สำหรับเรื่องนี้…โอวหยางกวงเดินช้าๆ มานั่งลงข้างกายนาง จากนั้นก็เงียบงัน ไม่รู้เหมือนกันว่ากำลังลังเลหรือกำลังคิดหาวิธีการ
เมื่อเห็นเขาแสดงท่าทีแบบนั้น อันหรูอวี้ก็ทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ทำไมล่ะ? เจ้ามีความเห็นอะไรเหรอ?”
โอวหยางกวงถอนหายใจแล้วบอกว่า “ที่จริงเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเจ้ากังวลจริงๆ ก็ให้หลางหลางกับหวนหวนอยู่เป็นโสดไปทั้งชีวิตก็สิ้นเรื่อง!”
อันหรูอวี้หน้าบึ้งทันที “พูดบ้าอะไรของเจ้า! หรือว่ามีแค่ผู้ชายอย่างพวกเจ้าที่ใช้ชีวิตสำราญสามเมียสี่เมีย ส่วนผู้หญิงก็เป็นท่อนไม้ไปทั้งชาติงั้นเหรอ?”
“ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็เลือกใช้แผนสำรองสิ…ถ้าพวกเราไม่สะดวกจะเอ่ยปาก ก็ไปให้คนอื่นช่วยถามให้ก็ได้ ดูว่าไอ้จัญไรนั่นยินดีจะรับหลางหลางกับหวนหวนเป็นอนุภรรยารึเปล่า”
“พูดออกมาได้อย่างไร พวกเรามีฐานะเป็นอย่างไร ลูกสาวพวกเราจะไปเป็นอนุภรรยาคนอื่นได้เหรอ? ยังจะส่งลูกสาวไปเป็นอนุภรรยาอีก พ่อแม่แบบนี้มีที่ไหนกัน?”
ซ้ายก็ไม่ได้ขวาก็ไม่ได้ โอวหยางกวงทำได้เพียงหุบปาก…
หลังจากท่านทูตสายต่างๆ ของแดนเซียนมากันครบแล้ว ก็รวมกลุ่มกันมาคำนับคุณชายรอง ส่วนคนที่ไม่เกี่ยวข้องก็ถอยออกไป
ถึงแม้ร่างกายจะเป็นผู้หญิง แต่กลับเป็นสตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษ ร่างกายอันหรูอวี้เดิมทีก็สูงกว่าผู้ชายทั่วไปอยู่แล้ว เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าบรรดาท่านทูต ก็ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ นางกวาดสายตาเย็นเยียบมองทุกคน พลางกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ครั้งนี้เรียกท่านทูตทุกคนมากันครบ ที่จริงก็เป็นเพราะท่านจื่อหยางนั่น จากเรื่องเจดีย์งามวิจิตรครั้งก่อน คาดว่าทุกคนคงจะเดาเจตนาของเฟิงเป่ยเฉินออกแล้ว ช่วยไม่ได้ที่สำนักงามวิจิตรถูกบีบอยู่ในมือเฟิงเป่ยเฉิน ไม่สามารถรับมาทำงานให้แดนเซียนได้ ตอนนี้ท่านจื่อหยาง ศิษย์ระดับสูงของสำนักงามวิจิตรต้องการจะท้าทายสำนักงามวิจิตร พวกเราคอยจับตาดูไปก่อน ถ้าเป็นยอดฝีมือหลอมของวิเศษที่หายากจริงๆ ก็จะต้องช่วงชิงให้มาอยู่ฝ่ายเราให้ได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็อย่าปล่อยให้ไปทำงานให้คนอื่นเหมือนกัน”
ท่านทูตทุกคนสบตากันแวบหนึ่ง ช่างเหมือนกับสำนวนที่ว่า ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด[1] นึกไม่ถึงว่าท่านจื่อหยางนั่นจะมีภัยถึงชีวิตเพราะมีฝีมือในการหลอมของวิเศษ
ซูเย่ท่านทูตสายขาลกล่าวอย่างลังเลว่า “คุณชายรอง กำลังพลแต่ละแดนมากันครบแล้ว ดูจากสถานการณ์ เกรงว่าคงไม่ได้มีแค่พวกเราที่มีความคิดแบบนี้”
อันหรูอวี้พยักหน้า “ทุกคนมีความคิดแบบนี้ก็ถือเป็นเรื่องดี ท่านปราชญ์สั่งมาแล้ว ว่าให้ดูสถานการณ์แล้วตัดสินใจ ถ้าหากเป็นไปได้ ก็กำจัดสำนักงามวิจิตรทิ้งเสียเลย เฟิงเป่ยเฉินจะได้ไม่เกิดความคิดเหลวไหลมากเกินไป ถ้าเกิดมีการลงมือขึ้นมา ก็ให้เข้าร่วมได้เลย ทุกท่านเตรียมความพร้อมไว้ในใจ ถึงตอนนั้นจะได้ไม่ฉุกละหุก แล้วอีกอย่าง อย่าเพิ่งเปิดเผยเรื่องนี้ให้ผู้ใต้บังคับบัญชารู้ จะได้ไม่มีข่าวหลุดออกไป!”
