แต่จะว่าไปแล้ว การที่ตัวเองได้ผลประโยชน์มากขนาดนี้โดยไม่ต้องออกเงิน ก็ไม่มีอะไรไม่ดีเหมือนกัน อย่างมากก็แค่วิ่งเต้นหลอกลวงคนไปทั่วก็เท่านั้นเอง
สุดท้ายหวงเสี้ยวเทียนก็รีบปากแล้ว เพียงแต่ตอนหลังอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ มีอำนาจมีอิทธิพลมันก็ร่ำรวยได้ง่ายแบบนี้!
เขาตัดสินใจแน่วแน่แล้ว ว่าต่อไปนี้จะกอดขาสวีถังหรานและติดตามสวีถังหรานไปหากิน ขุนนางสุนัขหน้าด้านไร้ยางอายขนาดนี้ จะต้องยังมีโอกาสอื่นให้ร่ำรวยอีกแน่นอน ไม่ได้กินเนื้อแต่ได้กินน้ำก็ยังดี!
ส่วนปานเยว่กงและภรรยา เหมียวอี้ที่นั่งดื่มชาอยู่ในศาลาด้วยกันเริ่มเป็นห่วงอนาคตของทั้งสองแล้ว “แล้วทั้งสองวางแผนจะทำอะไรในอนาคต?”
ปานเยว่กงยิ้มตอบ “ไม่ได้วางแผนจะทำอะไร ต่อไปนี้ชิงเหมยไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ ก็พอแล้ว”
เหมียวอี้กล่าวอย่างลังเลนิดหน่อย “ถ้าพวกเจ้าทั้งสองเต็มใจ ข้าสามารถหาทางดึงพวกเจ้าเข้าตำหนักสวรรค์ได้ มาทำงานใต้บังคับบัญชาของข้า ไม่ทราบว่าคิดอย่างไร?” เขาตั้งใจจะรับเข้าทำงานจริงๆ ชอบในพลังอภินิหารของปานเยว่กง ประสบการณ์ที่เกือบจะติดกับดักในป่าลืมทุกข์ทำให้เขาลืมไม่ลง
สองสามีภรรยาสบตากันแวบหนึ่ง แล้วชิงเหมยส่ายหน้าปฏิเสธว่า “พวกเราสองคนซาบซึ้งในเจตนาดีของผู้บัญชาการใหญ่ เพียงแต่นายท่านก็รู้ถึงพื้นเพของชิงเหมย ชิงเหมยนับว่าเคยพบเห็นรู้จักคนของตำหนักสวรรค์มาไม่น้อย ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องอีกแล้วจริงๆ โดนงูกัดครั้งเดียว ก็กลัวเชือกหย่อนบ่อไปสิบปี ชิงเหมยกลัวแล้ว!”
“ในเมื่อต้องการอย่างนี้ งั้นข้าก็ไม่ฝืนใจแล้ว” เหมียวอี้พยักหน้า แล้วก็บอกอีกว่า “เอาอย่างนี้แล้วกัน! ข้าจะหาร้านค้าที่ตลาดสวรรค์ให้พวกเจ้าสักร้าน จะได้มีรายรับสักทาง ดีกว่าอยู่ที่ป่าลืมทุกข์นั่นอยู่แล้ว”
ต่างกับสวีถังหราน เขาไม่ได้พูดเรื่องเงิน เตรียมจะออกเงินซื้อเองแล้วมอบให้สองสามีภรรยา เขาเป็นคนวางตัวแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าเป็นเพื่อนกันจริงๆ เรื่องที่ควรช่วยก็ช่วยอย่างเต็มที่มาตลอด ไม่เสนอเงื่อนไขอะไร ยิ่งไปกว่านั้นอาศัยกำลังทรัพย์ของเขาในตอนนี้ การซื้อร้านค้าสักร้านก็ไม่นับว่าเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยอะไร
นี่คือความแตกต่างในการวางตัวระหว่างเขากับสวีถังหราน คนหนึ่งอยากจะมุ่งหาผลกำไรให้ทุกคน คนหนึ่งอยากจะมุ่งหาผลกำไรให้ตัวเอง ทั้งสองได้กำหนดรูปแบบที่ต่างกัน และกำหนดความสำเร็จในอนาคตระหว่างทั้งสองด้วย!
