ตอนที่เป็นประมุขถ้ำคล้อยบูรพาในปีนั้นแล้วพวกลูกน้องป่วนสถานการณ์ให้วุ่นวาย เขาก็ได้รับบทเรียนอย่างลึกซึ้งแล้ว ที่ว่ากันว่าขุนนางที่ขึ้นรับตำแหน่งใหม่มักจะมีเรื่องมาให้แสดงความสามารถ คำกล่าวนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล!
เดิมทีเขายังไม่คิดว่าจะก่อเรื่องในเวลานี้ กะว่าจะกลับมาจากพิภพเล็กก่อนแล้วค่อยว่ากัน ใครจะคิดว่าเจ้าพวกที่มาส่งของขวัญถึงที่จะแสดงเส้นสายของตัวเองทั้งแบบลับๆ และโจ่งแจ้ง ไม่ว่าจะแอบเตือนเขาก็ดี หรือจะแอบบีบเขาก็ดี สรุปก็คือกำลังบอกเขาว่า ถ้าเจ้าไม่จัดหาตำแหน่งให้คนที่ข้าแนะนำ งั้นก็จะได้ ‘หึหึ’ แน่
คามหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดก็คือ เจ้ารับผลที่ตามมาเองนะ!
ถึงแม้จะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ถึงอย่างไรก็หมายความแบบนี้!
ตอนแรกเหมียวอี้ก็อยากจะปฏิเสธของขวัญ ไม่จัดการธุระให้แต่รับของขวัญของเขามา ถึงอย่างไรก็ฟังดูเหลวไหล แต่ในเมื่อมาขู่กันแบบนี้แล้ว งั้นก็ดี ข้าจะรับของขวัญเอาไว้ แต่ไม่จัดการธุระให้หรอก!
ก็เป็นอย่างที่ปี้เยว่ฮูหยินบอก คนอื่นเห็นเขาขึ้นนั่งในตำแหน่งนี้ได้โดยไม่มีภูมิหลังอะไร ถ้าเปลี่ยนเป็นโค่วเหวินหลานคงไม่มีใครกล้าทำแบบนี้แน่!
มารดาเจ้าเถอะ! โดนพวกพ่อค้าขู่คุกคามบนอาณาเขตของตัวเอง เหมียวอี้ค่อนข้างหัวร้อน ถ้าแม้แต่พ่อค้าที่อยู่ใต้สังกัดก็ยังจัดการไม่ได้ แล้วจะเป็นผู้บัญชาการใหญ่ไปทำไม
เรื่องราวชัดเจนมาก ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่านี่คืออาณาเขตของใครกันแน่? เขาก็เลิกคิดไปได้เลยว่าจะได้กลับพิภพเล็กอย่างสงบใจ ไม่อย่างนั้นจะต้องมีคนใช้เล่ห์กลลับหลังไม่หยุดแน่!
ก็ได้! เขาเองก็อยากจะเห็นว่าคนพวกนี้จะทำอะไรเขาได้
ปรากฏว่าพอผ่านไปนานๆ ก็ไม่ทำอะไรนอกจากฟ้องร้อง บอกว่าเขาต้องการสินบนเท่านั้น!
เมื่อได้รับการเตือนจากปี้เยว่ฮูหยิน เหมียวอี้ก็มีแผนอยู่ในใจแล้ว ท่านโหวเทียนหยวนส่งคนมาตรวจสอบ ขอแค่คุยกับปี้เยว่ฮูหยินได้ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
พอกลับมาถึงจวนขุนนาง ขณะที่เหมียวอี้กำลังนอนครุ่นคิดอยู่บนเก้าอี้ในศาลายาวว่าจะลงมืออย่างไร ขู่ๆ เป่าเหลียนก็มารายงานว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ผู้บัญชาการสวีขอพบค่ะ”
เหมียวอี้กวักมือ บอกใบ้ว่าให้เรียกเข้ามา
ผ่านไปไม่นาน สวีถังหรานก็เร่งฝีเท้าเดินเข้ามา แล้วคำนับด้วยความเคารพ “ข้าน้อยคำนับผู้บัญชาการใหญ่”
เหมียวอี้ที่เอนกายนิ่งๆ อยู่บนเก้าอี้เอียงหน้ามองเขาแวบหนึ่ง ถามว่า “มีธุระอะไร?”