ขณะที่ทางนี้กำลังวางแผนลับ เหมียวอี้ก็กำลังไปเยี่ยมเยียนคนรู้จักเช่นกัน ประมุขถิ่นสี่ทิศมาถึงแล้ว ต่างคนต่างพาทูตซ้ายหนึ่งคนและราชาปีศาจสองคนมาด้วย ทะเลดาวนักษัตรมาด้วยกันทั้งหมดสิบหกคน
สำหรับเรื่องนี้ สำนักงามวิจิตรค่อนข้างประหลาดใจ แดนอู๋เลี่ยงค่อนข้างแปลกใจ น้อยครั้งมากที่ประมุขถิ่นสี่ทิศจะมาดูเอาสนุกแบบนี้ นึกไม่ถึงว่าครั้งนี้จะมาด้วยเหมือนกัน
หารู้ไม่ว่าประมุขถิ่นสี่ทิศเองก็ไม่ได้อยากมา และไม่อยากมาประสมโรงด้วย แต่ก็ไม่มีทางเลือก เพราะไม่อาจทนเห็นเหมียวอี้เป็นอะไรไปได้ เมื่อขึ้นเรือโจรลำเดียวกับเหมียวอี้แล้ว อยากจะไล่ลงก็ไล่ไม่ได้ แล้วตัวเองก็ไม่อยากลงด้วย
“เจ้าห้า ลูกศิษย์ที่โดนขับไล่คนหนึ่งกลับบมาล้างความอัปยศที่สำนักงามวิจิตร สะเทือนถึงบุคคลระดับสูงของแดนต่างๆ เลยเหรอ คนมากันเยอะขนาดนี้ สถานการณ์ไม่ชอบมาพากลนิดหน่อยนะ!”
พอเหมียวอี้มาถึง เพิ่งจะเดินเข้าโถงหลักมากุมหมัดคารวะประมุขถิ่นสี่ทิศ ฝูชิงก็เข้ามาถามต่อหน้าแล้ว
เหมียวอี้เดินมานั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง แล้วพยักหน้าอย่างเคร่งเครียด “ข้าเองก็สังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากล รู้สึกว่าเรื่องนี้มันยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ เกินกว่าที่จินตนาการไว้จริงๆ”
ตอนนี้เขากำลังปวดประสาทอยู่พอดี เยารั่วเซียนที่ซ่อนตัวอยู่ข้างกายตนมาตลอด นึกไม่ถึงว่าพอปรากฏตัวก็ป่วนให้เกิดการเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ขนาดเขาเองยังรู้สึกเหลือเชื่อนิดหน่อย
“เจ้าห้า คนกลุ่มนี้พุ่งเป้ามาที่จื่อหยางอะไรนั่นจริงเหรอ ถ้าเกิดลงมือต่อสู้กันขึ้นมา พวกเราคงคุ้มกันส่งจื่อหยางออกไปอย่างปลอดภัยไม่ไหวหรอก” อิงอู๋ตี๋กล่าว
เหมียวอี้จึงบอกว่า “ข้าติดต่อกับฝ่ายนภาจอมมารแล้ว ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ส่งตัวให้นภาจอมมาร พวกท่านช่วยให้ฝ่ายนภาจอมมารพาตัวเขาไปได้ก็พอ”
“ล้อเล่นอะไรกัน อย่างน้อยภายนอกพวกเราก็ยังเป็นคนของแดนปีศาจอยู่ ถ้าไปช่วยฝ่ายนภาจอมมาร พวกเราก็ไม่สะดวกจะอธิบายกับแดนปีศาจน่ะสิ” สงเวยว่า
“พี่ใหญ่ ข้าก็ยังเป็นคนของแดนเซียนเหมือนกัน กำลังกินบนเรือนขี้รดบนหลังคาเหมือนกันนั่นแหละ” เหมียวอี้บอก
“เจ้าห้า แบบนั้นเหมือนกันเสียที่ไหน? เจ้ามันเป็นเขยของนภาจอมมารนี่นา” หงเทียนแสดงความเห็น
ฝูชิงพยักหน้า “ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดก็คือ ต่อให้พวกเราช่วยฝ่ายนภาจอมมาร ดีไม่ดีอาจจะทำให้อีกห้าแดนร่วมมือกัน ถึงตอนนั้นก็อย่าว่าแต่พวกเราเลย ต่อให้เป็นนภาจอมมารก็ต้านไม่ไหว!”