ปานเยว่กงดีใจมาก กำลังจะตอบตกลง แต่กลับถูกชิงเหมยกดมืออยู่ใต้โต๊ะ ชิงเหมยส่ายหน้าปฏิเสธอีกครั้ง “บุญคุณของผู้บัญชาการใหญ่ พวกเราสองสามีภรรยาไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร เพียงแต่พวกเราไม่ได้สนใจการค้าขายจริงๆ ผู้บัญชาการใหญ่ไม่ต้องหักโหมทำงานหนักเพื่อพวกเราหรอก”
เหมียวอี้มองปานเยว่กงแวบหนึ่ง มองออกว่าปานเยว่กงมีความเห็นอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่ฝืนใจเช่นกัน ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ไม่ต้องรีบปฏิเสธ พวกเจ้าสองคนไปคิดดูให้ดี ถ้าอยากได้ก็ติดต่อข้ามาได้ตลอดเวลา”
สองสามีภรรยากล่าวขอบคุณอีกครั้ง
ถ้าไม่ได้อยู่ในสถานการณ์พิเศษ สถานที่แบบนี้ก็ไม่สะดวกจะให้คนนอกตำหนักสวรรค์อยู่พัก เหมียวอี้ให้เป่าเหลียนเตรียมที่พักให้แขกที่โรงเตี๊ยมข้างนอกแล้ว
หลังจากสองสามีภรรยาไปพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม เมื่อไม่มีคนนอกแล้ว ปานเยว่กงก็ถามทันทีว่า “ฮูหยินไม่อยากเข้าตำหนักสวรรค์ข้าพอเข้าใจได้ แต่กับเรื่องร้านค้า นั่นคือเรื่องดีๆ ที่คนอื่นอยากได้แต่ไม่ได้ เหตุใดฮูหยินจึงปฏิเสธ?”
ชิงเหมยจับมือเขาพร้อมกล่าวโน้มน้าวอย่างอดทน “ท่านสามี ท่านรับประกันได้มั้ยว่าผู้บัญชาการใหญ่หนิวจะอยู่ที่ตำหนักสวรรค์ได้อย่างราบรื่นตลอดไป? ข้าเคยเห็นเหตุการณ์ที่คนตำแหน่งสูงสิ้นอำนาจมาเยอะเกินไป เมื่อวานยังมีหน้ามีตาไร้ที่สิ้นสุด แต่ชั่วพริบตาเดียวก็โดนค้นบ้านยึดทรัพย์แล้ว ร้านค้าถึงแม้จะดีกว่าหน่อย แต่ก็ทำให้คนอิจฉาตาร้อนได้เหมือนกัน ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา ร้านค้าที่พวกเรามีก็จะถูกพัวพันไปด้วย ยามเผชิญหน้ากับตำหนักสวรรค์ ถึงตอนนั้นตัวเจ้ากับข้าอยู่ที่ตลาดสวรรค์ แม้แต่จะหนีก็หนีไม่ทันแล้ว เจ้ารู้รึเปล่าว่าตลาดสวรรค์ที่อยู่ในสังกัดของตำหนักสวรรค์ ในแต่ละปีมีร้านค้าถูกสั่งปิดไปกี่ร้าน? อยู่ที่ป่าลืมทุกข์ก็ไม่มีอะไรไม่ดี อย่างมากก็แค่วรยุทธ์สูงขึ้นช้าหน่อย การได้อยู่อย่างสงบสุขนั้นดีกว่าอะไรทั้งนั้น!”