สวีถังหรานทำสีหน้าเคร่งขรึมทันที ใช้สองมือมอบแผ่นหยกให้แผ่นหนึ่ง “เขตเมืองตะวันตกของข้าน้อยได้รับรายงานมา ว่ามีคนครอบครองของผิดกฎหมาย จึงส่งคนไปตรวจสอบทันที เป็นอย่างที่คาดไว้ มีคนใจกล้าคับฟ้า ซ่อน ‘ความปรารถนาร้าย’ ไว้ครอบครองส่วนตัวจริงๆ จึงจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมาดำเนินคดีทันที!”
“…” เหมียวอี้อึ้งไปชั่วขณะ รับรายงานมาร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจอ่าน หลังจากอ่านแล้ว ก็ถามอย่างสงสัยว่า “แปดคน ตายหมดแล้วเหรอ?”
สวีถังหรานยิ้มสู้ พร้อมตอบว่า “ขอรับ! ตอนที่จับนักโทษพวกนั้นเข้าไปสอบสวนในคุก เจ้าพวกนั้นไม่รู้จักแยกแยะเจตนาจะหลบหนี ข้าน้อยทำได้เพียงทำโทษประการตรงนั้นเลย!”
เขาไม่อยากรายงานเรื่องนี้ให้เหมียวอี้รู้เลยจริงๆ แต่ก็ไม่มีทางเลือก เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าคนตายโดยดำเนินการตามกฎหมาย จะต้องรายงานไปยังเบื้องบนทั้งหมด ไม่ใช่ว่าอยากจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ ไม่อย่างนั้นคงแย่แล้ว
เหมียวอี้ยืนขึ้น แล้วถามว่า “หลักฐานล่ะ?”
สวีถังหรานเผยขวดผลึกใบเล็กที่บรรจุของเหลวสีดำเอาไว้ใบหนึ่ง แล้วใช้สองมือยื่นให้อีกครั้ง
หลังจากเหมียวอี้รับมาตรวจดูในมือ ก็พบว่าเป็นความปรารถนาร้าย หนึ่งในเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาที่ตำหนักสวรรค์สั่งห้ามครอบครองหรือซื้อขาย มีขนาดเล็กเท่านิ้วหัวแม่มือ
ว่ากันตามจริง เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตำหนักสวรรค์ต้องสั่งห้ามของสิ่งนี้ สินค้าอีกหกประเภทในหมวดเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาสามารถจำหน่ายได้ แต่ทำไมความปรารถนาร้ายนี้จึงขายไม่ได้
สาเหตุว่าเพราะอะไรไม่ใช่สิ่งที่เขากังวลในตอนนี้ แต่เขาอดไม่ได้ที่จะมองประเมินสวีถังหรานศีรษะจดเท้า ในใจเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก เขารู้จักสวีถังหรานดีเกินไป เจ้าบ้านี่ไม่ใช่คนที่กระตือรือร้นในการทำอาชีพสุจริตสักเท่าไร เมื่อเจอกับคนที่ต่อต้านทหารสวรรค์ ตัวเองก็จัดการอย่างเด็ดขาดเงียบเชียบโดยไม่ขอความช่วยเหลืองั้นเหรอ? เจ้าเปลี่ยนเป็นคนห้าวหาญขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน?
คนที่ไม่รู้จักสวีถังหรานเกรงว่าคงจะถูกสวีถังหรานตบตาแล้วจริงๆ ถึงอย่างไรก็มีคนตายโดยไร้หลักฐาน แต่เหมียวอี้มั่นใจเต็มร้อยว่าเจ้าบ้านี่ต้องมีอะไรในกอไผ่แน่นอน!
แต่เหมียวอี้ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไร พยักหน้าบอกว่า “ดีมาก! เดี่ยวจะขอรางวัลมาให้เจ้า!”
สวีถังหรานแอบโล่งอก แล้วกล่าวหลั้วหัวเราะว่า “ล้วนเป็นเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของข้าน้อย”
หลังจากทั้งสองคุยกันเสร็จแล้ว สวีถังหรานที่ทำสีหน้าประจบสอพลอก็กล่าวขอตัวออกไป
เหมียวอี้ที่กลับมานอนบนเก้าอี้กลับถามเป่าเหลียนที่อยู่ข้างๆ ว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าได้ยินหมดแล้วใช่มั้ย?”