เหมียวอี้หัวเราะแห้งๆ จากนั้นก็หน้านิ่วคิ้วขมวดอีก “ประเด็นสำคัญก็คือไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวท่านจื่อหยางอยู่ที่ไหน พรุ่งนี้จะปรากฏตัวออกมาด้วยวิธีไหน ไม่อย่างนั้นข้าจะจับตัวเขากลับไปเอง แม่งเอ๊ย สมองมีปัญหารึไง ล้างความอัปยศบ้าบออะไรล่ะ!”
ถึงแม้จะพูดแบบนี้ แต่เขาเองก็เข้าใจเหมือนกัน เรื่องล้างความอัปยศแบบนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขาก็อาจจะทำเหมือนกัน แต่ประเด็นคือวิธีการไม่สนใจผลลัพธ์ที่ตามมาแบบนี้ เป็นไปได้สูงว่าเยารั่วเซียนก็อาจไม่รู้ตัวเหมือนกัน ว่าตัวเองป่วนให้เกิดความเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ตระหนักเลยว่าตัวเองมีความสำคัญขนาดไหน
สรุปก็คือตอนนี้เหมียวอี้ปวดหัวมาก อยากจะพาพวกผู้ช่วยมาจากพิภพใหญ่มาก ทว่านั่นคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ จึงส่ายหน้าบอกว่า “ก็ทำได้เพียงรอดูสถานการณ์พรุ่งนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็คงได้แค่ปล่อยไปตามธรรมชาติแล้ว!”
ถ้าสู้สุดชีวิตแล้วยังช่วยไม่ได้ เขาก็ทำได้เพียงยอมแพ้ ไม่จำเป็นต้องเอาชีวิตไปทิ้งแบบสูญเปล่า อย่างมากในภายหลังก็ค่อยช่วยล้างแค้นให้เยารั่วเซียนก็ได้ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว ตอนนี้เขาก็ยังไม่มีวิธีการอื่น ถึงอย่างไรก็ยังไม่รู้สถานการณ์แน่ชัด
“ถ้าโน้มน้าวให้ฝ่ายแดนเซียนช่วยเจ้าอีกแรง บางทีก็อาจจะเป็นไปได้” ฝูชิงกล่าว
“ที่จริงก็มีวิธีการนี้เหมือนกัน ใครจะคิดว่าอันหรูอวี้จะมาด้วย คนอื่นมาก็ยังพอเป็นไปได้ แต่คนที่นำกำลังลังพลของแดนเซียนมาดันเป็นอันหรูอวี้ เลิกคิดไปได้เลยละมั้ง?” เหมียวอี้โบกมือยิ้มเจื่อน
“ทำไมล่ะ?” สงเวยแปลกใจ “หรือว่าเจ้ากับอันหรูอวี้ไม่ถูกกัน?”