ปานเยว่กงเงียบไป ไม่พูดอะไรอีกแล้ว…
เมื่อรู้ว่าพวกเหมียวอี้ต้องไปร่วมงานแต่งงานที่น่านฟ้าชวดอี่ ปานเยว่กงกับภรรยาก็ไม่ได้อยู่ที่นี่นาน หลังจากอยู่ไม่กี่วันก็ออกไปแล้ว
ส่วนหวงเสี้ยวเทียนก็กลับไปตั้งแต่วันที่มาแล้ว ไปหา ‘หุ้นส่วน’ เพื่อรวมเงินมาซื้อร้านค้าแล้ว เจ้าบ้านี่ใจร้อนอยากจะร่ำรวยมาก ไม่แปลกใจที่ในปีนั้นแค่ถามทางก็ยังจะเรียกเก็บเงิน อยู่กับสวีถังหรานก็เรียกได้ว่าวมหัวกันทำความชั่ว รสนิยมตรงกัน…
จวนหัวหน้าภาคน่านฟ้าชวดอี่ ดอกท้อที่ปลูกไปทั่วบริเวณถูกกำจัดร่องรอยทิ้งไปหมดแล้ว ถูกถอนรากถอนโคน ในตอนนี้ทุกที่ล้วนประดับประดาด้วยผ้าและโคมไฟสวยงาม บรรยากาศการเฉลิมฉลองเข้มข้นมาก
ไม่ใช่แค่เหมียวอี้กับสวีถังหรานที่มาถึงแล้ว ฝูชิงกับอิงอู๋ตี๋ที่เป็ผู้บัญชาการเขตเมืองใต้และเขตเมืองตะวันออกก็มาถึงแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรก็กลายเป็นเพื่อนร่วมงานระดับเดียวกับมู่หรงซิงหัวแล้ว ย่อมได้รับบัตรเชิญจากมู่หรงซิงหัว ที่มาด้วยกันยังมีเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของมู่หรงซิงหัวด้วย
คนกลุ่มนี้ตามปี้เยว่ฮูหยินมา ให้ปี้เยว่ฮูหยินเดินนำหน้า ปี้เยว่ฮูหยินนับว่ามาแสดงความยินดีโดยเป็นตัวแทนของท่านโหวเทียนหยวน ขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนของผู้ใต้บังคับบัญชาของเฉาว่านเสียงด้วย ครั้งแรกที่เฉาว่านเสียงแต่งงานกับเถาฮวาฮูหยิน ท่านโหวเทียนหยวนก็มาแสดงความยินดีด้วยตัวเอง แต่นี่เป็นการแต่งงานครั้งที่สอง ไม่จำเป็นต้องมาอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นเวลาลูกน้องแต่งงานรับอนุภรรยา เขาก็ไม่รู้ว่าต้องถ่อมาอีกกี่รอบ
เมื่อเป็นแบบนี้ เฉาว่านเสียงจึงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ที่ออกมาต้อนรับด้วยกันก็มีมู่หรงซิงหัวด้วย เมื่อเห็นผู้หญิงที่ยิ้มเรียบๆ คนนี้อีกครั้ง เหมียวอี้กับสวีถังหรานก็แอบทอดถอนใจ
เพียงแต่ภาพที่ทั้งสองฝ่ายคำนับกันค่อนข้างแปลก เฉาว่านเสียงและภรรยาคำนับปี้เยว่ฮูหยินที่มาเป็นตัวแทนท่านโหว ส่วนพวกเหมียวอี้ก็คำนับพวกเขาสองสามีภรรยา เฉาว่านเสียงเป็นผู้บังคับบัญชาของปี้เยว่ฮูหยินแท้ๆ ส่วนเหมียวอี้ก็เป็นผู้บังคับบัญชาของมู่หรงซิงหัว รู้สึกสับสนวุ่นวายนิดหน่อย
คนกลุ่มนี้มอบของขวัญแสดงความยินดีให้แล้ว เหมียวอี้นำยาแก่นเซียนออกมาสิบล้านเม็ด ครั้งก่อนมู่หรงซิงหัวกับสวีถังหรานมอบยาแก่นเซียนให้เขาคนละห้าล้านเม็ด ตอนนี้ส่งกลับคืนให้มู่หรงซิงหัวอีกแล้ว ที่นำมาด้วยก็ยังมีน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของปานเยว่กงและภรรยาด้วย