“ได้ยินแล้วค่ะ” เป่าเหลียนพยักหน้า
เหมียวอี้ชูขวดใบเล็กที่บรรจุความปรารถนาร้ายให้นางดู “เจ้าหาคนไปแอบตรวจสอบสักหน่อยว่าเรื่องของร้านนั้นเป็นอย่างไรกันแน่ ดูว่ามีความผิดปกติอะไรหรือเปล่า”
“ค่ะ!” เป่าเหลียนเอ่ยรับคำสั่งแล้วออกไป
หลังจากนั้นเกือบครึ่งวัน หวงเสี้ยวเทียนก็ถูกนำตัวมาแล้ว เขาเจียดรอยยิ้มพร้อมคำนับเหมียวอี้ที่เหมือนกำลังงีบ “ผู้น้อยคำนับผู้บัญชาการใหญ่”
เหมียวอี้โบกมือ ให้คนอื่นๆ ถอยออกไปให้หมด
หวงเสี้ยวเทียนยืนอย่างเคารพนบนอบอยู่ตรงนั้น รอยยิ้มดูฝืนทน รู้สึกกินปูนร้อนท้องนิดหน่อย
“ที่สวีถังหรานโดนเฆี่ยนทำโทษอย่างโหดร้ายทารุณ เรื่องนี้ล้วนเป็นเจ้าที่บงการ!” เหมียวอี้ที่กำลังกึ่งลืมตากึ่งหลับตาโยนแผ่นหยกให้เขา เป็นสิ่งที่สวีถังหรานมารายงานเขาไว้ก่อนหน้านี้
พอเป่าเหลียนออกไปสืบดู ก็ทราบผู้จัดการของร้านค้าที่สวีถังหรานพูดถึงก็คือหวงเสี้ยวเทียน และหลังจากที่กลุ่มคนของร้านนี้ถูกจับตัวไป ก็มีเพียงหวงเสี้ยวเทียนคนเดียวที่รอดชีวิตกลับมา จะไม่ให้เหมียวอี้สงสัยก็คงยาก จึงสั่งให้คนไปนำตัวหวงเสี้ยวเทียนมาทันที ไม่ให้หวงเสี้ยวเทียนมีโอกาสติดต่อกับใครทั้งนั้น
เมื่อได้ยินว่าสวีถังหรานโดนเฆี่ยนทำโทษ หวงเสี้ยวเทียนก็หวาดกลัวทันที หลังจากได้อ่านการแต่งเรื่องให้ร้ายในรายงานของสวีถังหราน ก็พบว่าเรื่องที่ตัวเองกังวลแดงขึ้นมาแล้วจริงๆ เหงื่อแตกเต็มศีรษะภายในชั่วพริบตาเดียว กล่าวเสียงสั่นว่า “ผู้บัญชาการใหญ่ ผู้น้อยก็โดนกดดันจนไม่มีทางเลือกเหมือนกัน ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ผู้บัญชาการสวีบงการผู้น้อย”
เหมียวอี้เอียงศีรษะจ้องเขาด้วยแววตาเย็นเยียบ “เจ้าว่าข้าควรจะเชื่อเจ้า หรือควรจะเชื่อสวีถังหรานดี? ควรจะตัดหัวเจ้า หรือควรจะตัดหัวสวีถังหรานดี?”