“ไม่ต้องพูดถึงหรอก!”เหมียวอี้พูดลำบากจริงๆ เขาชี้ไปด้านนอก “ถ้าพรุ่งนี้สถานการณ์ไม่ชอบมาพากล รบกวนท่านพี่ทั้งสี่พาลูกน้องที่ข้าพามาด้วยกลับไปก่อนนะ”
เหล่าประมุขถิ่นพยักหน้า ต่างก็รู้ว่าเขาหมายถึงฉินเวยเวย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอกัน ตอนที่อวิ๋นจือชิวพาไปทะเลดาวนักษัตร ก็รู้แล้วว่าอวิ๋นจือชิวกับผู้หญิงคนนี้เรียกกันว่าพี่สาวน้องสาว มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดา
“เอาอย่างนี้ก่อนก็แล้วกัน ค่อยๆ ดูไปทีละก้าว ข้าจะไปหาฝ่ายแดนมารสักหน่อย ดูว่าสถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” เหมียวอี้ลุกขึ้นกล่าวขอตัว ออกมากโถงหลัก แล้วพาฉินเวยเวยออกไป
เมื่อมาถึงที่พักของคนฝ่ายแดนมาร พอพบกับอาแปดอวิ๋นเป้า ฝ่ายนี้ก็ย่อมสังเกตเห็นความไม่ชอบมาพากลเช่นกัน กำลังสับสนว่าเยารั่วเซียนอยู่ที่ไหน ถ้าหาเยารั่วเซียนพบจะได้ปรึกษาหารือขอความร่วมมือได้สะดวก ตอนนี้ไม่มีใครรู้ว่าเยารั่วเซียนมีสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ ทำเอาพวกเขาแม้แต่จะวางแผนก็ทำได้ไม่สะดวก
ม่านราตรีมาเยือน ฝูงนกบินกลับรัง บนภูเขาที่เงียบสงบด้านหลังสำนักงามวิจิตร สภาพแวดล้อมงดงาม คนไม่มีกิจธุระห้ามเข้า
ฟู่หยวนคังเดินสาวเท้ามาหยุดที่ด้านนอกตำหนักใหญ่หลังหนึ่ง นักพรตหญิงที่เฝ้าประตูรีบเข้าไปรายงานทันที และไม่นานก็ออกมาเชิญ
ฟู่หยวนคังผ่อนฝีเท้าเดินเข้ามา เลี้ยวเข้าไปที่ตำหนักหลัง พอเจอเฟิงเป่ยเฉินที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงตัวหนึ่ง ก็กุมหมัดคารวะ “ท่านอาจารย์!”
คนนอกไม่มีใครรู้ว่าเฟิงเป่ยเฉินมาถึงสำนักงามวิจิตรแล้ว เป็นเพราะข่าวที่ได้รับจากแดนต่างๆ ทำให้เขาพบความไม่ชอบมาพากลเหมือนกัน กลัวว่าจะเกิดเรื่องขึ้นที่นี่ จึงมาคอบคุมอย่างเงียบๆ
เฟิงเป่ยเฉินหน้าตาไม่ธรรมดา ไว้หนวดสีดำขลับราวกับน้ำหมึก มีลักษณะราศีของนักกพรตเต๋า เขาลืมตาขึ้นมาช้าๆ แล้วถามว่า “สถานการณ์เป็นอย่างไร?”
ฟู่หยวนคังตอบว่า “สถานการณ์ไม่ชัดเจนขอรับ มองไม่ออกว่าทางแดนเซียนมีใครอยากเล่นงานให้ไอ้เหมียวจัญไรถึงตาย จีเหม่ยเหมยเองก็ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่ต้องการทำอย่างนี้ แต่ต้องเป็นคนที่ค่อนข้างมีอำนาจในแดนเซียนแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่สร้างโอกาสลงมือให้พวกเราได้ง่ายๆ แต่จีเหม่ยเหมยมั่นใจว่าบุคคลลึกลับที่มาติดต่อด้วยจะเกีย่วข้องกับเยว่เทียนโป”
“เยว่เทียนโป?” เฟิงเป่ยเฉินถามว่า “ทำไมคิดอย่างนั้น?”
ฟู่หยวนคังตอบว่า “ไอ้เหมียวจัญไรกับแดนโพ้นสวรรค์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเกินไป เป็นไปได้สูงว่าจะเป็นภัยคุกคามต่อตำแหน่งของเยว่เทียนโป การอาศัยโอกาสนี้กำจัดทิ้ง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ศิษย์คิด่าการคาดเดาของจีเหม่ยเหมยก็มีเหตุผล แต่ศิษย์ก็กลัวอีกว่าจะมีกับดักอะไร?”