แขกที่มาจากดาวเทียนหยวนได้พักในเรือนรับรองแขกที่ดีที่สุด ย่อมมุ่งเน้นมาที่สถานะของปี้เยว่ฮูหยินอยู่แล้ว คนอื่นๆ ได้อาศัยบารมีไปด้วย
ส่วนบรรดาเพื่อนร่วมงานของเฉาว่านเสียงที่มาร่วมแสดงความยินดี เมื่อได้ยินว่าปี้เยว่ฮูหยินมาแล้ว ก็ทยอยกันมาคำนับไม่ขาดสาย ทำเอาปี้เยว่ฮูหยินอยู่ไม่สงบ
วันแต่งงานคือวันพรุ่งนี้ ทุกคนนับว่ามาก่อนล่วงหน้าหนึ่งวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความล้าช้าระหว่างทาง
ตอนค่ำวันถัดมาที่เดิมทีเป็นฤกษ์มงคล ใครจะคิดว่าฟ้าดินไม่เป็นใจ ไม่น่าเชื่อท้องฟ้าจะมืดครึ้ม มีฝนตกลงมาเล็กน้อย ในจวนหัวหน้าภาคมีคนหลายคนเหาะขึ้นมาบนฟ้าทันที ดันทุรังร่ายอิทธิฤทธิ์ไล่เมฆฝนบนท้องฟ้าออกไป
“การแต่งงานครั้งที่สองไม่ได้อลังการเหมือนการแต่งงานครั้งแรกจริงๆ ด้วย เรียบง่ายขึ้นเยอะเลย”
บนพื้นราบนอกจวนหัวหน้าภาค เหมียวอี้มาดูพิธีการเป็นเพื่อนปี้เยว่ฮูหยินและติดตามอยู่ข้างกายนางตลอด พอได้ยินนางถ่ายทอดเสียงมา เขาก็มองไปยังโคมไฟและผ้าที่ประดับรอบๆ ก็เหมือนจะไม่ได้แย่เท่าไร เป็นเพราะเขาไม่ได้เห็นภาพการแต่งงานครั้งแรกของเฉาว่านเสียง เห็นได้ชัดว่าปี้เยว่ฮูหยินเคยไปเข้าร่วมมาก่อน
แต่ถ้าจะให้พูดความจริง งานแต่งงานของเฉาว่านเสียงก็อลังการไม่เท่างานแต่งงานของเหมียวอี้กับอวิ๋นจือชิวในปีนั้น ทางแดนโพ้นสวรรค์จัดงานให้เขาอย่างหรูหราที่สุด เหมียวอี้ยังจำภาพความอลังการยามนกสาลิกาปากดำบินเหมือนเป็นดาวตกเต็มท้องฟ้าในปีนั้นได้ อวิ๋นจือชิวในตอนนั้นงดงามไร้ที่เปรียบ วันนั้นนางมีความสุขมากจริงๆ!
นับว่าได้อาศัยบารมีปี้เยว่ฮูหยินแล้ว ท่ามกลางกลุ่มพี่ใหญ่ที่มาจากจวนหัวหน้าภาคและจวนท่านโหว เหมียวอี้เป็นผู้ติดตามของปี้เยว่ฮูหยิน ทำให้มีโอกาสยืนดูพิธีอยู่ตรงแถวหน้าสุด เพียงแต่เหมียวอี้เหลือบมองปีศาจจิ้งจอกพันหน้าที่อยู่ในอ้อมกอดปี้เยว่ฮูหยินหลายครั้ง กำลังครุ่นคิดถึงคำพูดของอวิ๋นจือชิวมาตลอด ไม่รู้ว่าปีศาจจิ้งจอกพันหน้าตัวนี้เคยเปลี่ยนร่างเป็นตนหรือเปล่า
เสียงดนตรีดังขึ้นพร้อมกัน หลังจากพิธีแต่งงานเริ่มขึ้น พิธีการจุกจิกหยุมหยิมก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อได้เห็นมู่หรงซิงหัวที่แต่งตัวงดงามยิ่งกว่าดอกไม้กำลังคำนับฟ้าดินกับเฉาว่านเสียงที่เตี้ยล่ำ เหมียวอี้ก็ได้แต่ทอดถอนใจด้วยความหดหู่ คำพูดของมู่หรงซิงหัวก่อนหน้านี้ได้แสดงให้เห็นอะไรบางอย่างแล้ว นางไม่ได้ชอบเฉาว่านเสียงจึงแต่งงานด้วย เพียงแต่ในสังคมที่มีค่านิยมแบบนี้ ถ้านางไม่แต่งงานกับเฉาว่านเสียงแล้วยังจะแต่งงานกับใครได้อีก? จะมีสักกี่คนที่เต็มใจแต่งงานกับผู้หญิงที่เคยเป็นเมียน้อยคนอื่นมาก่อนโดยไม่กลัวบรรพบุรุษเสียหน้า?