“ผู้บัญชาการใหญ่!” หวงเสี้ยวเทียนคุกเข่าทันที นึกเสียใจทีหลังเป็นอย่างมาก ไม่น่าโดนเงินทองครอบงำจิตใจจนสมคบคิดกับสวีถังหรานทำเรื่องแบบนี้เลย ตอนนี้ยังไม่ทันจะร่ำรวย ดีไม่ดีอาจจะเสียหัวอีกต่างหาก เขาตอบเสียงสั่นว่า “ผู้บัญชาการสวีบงการข้าจริงๆ นะ! ผู้น้อยไม่กล้าหลอกลวงนายท่านแน่นอน”
“ข้าเองก็รู้สึกแปลกๆ กับเรื่องนี้เหมือนกัน เจ้าเพิ่งมาครั้งแรกจะกล้าทำเรื่องแบบนี้ได้อย่างไร ข้าเลยต้องเรียกเจ้ามาถามให้ชัดเจน เจ้าแค่ตอบข้ามาอย่างซื่อสัตย์ ใครพูดความจริง ใครพูดโกหก ข้าย่อมตัดสินอย่างเที่ยงธรรมอยู่แล้ว” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบ
“เรื่องนี้ต้องเล่าตั้งแต่ตอนที่ข้าน้อยเพิ่งจะมาถึงที่นี่…” หวงเสี้ยวเทียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไม่มีตกหล่นทันที
หลังจากฟังจบ เหมียวอี้ที่เอนกายอยู่บนเก้าอี้ก็พูดไม่ออกแล้ว แค่หลอกถามไปส่งเดช แต่ไม่น่าเชื่อว่าจะหลอกถามจนได้ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงแบบนี้
เหมียวอี้พบว่าเจ้าลูกสุนัขสวีถังหรานไม่ได้ใจกล้าแบบธรรมดาแล้ว! เวลาประสบพบเจอเรื่องอะไรก็รักตัวกลัวตาย ขี้ขลาดตาขาวมาก แต่เวลาทำเรื่องแบบนี้กลับใจกล้าคับฟ้า ไม่ได้น้อยหน้าเซี่ยโห้วหลงเฉิงเลยจริงๆ อย่างน้อยเซี่ยโห้วหลงเฉิงก็อาศัยสถานะตัวเองเพื่อปล้นอย่างโจ่งแจ้ง แต่เจ้าชาติสุนัขสวีถังหรานกลับอาศัยสถานะนี้แอบกินคนแบบไม่คายกระดูก[1] ไม่น่าเชื่อว่าจะใช้วิธีการนี้สร้างความร่ำรวย ถ้าจะว่าเขาว่าเลวทรามต่ำช้า ก็เหมือนจะยกย่องเขาเกินไปหน่อย
ตอนนี้เขาถึงได้พบว่าหวงเสี้ยวเทียนก็ไม่ใช่คนดีอะไร เขาพ่นเสียงทางจมูก แล้วบอกว่า “พูดปากเปล่าไม่มีหลักฐาน เขียนสิ่งที่ตัวเองเพิ่งพูดเมื่อกี้เอาไว้ด้วย!”
พูดก็พูดไปแล้ว หวงเสี้ยวเทียนจะกล้าขัดคำสั่งได้อย่างไร หยิบแผ่นหยกออกมาทันที แล้วคุกเข่าลงเขียนกับพื้น
ในขณะนี้เอง เป่าเหลียนก็เข้ามาอีกครั้ง นางเหลือบมองหวงเสี้ยวเทียนที่นั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้แวบหนึ่ง แล้วโน้มตัวถ่ายทอดเสียงข้างหูเหมียวอี้ “สวีถังหรานมาแล้วค่ะ ดูจากท่าทางของเขา เหมือนจะรู้แล้วว่าหวงเสี้ยวเทียนถูกนำตัวมาแล้ว”
เมื่อพูกคุยกันแบบนี้ การได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของหญิงสาวบริสุทธิ์จากตัวเป่าเหลียนก็เป็นการเสพสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน เหมียวอี้สูดหายใจหลายครั้ง เขาทำเสียงฮึดฮัดแล้วบอกว่า “ข่าวไวจริงๆ ให้เขาเข้ามา”