เฟิงเป่ยเฉินกล่าวดูถูกด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “จะมีกับดักอะไรได้? ขอแค่มีโอกาสลงมือ เจ้าก็สนใจแต่เรื่องลงมือก็พอ ถ้าไม่สำเร็จก็ไม่เป็นไร แต่ไอ้เด็กจัญไรนั่นดึงสี่ปีศาจเฒ่าจากทะเลดาวนักษัตรมาได้ เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาบ้างเหมือนกัน เจ้าไปสืบให้แน่ชัดมาก่อนว่าคนที่อยู่ข้างกายเขาเป็นใคร อย่ามุทะลุบุ่มบ่ามจนตัวเองเสียเปรียบ”
ฟู่หยวนคังตอบว่า “สืบสถานการณ์คร่าวๆ มาชัดเจนแล้วขอรับ ข้างกายเขาไม่ได้มีคนสำคัญอะไร นอกจากผู้หญิงคนหนึ่งที่พามาด้วย ก็มีแค่กำลังพลแดนเซียนพวกนั้น ฝ่ายเรารู้เบาะแสหมดแล้วขอรับ”
“อย่าประมาท บางทีผู้หญิงที่อยู่ข้างกายเขาอาจจะมีลับลมคมในบางอย่าง ระว่างทุกอย่างไว้จะดีกว่า” เฟิงเป่ยเฉินกล่าว
ฟู่หยวนคังยิ้มพร้อมตอบว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องผู้หญิงคนนั้นเลยขอรับ เป็นเพียงประมุขตำหนักใต้บังคับบัญชาของเขา ชื่อว่าฉินเวยเวย ได้ยินว่าเพิ่งบรรลุระดับบงกชแดง ฝ่ายเราสืบสถานการณ์มาชัดเจนแล้ว”
“ฉินเวยเวย?” เฟิงเป่ยเฉินลังเล ลองนึกไปนึกมาก็พบว่าไม่คุ้นเลยจริงๆ
ทว่าในขณะนี้เอง ในห้องข้างๆ กลับมีเสียง “ก๊อกแก๊ก” ดังมา เฟิงเป่ยเฉินกับฟู่หยวนคังหันไปมองพร้อมกัน ไม่รู้ว่าด้านหลังม่านไข่มุกมีความเคลื่อนไหวอะไร
ม่านไข่มุกนั่นพลันกระเพื่อมออกโดยไร้ลม เฟิงเป่ยเฉินหายตัวไปจากเตียงหลังนั้นแล้ว ขณะที่ม่านไข่มุกกระเพื่อมกลับมาติดกกันอีกครั้ง เฟิงเป่ยเฉินก็ไปโผล่อยู่ในห้องแล้ว สายตากำลังมองไปยังขอบหน้าต่างที่กำลังเปิดอยู่
บนขอบหน้าต่างจัดวางกระถางต้นไม้ที่สวยประณีตไว้ต้นหนึ่ง ฉินซี ฮูหยินผู้งดงามเลิศล้ำของเขากำลังโน้มตัวลงเก็บกรรไกรตัดกิ่งไม้ ไม่รู้ว่ากรรไกรตกลงพื้นได้อย่างไร
เฟิงเป่ยเฉินกางนิ้วทั้งห้า ดูดกรรไกรมาไว้ในมือตัวเอง ฉินซีเอียงศีรษะมองเขาแวบหนึ่ง ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แววตายังคงเย็นชา สีหน้าเย็นชาไร้อารมณ์อยู่ตลอด
เฟิงเป่ยเฉินเดินเข้าไป วางกรรไกไว้บนขอบหน้าต่าง แล้วขมวดคิ้วถาม “ฮูหยินเป็นอะไรไป?”
ฉินซีหยิบกรรไกรขึ้นมาอีกครั้ง ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ว่า “ไม่มีอะไรค่ะ แค่พลั้งมือตัดกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง รู้สึกเสียดาย”
เฟิงเป่ยเฉินได้ยินแล้วส่ายหน้า พบว่านิสัยของผู้หญิงคนนี้ ยิ่งนับวันก็ยิ่งรักสันโดษ เรื่องที่เป็นการเป็นงานไม่สนใจ แต่กลับตื่นตูมกับของที่อยู่ในกระถางต้นไม้
แต่จะว่าไปแล้ว ถ้านางยิ่งเป็นคนที่เจ้าเล่ห์มากแผนการเท่าไร ก็ยิ่งทำให้เขากังวลว่าตำหนักหลังจะไม่สงบสุข แต่มีฮูหยินแบบฉินซีอยู่ในบ้าน ทำให้เขาไม่ต้องกังวลใจอะไรเลยจริงๆ กลับเป็นเรื่องดีสำหรับเขา หมดความยุ่งยากใจ! นางจึงได้รับความเอ็นดูจากเขา! เขายิ้มบางๆ พลางพูดปลอบว่า “ผิดพลาดก็ไม่เป็นไร โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ มีข้อเสียนิดหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป”
พอมองดูที่กระถางต้นไม้ ก็ไม่เห็นว่าตัดเสียตรงไหน แต่ผู้หญิงคนนี้ชอบปรนนิบัติของเล่นพวกนี้ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก พูดปลอบใจสองสามคำ ก่อนจะหันตัวและเอามือไขว้หลังเดินจากไป
“ฉินเวยเวย…” ฉินซีกลับมองไปนอกหน้าต่างพลางพูดพึมพำกับตัวเอง ไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นได้ แววตาค่อนข้างเหม่อลอย…
…………………………
[1] ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด 匹夫无罪怀璧其罪 อุปมาว่า มีภัยเพราะความสามารถของตัวเอง