พิธีการของที่นี่กับพิธีการตอนที่เหมียวอี้อยู่พิภพเล็กมีจุดที่ต่างกัน หลังจากเฉาว่านเสียงกับมู่หรงซิงหัวไหว้คำนับฟ้าดินเสร็จแล้ว ก็ไขว้แขนดื่มสุรากันท่ามกลางเสียงตะโกนยินดีของฝูงชน แต่ไม่ได้ส่งตัวเข้าห้องหอในทันที แค่ถอดชุดเข้าพิธีตัวนอกที่หนักและรายละเอียดเยอะออก แล้วก็ออกมารับแขกด้วยกัน
เหมียวอี้ไม่มีสิทธิ์นั่งร่วมโต๊ะกับปี้เยว่ฮูหยิน หลังจากดูพิธีการจบ ทุกคนก็แยกย้ายกันไปนั่งโต๊ะของตัวเองตามฐานะตำแหน่ง เหมียวอี้กลับมานั่งรวมกับกลุ่มคนของดาวเทียนหยวน
ส่วนเฉาว่านเสียงกับมู่หรงซิงหัวก็วนดื่มสุราฉลองและขอบคุณทีละโต๊ะ ดื่มกับเพื่อนร่วมงานระดับเดียวกันไปหลายจอก ส่วนที่โต๊ะของลูกน้องคนอื่นๆ ก็แค่ดื่มพอเป็นพิธีทีละโต๊ะ ตอนที่วนมาถึงโต๊ะของเหมียวอี้ หลังจากสองสามีภรรยาดื่มคารวะทุกคนแล้ว เฉาว่านเสียงกับมู่หรงซิงหัวก็ขอสุราแยกอีกจอก เฉาว่านเสียงคล้องแขนเหมียวอี้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ผู้บัญชาการใหญ่หนิว ต่อไปภรรยาข้าอยู่ใต้บังคับบัญชาผู้บัญชาการใหญ่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ มานี่! ซิงหัว เรามาดื่มคารวะผู้บัญชาการใหญ่ด้วยกันสักจอก!”
“มิบังอาจ มิบังอาจ!” เหมียวอี้รีบกล่าวถ่อมตัวตามมารยาท แต่สุราจอกนี้จะไม่ดื่มก็ไม่ได้
ทว่าตอนที่ยกจอกสุราขึ้นมา เหมียวอี้กับมู่หรงซิงหัวที่สวมชุดแต่งงานบังเอิญสบตากันแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แววตาของมู่หรงซิงหัวเหมือนจะเป็นประกายจนน่าตกใจ ไม่เคยสดใสแบบนี้มาก่อน แต่ไม่รู้ว่าเหมียวอี้มองอะไรออกจากสายตาของมู่หรงซิงหัว จู่ๆ ก็รู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย บอกไม่ถูกว่ามู่หรงซิงหัวมองเขาด้วยสายตาที่สื่ออารมณ์แบบไหน ทำให้คนที่เห็นเศร้าใจตามอย่างหาเหตุผลไม่ได้
หลังจากดื่มหมดจอก เฉาว่านเสียงก็หรี่ตายิ้มพร้อมตบบ่าเหมียวอี้ “ไม่เลว!”