“ค่ะ!” เป่าเหลียนเอ่ยรับแล้วออกไป
สวีถังหรานในตอนนี้กำลังเดินวนไปวนมาอยู่นอกจวนผู้บัญชาการอย่างร้อนรนเหมือนมดที่อยู่บนกระทะร้อน จู่ๆ ก็ได้ข่าวว่าหวงเสี้ยวเทียนถูกพาตัวมา เขาแอบร้องว่าท่าไม่ดีแล้ว เรียกได้ว่ารีบมาทีนี่ภายในทันที หวังว่าจะมาทัน
“ผู้บัญชาการสวี เชิญค่ะ!” เป่าเหลียนโผล่หน้ามาบอก
สวีถังหรานกุมหมัดคารวะทันที จากนั้นรีบร้อนวิ่งเข้าไปโดยไม่สนใจแล้วว่าจะมีมารยาทหรือไม่ ปรากฏว่าพอบุกเข้าไปถึงลานบ้าน ก็เห็นหวงเสี้ยวเทียนกำลังคุกเข่าเขียนอะไรบางอย่างอยู่ตรงหน้าเหมียวอี้ จึงแอบร้องในใจว่าจบเห่แล้ว
“แค่กๆ!” สวีถังหรานไอแห้งๆ ส่งสัญญาณว่าตัวเองมาถึงแล้ว กอดความหวังสุดท้ายว่าจะขัดขวางได้
เหมียวอี้ยังคงนอนเอนกายอยู่บนเก้าอี้ เหลือบมองสวีถังหรานที่เร่งฝีเท้าเดินเข้ามาด้วยสายตาที่เป็นปกติ
หวงเสี้ยวเทียนที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นได้ยินเสียงแล้วหันไปมอง ทำให้งงเป็นไก่ตาแตกทันที ไหนบอกว่าโดนเฆี่ยนลงโทษไปแล้วไง? ทำไมสภาพเหมือนคนไม่เป็นอะไรเลยล่ะ เขาหันขวับมามองเหมียวอี้ ในหัวมีความคิดบางอย่างแวบเข้ามา ใบหน้าซีดเผือดในชั่วพริบตาเดียว แทบจะอยากเอาศีรษะโขกพื้นให้ตาย ร่ำร้องในใจอย่างบ้าคลั่ง ตกหลุมพรางแล้ว!
“ผู้บัญชาการใหญ่!” สวีถังหรานกุมหมัดพลางยิ้มแห้ง แล้วชี้ไปหาหวงเสี้ยวเทียนที่กำลังคุกเข่า ยังคงแกล้งโง่ถามว่า “ทำไมทำแบบนี้เหรอ?”
“สวีถังหราน เจ้านี่ใจกล้าไม่เบานะ บังอาจตบตาต่อหน้าข้า!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเรียบด้วยสีหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์
สวีถังหรานฝืนยิ้มเหมือนมีความสุขต่อไป “ข้อน้อยไม่เข้าใจ ผู้บัญชาการใหญ่หมายถึง…”
“ทหาร!” เหมียวอี้พลันตะโกนตัดบท
พรึ่บๆ! ชิงเฟิงนำคนถลันตัวเข้ามาทันที กวาดสายตามองภาพที่อยู่ตรงหน้า
“ผู้บัญชาการใหญ่!” สวีถังหรานสีหน้าเปลี่ยนแล้ว สีหน้านิ่งชะงัก หน้าผากมีเหงื่อซึมเล็กน้อย
“เจ้าเขียนหลักฐานการทำความผิดของเจ้าต่อไป!” เหมียวอี้ชี้ไปที่หวงเสี้ยวเทียน ทำให้เจ้าตัวก้มหน้าก้มตาเขียนอย่างซื่อสัตย์ทันที แล้วเหมียวอี้ก็ชี้ไปที่สวีถังหรานอีก “เจ้าก็เขียนของเจ้าด้วย ใครกล้าปิดบังแม้เพียงครึ่งเดียว ข้าจะตัดหัวคนนั้นไปรายงานที่ตำหนักคุ้มเมือง!”
“ผู้บัญชาการใหญ่…” สวีถังหรานคุกเข่าด้วยสีหน้าเศร้าสลดทันที เตรียมจะเล่นละครฉากรันทดอีกแล้ว
ใครจะคิดว่าเหมียวอี้ไม่ตกหลุมพรางนี้เลย ถลันตัวกลับเข้าไปในห้อง โดยพูดทิ้งท้ายไว้ว่า “ห้ามให้พวกเขาสมคบกันให้การเท็จ!”
