กำลังวางมาดกล่าวเสียงเรียบว่า “ที่ข้าออกหน้าหาร้านค้าให้เจ้า ก็ย่อมไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว พอดีว่าที่เขตของข้ามีร้านค้าสองสามร้านที่ทำผิดกฎแล้วโดนสั่งปิด แต่ร้านค้านั่นก็ไม่ใช่ของข้าเหมือนกัน รายการนี้ต้องบันทึกลงบัญชีของหลวง ดังนั้นเงินซื้อร้านค้าร้านนี้ เจ้าก็ยังต้องควัก”
หวงเสี้ยวเทียนราวกับใบหน้าโดนตะคริวกิน คิดในใจว่า เจ้าบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะหาให้ข้าสักร้านโดยไม่ต้องจ่าย ทำไมกลายเป็นว่าข้าต้องควักเงินล่ะ? เขาลองถามว่า “ราคาเท่าไรเหรอ?”
สวีถังหรานเสนอราคาไปส่งแดช หวงเสี้ยวเทียนนิ่งเงียบในชั่วพริบตาเดียว ตัวเองเป็นนักพรตอิสระ ไร้อำนาจไร้อิทธิพล จะหาเงินมาจากไหนมากมายขนาดนั้น? ไม่อย่างนั้นตอนแรกคงไม่ขอค่าถามทางกับพวกเจ้าหรอก
แต่จะว่าไปแล้ว ต่อให้มีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ได้ ถ้าพลาดโอกาสนี้ไปแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าในภายหลังจะหามาได้หรือเปล่า หวงเสี้ยวเทียนแข็งใจตอบทันที “ได้! เพียงแต่รบกวนให้ท่านช่วยเหลือไว้ให้ข้าสักร้าน ให้เวลาข้าสักหน่อย ให้ข้าไปคิดวิธีการหาเงินก่อน มีร้านค้ามาปูพื้นไว้แล้ว คาดว่าคงขอยืมเงินได้ไม่ยาก แต่ถ้าเป็นร้านค้าที่ขนาดพื้นที่ใหญ่เกินไป ข้าก็ซื้อไม่ไหวแน่ เหลือร้านเล็กๆ ไว้ให้ข้าก็แล้วกัน”
“ตระหนี่ถี่เหนียว ข้าแนะนำว่าถ้าเจ้าจะซื้อ เจ้าก็ควรซื้อร้านใหญ่ๆ หน่อย” สวีถังหรานพูดดูถูก
หวงเสี้ยวเทียนกล่าวด้วยใบหน้าขื่นขม “ข้าก็อยากได้ร้านใหญ่ๆ อยู่แล้ว แต่ข้ากังวลว่าจะขอยืมเงินได้ไม่มากขนาดนั้น!”
สวีถังหรานจึงกล่าวกลั้วหัวเราะว่า “แต่ข้ามีวิธีที่ช่วยให้เจ้าประหยัดเงินไม่น้อยเลยนะ ไม่รู้ว่าเจ้าจะอยากฟังรึเปล่า”
หวงเสี้ยวเทียนตาเป็นประกายทันที “ผู้น้อยจะลางหูรอฟัง”
สวีถังหรานกวักมือเรียก หวงเสี้ยวเทียนรีบเข้ามาใกล้ทันที
สวีถังหรานกล่าวเสียงต่ำว่า “เดี๋ยวข้าจะหาทางดำเนินการสักหน่อย จะลดราคาให้เจ้าส่วนหนึ่ง จะให้เจ้าจ่ายในราคาเก้าส่วน แต่หนึ่งส่วนที่ขาดไปไม่ใช่เงินน้อยๆ ข้าก็ช่วยเจ้ามากไม่ได้เหมือนกัน แล้วเก้าส่วนที่เหลือ เจ้าเองก็ไม่ต้องออกเงินเลย เจ้าแค่ต้องหาคนมาร่วมหุ้นเพื่อรวบรวมเงินมาซื้อ สามารถร่วมหุ้นกันซื้อร้านค้าได้สักร้าน จะต้องมีคนมาหุ้นกับเจ้าแน่นอน เงินส่วนนี้คงหามาได้ไม่ยาก รอให้เจ้าพาหุ้นส่วนพวกนั้นมาที่ตลาดสวรรค์ก่อน แล้วเจ้าค่อยหาทางซ่อนของผิดกฎหมายไว้ในร้านสักหน่อย แล้วเจ้าค่อยแจ้งข้าล่วงหน้าอีกครั้ง ข้าจะสั่งให้คนไปตรวจสอบ ขอเพียงมีหลักฐานจริงๆ ข้าก็จะจัดการคนที่มาร่วมหุ้นกับเจ้าทันที ถึงตอนนั้นพวกเขาก็ปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้แล้ว พอเข้ามาอยู่ในคุกใหญ่แล้วก็เลิกคิดได้เลยว่าจะรอดชีวิตออกไปได้อีก ถึงตอนนั้นเจ้าก็จะได้ร้านค้าไปโดยไม่ต้องจ่ายเงินสักส่วน!”
“…” หวงเสี้ยวเทียนมองเขาอย่างตกตะลึงพรึงเพริด ดวงตาสองข้างเบิกกว้าง รู้สึกเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ ถามด้วยสีหน้าเหมือนโดนตะคริวกิน “แบบนี้จะเหมาะสมเหรอ?”
สวีถังหรานกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ที่สำคัญคือต้องหาคนที่จะมาร่วมหุ้นให้ดี อย่าหาคนที่มีภูมิหลังอะไรมาก็พอ จะได้ไม่เป็นการหาเรื่องใส่ตัวเอง นอกจากนี้ รอให้เจ้าเปิดร้านค้าขึ้นมาแล้ว มีข้าคอยดูแล ก็จะไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้า ดังนั้นข้าจะไม่ขออะไรมากหรอก ขอหุ้นจากร้านของเจ้าครึ่งหนึ่งก็พอแล้ว เจ้าเองก็รู้นี่ ว่าสถานะอย่างข้าไปบริหารร้านค้าเองโดยตรงไม่ได้ ไม่อย่างนั้นข้าก็เก็บร้านค้าไว้เองแล้ว จะเหลือไว้ให้เจ้าได้ยังไง แล้วอีกอย่าง ข้าก็จะดูแลเจ้าเป็นพิเศษเพราะเห็นแก่ความเป็นเพื่อน คนอื่นจะได้เจอเรื่องดีๆ แบบนี้ซะที่ไหนกัน ข้าช่วยเจ้าทำเรื่องแบบนี้ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงเหมือนกัน”
ก่อนหน้านี้มอบของขวัญราคาสูงให้เหมียวอี้เพื่อแสดงความยินดีกับการเลื่อนตำแหน่ง ทั้งยังต้องให้ของขวัญมู่หรงซิงหัวเพื่อแสดงความยินดีกับการแต่งงานอีก เขาต้องคิดหาทางอื่นเพื่อตักตวงกลับมาทั้งต้นทั้งดอก
………………………