จากนั้นก็นำมู่หรงซิงหัวไปยังโต๊ะต่อไป เหมียวอี้กุมหมัดน้อมส่ง
หลังจากนั่งลง เหมียวอี้ก็แอบส่ายหน้าในใจอีก ที่เฉาว่านเสียงบอกประมาณว่าต่อไปมู่หรงซิงหัวจะอยู่ใต้บังคับบัญชาเขาและขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย หมายความว่าอะไร? เห็นได้ชัดว่ากำลังบอกว่าจะไม่ย้ายมู่หรงซิงหัวไปไว้ข้างกายตัวเอง อย่างน้อยก็ยังไม่ย้ายไปตอนนี้ สงสัยจะเป็นอย่างที่ตนพูดจริงๆ เฉาว่านเสียงคนนี้จะแยกกันอยู่กับภรรยาโดยดูตัวอย่างจากท่านโหวเทียนหยวน
พวกเขาสองสามีภรรยาจะแยกกันอยู่หรือไม่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะพิจารณาไตร่ตรอง เพียงแต่การนำฮูหยินหัวหน้าภาคมาเป็นลูกน้องทำให้เขาปวดหัวนิดหน่อย ไม่สะดวกจะปฏิบัติด้วยเหมือนลูกน้องทั่วไปได้ เฉาว่านเสียงกับปี้เยว่ฮูหยินก็เป็นตัวอย่างให้เห็นแล้ว ขนาดจะควบคุมยังควบคุมไม่สะดวกเลย…
พิภพเล็ก แดนโพ้นสวรรค์ ดวงตาหงส์ของใบหน้างามเลิศล้ำกำลังปิดลงเล็กน้อยอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง อวิ๋นจือชิวกำลังยืนหวีผมให้มู่ฝานจวินอย่างระมัดระวัง
“นางหนู! ได้ยินว่าผู้ชายของเจ้าไม่ได้โผล่หน้ามานานแล้ว เขาไม่ได้เมินเฉยต่อเจ้าใช่มั้ย?” จู่ๆ มู่ฝานจวินนิ่งเงียบก็โพล่งถาม
อวิ๋นจือชิวตอบพร้อมรอยยิ้มทันที “ตอบท่านปราชญ์ ตอนนี้ท่านสามีอยู่ในตำแหน่งที่ต่ำต้อย เขาไม่มีธุระอะไร ไม่ง่ายเลยกว่าจะมีโอกาสฝึกตนอย่างเงียบสงบแบบนี้ เขาจึงจดจ่ออยู่กับการฝึกตน โผล่หน้าออกมาไม่บ่อยค่ะ”
มู่ฝานจวินตอบ ‘อ้อ’ แล้วบอกอีกว่า “ไม่ได้เจอเขามานานแล้ว ส่งส่วยปีหน้าเรียกเขามาด้วยกันเถอะ ถึงอย่างไรโอวหยางกวงกับอันหรูอวี้ก็เป็นพ่อตาแม่นายของเขา ลูกสาวฝาแฝดทั้งคู่ก็มอบให้เจ้าแล้ว ถ้าไม่มาเยี่ยมสักหน่อยก็จะฟังดูเหลวไหล เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
“ค่ะ! ปีหน้าข้าจะพาเขามาด้วย” อวิ๋นจือชิวเอ่ยรับ
ขณะที่พูดก็เพิ่งจะเกล้าผมให้มู่ฝานจวินเสร็จเช่นกัน ขณะที่อวิ๋นจือชิวกำลังจะย้ายมือออกจากศีรษะ จู่ๆ มู่ฝานจวินก็ยกมือไปที่ไหล่และคว้ามืออวิ๋นจือชิวเอาไว้อด้วยความเร็วดุจสายฟ้า ทำเอาอวิ๋นจือชิวทำอะไรไม่ถูก
นี่ยังไม่ใช่สิ่งที่ทำให้อวิ๋นจือชิวตกใจที่สุด สิ่งที่ทำให้ตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ มู่ฝานจวินใช้พลังอิทธิฤทธิ์ตรวจสอบวรยุทธ์ของนาง
แทบจะชั่วพริบตาเดียว ดวงตาหงส์ในกระจกก็พลันเบิกกว้างพร้อมฉายแววเย็นเยียบ มู่ฝานจวินจ้องอวิ๋นจือชิวผ่านกระจกอย่างสับสนอลหม่าน พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงที่แทบจะไม่ปะปนด้วยความรู้สึกใดๆ เลย “บงกชทองขั้นสอง! นางหนู! วรยุทธ์เจ้าสูงขึ้นเร็วจริงๆ นะ!”
…………………………