พวกชิงเฟิงเข้ามาล้อมสองคนที่กำลังนั่งคุกเข่าทันที ชักอาวุธที่เย็นเหมือนน้ำแข็งออกมาจ่อที่คอทั้งสอง ทำให้ทั้งสองตกใจจนตัวสั่น
สวีถังหรานเรียกได้ว่ามองหวงเสี้ยวเทียนอย่างเคียดแค้น แค้นเจ้าคนที่มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ แต่ว่าชีวิตตัวเองสำคัญกว่า ยังคงนำแผ่นหยกออกมาเขียนความผิดของตัวเองแต่โดยดี…
จนกระทั่งเป่าเหลียนเดินออกจากลานบ้านกลับเข้ามาในห้อง หลังจากนำคำให้การที่ทั้งสองเขียนส่งให้เหมียวอี้แล้ว เหมียวอี้ก็เรียกได้ว่าทั้งโมโหทั้งอยากขำ “สัตว์รอเชือดสองตัวที่เหิมใจ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็กล้าทำจริงๆ! ให้พวกเขาสองคนเข้ามา!”
ตอนที่เป่าเหลียนเรียกทั้งสองคนมา สวีถังหรานก็น้ำตานองหน้าเพราะเสียใจที่ทำผิดแล้ว แต่จนใจที่ยังไม่ได้เอ่ยบทพูดที่ครุ่นคิดเตรียมไว้ เหมียวอี้ก็ตะคอกคำพูดที่เย็นเยียบแล้วว่า “ครั้งนี้ยกเว้นให้! ถ้ามีครั้งหน้าอีก ข้าจะตัดหัวสุนัขของพวกเจ้าซะ ไสหัวไป!”
“…” สวีถังหรานที่นำตานองกับหวงเสี้ยวเทียนตะลึงงันพร้อมกัน รู้สึกงงนิดหน่อย
หลังจากทั้งสองออกจากประตูใหญ่ของจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันออก หวงเสี้ยวเทียนก็ถามเสียงอ่อนปวกเปียก “ไม่เป็นอะไรแล้วจริงๆ เหรอ?”
สวีถังหรานสั่งอย่างแค้นใจว่า “ไปหาข้าสักเที่ยว!” พูดจบก็เหาะนำไป
หวงเสี้ยวเทียนไม่กล้าเหาะซี้ซั้วที่ตลาดสวรรค์ จึงเร่งฝีท้าวิ่งไป จนกระทั่งกลับถึงจวนผู้บัญชาการเขตเมืองตะวันตก ตอนที่เจอสวีถังหรานที่สีหน้าดำมืดอีกครั้ง ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไร สวีถังหรานก็ถามแสกหน้าแล้วว่า “มันเรื่องอะไรกัน?”
หวงเสี้ยวเทียนอยากจะร้องไห้แล้ว เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้ฟังทันที
“ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นปีศาจสิงโต แต่กลับโง่ยิ่งกว่าหมู กลอุบายเล็กน้อยแค่นี้ก็ยังตกหลุมพรางได้…” สวีถังหรานร้องโวยวาย เรียกได้ว่าจับหวงเสี้ยวเทียนมาซ้อมอย่างบ้าคลั่งไปยกหนึ่ง หวงเสี้ยวเทียนก็เอาแต่ขดตัวให้เขาตี ไม่กล้สโต้ตอบ
สวีถังหรานระบายอารมณ์โกรธไปยกหนึ่งแล้ว เรียกได้ว่ากระหีดกระหอบ ไม่ใช่ว่าซ้อมจนเหนื่อย แต่เป็นเพราะโมโห เขาเตะหวงเสี้ยวเทียนอีกทีหนึ่ง ถึงได้หย่อนก้นนั่งลงบนเก้าอี้ แล้วถอนหายใจ “ข้าเองก็โดนเงินทองครอบงำจิตใจ ความเจ้าเล่ห์ของผู้บัญชาการใหญ่ ใช่ว่าข้าจะไม่เคยได้บทเรียน การไปหลอกลวงตบตาเขาเท่ากับเป็นการหาเรื่องใส่ตัว!”
หวงเสี้ยวเทียนลุกขึ้นพร้อมรอยเท้าเต็มร่างกาย เข้ามาถามใกล้ๆ ด้วยตาลุกวาว “ที่ผู้บัญชาการใหญ่บอกว่าครั้งนี้ยกเว้นให้ ไม่ใช่ว่าจะไม่สืบสาวเอาเรื่องแล้วเหรอ?”
ตุ้บ! สวีถังหรานเตะเขาล้มอีกรอบ…
…………………………
[1] กินคนแบบไม่คายกระดูก 吃人不吐骨头 อุปมาว่าทั้งอำมหิตทั้งละโมบ